LOGIN“ยาจากวังหลวง องค์ชายรัชทายาทคงโปรดเจ้ามากสินะ” หลี่จินหมิงเกลียดน้ำเสียงที่แฝงความไม่พอใจของตนยิ่งนัก
“เป็นของที่ได้มาในวันปักปิ่นเจ้าค่ะ ตัวท่านพี่อวิ๋นฝูมาไม่ได้แต่ก็ยังส่งของมา มิใช่ว่าตัวมาได้แต่กลับหนีหน้าไม่ยอมทักทาย”
“ที่แท้เจ้าโกรธเรื่องนี้…” หลี่จินหมิงนึกไม่ถึงว่านางจะนำเรื่องนี้มาใส่ใจ
“ทายาเรียบร้อยแล้ว ข้าไม่ควรรบกวนเวลาของท่านอีก” เสวียนหนิงอันตัดบท ไม่ต้องการเปิดเผยความรู้สึกของตนเกินความจำเป็น ส่วนหลี่จินหมิงที่ตระหนักได้แล้วว่าตนมีความผิดก็ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เรื่องที่ผลุนผลันออกจากพิธีปักปิ่นของนางก่อนเวลานั้นไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ในยามนั้นสมองของเขาคิดแต่เรื่องอกุศล หากทนอยู่ต่อคงต้องหลุดเปิดเผยความคิดชั่วร้ายของตนแน่ และในเมื่อการเล่าสาเหตุแท้จริงที่ทำให้เขาต้องออกจากตำหนักเยว่ฉีนั้นไม่สามารถทำได้ หลี่จินหมิงจึงตัดสินใจแสร้งทำหูทวนลมและเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างหน้ามิอาย
“ขี้ผึ้งนี่ต้องทาบ่อยเพียงใดหรือ”
“ก่อนนอนและหลังตื่นนอนเจ้าค่ะ” เสวียนหนิงอันจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อย ตั้งใจว่าจะกลับเรือน ทว่าข้อเสนอของเขากลับทำให้นางต้องประหลาดใจ
“เช่นนั้นข้าจะเป็นคนดูแลแผลเจ้าเอง”
“ให้เจียอีดูแล…” เสวียนหนิงอันไม่อยากอยู่ใกล้เขาอีกต่อไปแล้วจึงรีบปฏิเสธ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเฉไฉไปเรื่องอื่นอีกจนได้
“ข้าหิวแล้ว เจ้าหิวหรือไม่”
“นี่ท่าน! เหตุใดจึงเปลี่ยนเรื่องไปมา! ข้าไม่อยากคุยกับท่านแล้ว!”
“หนิงเอ๋อร์…” หลี่จินหมิงคว้าแขนข้างที่ไม่เจ็บของนางเอาไว้ ก่อนพ่นลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม “เจ้าโกรธเรื่องที่ข้าไม่อยู่รอทักทายในวันปักปิ่น แล้วเหตุใดจึงไม่พูดให้เข้าใจกันตั้งแต่แรกเล่า”
หลี่จินหมิงย่อมไม่ทราบว่านางเป็นพวกกล้าโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก มีเรื่องอันใดก็เก็บไว้ในใจ น้อยครั้งที่จะกล้าระบายอารมณ์ออกมา ทั้งยังเป็นคนดื้อเงียบ เมื่อเขาถามออกไปเช่นนั้นนางก็ยิ่งหน้าแดง สายตาก้มมองต่ำ สองมือบีบเข้าหากันแน่น แสดงทีท่าบอกชัดว่าไม่ต้องการพูดอะไร
“ข้าไม่ค่อยได้ออกนอกบ้านหลังจากสูญเสียภรรยากับลูก เวลาล้วนหมดไปกับการทำงาน ดูแลกิจการสกุลหลี่ให้เจริญก้าวหน้า แต่วันปักปิ่นของเจ้าข้ารู้สึกว่าสมควรต้องไป” หลี่จินหมิงคิดเช่นนั้นจริง ๆ วันสำคัญของเจ้าตัวเล็กเขาจะไม่ไปได้อย่างไร
“แต่พอไปแล้วกลับรู้สึกอึดอัดยามเห็นผู้คนหัวเราะมีความสุข จึงตระหนักได้ว่ายังทำใจมิค่อยได้ และเกรงว่าความเสียใจของข้าจะทำให้บรรยากาศในงานย่ำแย่ จึงมิได้อยู่รอทักทายเจ้า”
เรื่องนี้หลี่จินหมิงโกหกอย่างไร้ยางอายเป็นที่สุด
เขาพอทำใจได้แล้ว เพียงแต่ใจของเขามันคิดอกุศลมากเกินไปก็เท่านั้น!
“เช่นนั้นข้าไม่โกรธท่านเรื่องนี้แล้วก็ได้…”
เสวียนหนิงอันเห็นใบหน้าเศร้าหมองของเขาก็ใจอ่อนลงถึงหกส่วน “ท่านอาพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าขอตัว”
“ไม่โกรธเรื่องนี้แล้วก็ได้… หรือว่ายังมีเรื่องอื่นที่ไม่พอใจ จริงสิ! หลายวันก่อนข้าพูดจาไม่ดี กล่าวหาว่าเจ้าใช้มารยาคิดร้องขอให้ข้าหลับนอนด้วย” หลี่จินหมิงพลันรู้สึกว่าตนหน้าด้านยิ่งนักที่กล่าวเรื่องนี้ออกมาตรง ๆ แต่ความตรงไปตรงมานี้เองที่ทำให้นางอับอายจนใบหูแดงดุจผลผิงกั่ว[3] พวงแก้มน่าสัมผัสนั่นก็เช่นกัน
อา… คิดถึงเรื่องอกุศลอีกแล้ว!
“เรื่องนี้ข้าผิดจริง แต่เจ้าจะโทษข้าฝ่ายเดียวมิได้ เป็นเจ้าที่วางแผนลวงข้ามาแต่งงานด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม บังคับใจข้าให้รับผิดชอบ…”
“หนิงเอ๋อร์ทราบดีว่าทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ยามนั้นรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกท่านพ่อบังคับให้หมั้นหมายกับบุรุษแปลกหน้า จึงวางแผนน่ารังเกียจเพื่อให้ได้แต่งกับท่าน… ท่านอา เรื่องนี้ข้าไม่ดีเอง ท่านจะดุด่าอย่างไรก็ย่อมได้ ข้ายอมรับได้ทุกอย่าง แต่ขอร้องว่าอย่ากล่าวโทษท่านพ่อได้หรือไม่” เสวียนหนิงอันเงยหน้าประสานสายตา ขอบตาของนางแดงก่ำ ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“หนิงเอ๋อร์… ที่แท้เจ้าไม่พอใจเรื่องนี้”
“ไม่ได้ไม่พอใจ แต่เสียใจเกินทน” นางสูดจมูกเพื่อมิให้ตนเองหลุดร้องไห้ “ท่านจะทำไม่ดีกับข้าอย่างไรก็ได้ แต่เรื่องนี้ท่านพ่อไม่ผิด ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่ข้าทำ ทั้งยังไม่เคยสอนให้ข้าวางแผนร้ายกาจเพื่อให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการ… หนิงเอ๋อร์ขอร้องท่านอาไม่กล่าววาจากระทบกระเทียบบิดาของข้าจะได้หรือไม่”
เสวียนหนิงอันอึดอัดกับเรื่องนี้มาหลายวัน พอได้ระบายออกมาก็ถึงกับน้ำเสียงสั่นเครือน่าสงสาร ทำให้คนที่ฟังอยู่รู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกบีบรัดจนเลือดออก
“หนิงเอ๋อร์อย่าร้องไห้ เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดเอง ที่ผ่านมาเคยพูดจาไม่ดีกับพ่อของเจ้าบ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัย ข้าว่าเขาเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัด เขาก็ด่าว่าข้าโง่งมที่หลงกล โต้เถียงกันเช่นนี้จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เจ้าเป็นบุตรสาวฟังแล้วย่อมไม่สบายใจ… หนิงเอ๋อร์ เรื่องนี้ท่านอาของเจ้าขอโทษและสัญญาว่าจะไม่ทำอีก หนิงเอ๋อร์ไม่เสียใจแล้วได้หรือไม่”
หลี่จินหมิงจับสองมือเล็กมากุมไว้และเมื่อเห็นว่านางยังไม่ยอมพูด จึงเปลี่ยนไปหยิกแก้มนุ่มทั้งสองข้างด้วยน้ำหนักที่ไม่เบานัก เสวียนหนิงอันถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้นก็ถึงกับโวยวายออกมาทั้งน้ำตา
“ท่านอา! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าหยิกแก้มข้า!”
“เอาเถิด ร้องไห้เพราะโกรธก็ยังดีกว่าร้องไห้เพราะเสียใจ”
“เรื่องนี้ข้าโกรธท่านนานแน่!” เสวียนหนิงอันผลักอกเขาเต็มแรง ก่อนวิ่งหนีออกจากเรือนใหญ่ทั้งน้ำตา ทิ้งให้บุรุษที่บอกกับตนเองว่าจะฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน ทำให้นางตัดใจจากเขาให้ได้ ยืนหัวเราะเยาะตนเองตามลำพัง
หลี่จินหมิงมิเข้าใจว่าเรื่องราวกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
[1] ดอกมะลิ
[2] หน้าไม่อาย หน้าด้าน
[3] แอปเปิล
“ไม่จริงจัง? แต่เจ้าก็บอกว่าชอบมิใช่หรือ” หลี่จินหมิงเห็นนางเอียงอายเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกว่าอยากดื่มสุราหรือกินกับแกล้มแล้วอยากกินภรรยามากกว่า…“พอถูไถไปได้ แต่ก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน”“ลืมไปได้อย่างไรว่าภรรยาของพี่ยังสาวและร้อนแรง… วันนี้คงต้องดูแลเจ้าเต็มที่ ให้สมกับที่ละเลยมานานสักหน่อยแล้ว” หลี่จินหมิงมอบจูบวาบหวามให้กับภรรยาที่น่ารักไม่แปรเปลี่ยน มือใหญ่ลูบไล้บั้นท้ายจนนางต้องร้องห้ามเสียงสั่น“ท่านพี่ทำงานหนัก กลับมาบ้านยังช่วยดูแลลูก ๆ จนแทบไม่ได้หยุดพัก บางอย่างบางเรื่องยังไม่ต้องรีบร้อนก็ได้เจ้าค่ะ”“ร้างรามาเป็นปี กำลังวังชาพี่มีอยู่ล้นเหลือ หนิงเอ๋อร์ไม่ต้องกลัวว่าพี่จะเหนื่อย” หลี่จินหมิงเห็นนางยิ้มเจื่อนราวกับกำลังหาทางหลีกเลี่ยงจึงรีบสอบถามให้เข้าใจ “ยามอยู่เรือนใหญ่เจ้าอ้างว่ากลัวลูกตื่นกลางดึก วันใดที่พี่อยู่บ้านเจ้าก็อ้างว่าไม่ไว้ใจแม่นม ยามนี้ได้คนคุ้นหน้ากันมาช่วยเหลือดูแล หนิงเอ๋อร์คิดอ้างอันใดอีก… หรือว่าเจ้ารังเกียจสามีชราเช่นพี่เสียแล้ว”“มิใช่เช่นนั้นนะเจ้าคะ! ข้าแค่… แค่ไม่มั่นใจ”“ไม่มั่นใจ?” หลี่จินหมิงงุนงงจนกระทั่งนางนำมือเขาไปวางบนท้อง แต่แค่ครู่เดียวก็ไม่ให้
เสวียนหนิงอันกอดแขนสามีเดินออกจากเรือนใหญ่ที่ย้ายมาอยู่หลังแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี ตัวเรือนปีกซ้ายถูกขยับขยายกว้างขวาง ส่วนฝั่งห้องเก็บของซึ่งเคยเป็นที่พำนักของจ้าวฮูหยินยังคงอยู่ตามเดิมเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้ล่วงลับ โดยมีซุนหยาคอยดูแล“ไม่มีเรื่องอันใดมาก แค่ขันเรื่องที่ผ่านมาก็เท่านั้น” หลี่จินหมิงหอมแก้มภรรยาแผ่วเบา “นึกถึงวันที่เจ้าให้กำเนิดเจ้าก้อนแป้งทั้งสองด้วย”หวงซิงซวี่เก่งอย่างที่อวดอ้างจริง ๆ เขาจำได้ว่าภรรยาร้องเจ็บได้เพียงหนึ่งเค่อ ทารกแฝดก็ออกมาทักทายมารดา ทุกอย่างราบรื่นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากทีเดียว“วันนั้นเจ้าคงเจ็บมาก”“เจ็บจริงเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้แย่นัก” เสวียนหนิงอันยิ้มให้กับสามี “สงสารก็แต่พี่ซิงซวี่ เขาถูกท่านพ่อกับท่านพี่ร่วมมือกันกดดันนานกว่าเจ็ดเดือน หน้าตาทนมองไม่ได้ทีเดียว”“ชอบทดลองยากับผู้อื่นก็สมควรโดนแล้ว ว่าแต่ช่วงนี้เขาเป็นอย่างไรบ้างเล่า”“เห็นว่ากำลังจะถูกบังคับให้แต่งงานเจ้าค่ะ”“แต่งกับสตรีที่ฝากรอยข่วนไว้บนหน้าของเขาน่ะหรือ?” หลี่จินหมิงนึกได้ว่าลืมเล่าภรรยาจึงรีบชี้แจงโดยเร็ว“วันที่เราแต่งงานกัน เขาแวะมาแสดงความยินดีแล้วก็รีบกลับ ข้า
หนึ่งปีผ่านไป...เสียงอ้อแอ้ของทารกน้อยวัยห้าเดือนทำให้หลี่จินหมิงอดหัวเราะไม่ได้ บุตรชายของเขาเลี้ยงง่ายที่สุด แทบไม่เคยร้องไห้ให้บิดาหรือมารดาต้องเหนื่อยปลอบใจ ต่างจากบุตรสาวที่ส่งเสียงร้องบ่อยกว่ามาก แต่อุ้มไม่นานก็หลับไป นิสัยคล้ายคลึงกับมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ผิดเพี้ยนหลี่จินหมิงมองภรรยาที่เอนตัวพักหลังในช่วงบ่ายด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก พลางนึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อนที่เขาต้องง้อนางอยู่เกือบเดือน พอเข้าใจกันดีกลับมีอีกเรื่องที่ทำให้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นคือเรื่องที่ภรรยาตั้งครรภ์ แต่กระนั้นนางก็หมั่นปลอบใจเขาจนคลายความวิตก ทั้งยังเปลี่ยนเรื่องได้อย่างฉลาด ว่าคนที่อาการน่ากังวลกว่ามากก็คือตัวเขาที่ปวดศีรษะเป็นประจำยามนั้นหมอหลวงสกุลหวงงานเข้าจนแทบไม่ได้พักผ่อน สามีของเฟยฮวาอาการบาดเจ็บกำเริบจากการฝืนเดินทางจึงต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากทำความสะอาดบาดแผลในช่วงเช้า หวงซิงซวี่ก็ต้องมาตรวจดูเขาอย่างละเอียดว่าป่วยเป็นโรคอันใด ยังมีเรื่องที่ต้องเดินทางตรวจคนไข้ประจำ รวมทั้งต้องเตรียมตัวเดินทางไปยังนอกเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์โรคระบาด เสวียนหนิงอันจึงเสนอแกมบังคับว่าให
“นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลี่จินหมิงพักผ่อนไม่ดีมาหลายวัน ได้หลับสนิทนาน ๆ จึงรู้สึกว่าตนมีกำลังวังชาขึ้นมาก “ยาของหวงซิงซวี่ได้ผลดีเกินคาดจริง ๆ”“อย่าพูดจาเหลวไหลสิเจ้าคะ ยาของเขาอันตรายที่สุด เชื่อถือไม่ได้สักนิด เขาพูดว่าท่านควรได้สติภายในหกชั่วยาม แต่ท่านกลับหลับนานจนข้ากังวล เสียงดังอย่างไรก็ไม่ยอมฟื้น เขย่าอย่างไรก็ไม่รู้สึกตัว ข้าตกใจมากเลยนะเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันตัดพ้อพลางเช็ดน้ำตาแรง ๆ“คงเป็นเพราะกินยาเกินกว่าที่เขาสั่งไว้กระมัง”หลี่จินหมิงไม่คิดว่าตัวยาจะมีฤทธิ์แรงจึงกินไปสองเม็ดในคราวเดียว “หนิงเอ๋อร์ พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้ากังวล แต่ที่ผ่านมาพี่พยายามดูแลตนเองอย่างที่ให้คำสัญญาไว้กับเจ้า เพื่อที่จะได้อยู่ดูแลเจ้าไปนาน ๆ ใช่อยู่ว่าสามวันแรกที่เข้าใจว่าสูญเสียเจ้านั้นพี่ผิดคำพูดไปบ้าง กินเพียงกับแกล้ม ดื่มแค่สุรา แต่พอตั้งสติได้ก็รีบกลับมารักษาสุขภาพ ไม่เลือกกินอาหาร เดินออกกำลังในบ้านวนไปวนมาทุกวัน เพิ่งจะบังคับตนเองให้นอนไม่ได้ก็ราวเจ็ดวันที่ผ่านมานี้เอง”“เพิ่งจะนอนไม่ได้หรือเจ้าคะ” เสวียนหนิงอันถามอย่างมิเข้าใจนัก“เรื่องการนอนก็ยังเป็นปัญหาอยู่บ้างจริง ๆ พอไม่ได้ฟังคำข
สาวงามที่ถูกเรียกถึงกับส่ายหน้า นับวันเจียอียิ่งโตยิ่งเอาแต่ใจ บางครั้งก็พูดยากจนน่าตี เช่นบอกให้เรียกว่าคุณหนูเสวียนก็ไม่ยอมเรียก ทั้ง ๆ ที่ตักเตือนหลายหนแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนเล็กในบ้านสกุลหลี่ ควรระมัดระวังกิริยาให้มาก แต่นางก็ยังไม่ยอมรับฟัง ทั้งยังไม่ปรับปรุงตัว มาวันนี้คงต้องดุมากสักหน่อยจะได้รู้ความเสียบ้าง ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำกันแน่ทว่าเสวียนหนิงอันยังมิทันได้สั่งสอนอย่างที่ตั้งใจไว้ สาวใช้คนโปรดก็รีบรายงานเรื่องสำคัญที่ทำให้นางถึงกับต้องเสียกิริยา“นายท่านหมดสติไปตั้งแต่เมื่อวาน ผ่านมาสิบสองชั่วยามแล้วยังไม่ฟื้นเลยเจ้าค่ะ!”เสวียนหนิงอันวิ่งออกจากจวนของบิดาทันที!เสียงตวาดดังลั่นทำให้หวงซิงซวี่สะดุ้งสุดตัว แต่กระนั้นก็ยังไม่น่ากลัวเท่ายามที่เห็นน้องสาวคนงามถลาร่างเข้ามายืนข้าง ๆ บุรุษที่ยังไม่ได้สติ บนใบหน้างามเผยความเกรี้ยวกราดอย่างไม่ปิดปัง“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง!” เสวียนหนิงอันเขย่าแขนสามีแรง ๆ ทว่าเขายังคงนอนนิ่งเฉยดังเดิม “ท่านทำอันใดกับเขา บอกข้ามาตามตรงเดี๋ยวนี้!”“หนิงเอ๋อร์ใจเย็นก่อน...”“ท่านจะพูดหรือไม่!” เสวียนหนิงอันเดินเร็ว ๆ ไปยังหวงซิงซวี่ สองตาจ้อง
ยามพ่อบ้านหวังอู่แจ้งว่ามีแขกขอพบ เสวียนหนิงอันฟังแล้วไม่ใส่ใจ คิดไปว่าเป็นเล่ห์กลของสามีที่ต้องการวางแผนให้นางใจอ่อน แต่พอได้ยินชัด ๆ ว่าคนที่มาคือสตรีตั้งครรภ์นามว่าเฟยฮวากับสามี เสวียนหนิงอันก็พลันนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เลือดลมในร่างกายแปรปรวน โทสะร้อนพลุ่งพล่านเสียยิ่งกว่าเดิม“นางอายุครรภ์ไม่น้อยแล้ว แต่เขากลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้พบข้า! ต่อให้ไม่อยากพบหน้าก็คงต้องพบ พูดคุยให้รู้เรื่องว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ!”เสวียนหนิงอันให้สาวใช้เชิญเฟยฮวาและสามีใจร้ายไปพบกันที่สวน หลายวันมานี้อาการของนางดีขึ้นมากเพราะยอมรับกับตนเองแล้วว่าบางอย่างตัดออกจากชีวิตไปก็ใช่ว่าจะให้ผลดี สวนสวยใกล้เรือนนางในยามนี้จึงมีกลิ่นดอกเหมยกุ้ยหอมเย้ายวน เชิญชวนให้คนที่ผ่านทางไปมาอารมณ์ดีนางเดินเร็ว ๆ ตรงไปยังร่างอวบอ้วนที่ยืนรออยู่ในศาลา ระหว่างนั้นก็เตรียมถ้อยคำเสียดสีเอาไว้มอบให้กับบุรุษที่นั่งอยู่ด้วย แต่พอเดินไปใกล้ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่นั่งผินหน้าชมดอกไม้โดยรอบ มิใช่บุรุษที่นางคะนึงหาแต่อย่างใดเขาคนนั้นร่างกายผ่ายผอมราวกับคนป่วยหนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นคนงามที่มองแล้วละสายตา







