로그인จางลี่อิงมีสามีขี้โรคชื่อจิ่นฟานอวี้ ครอบครัวของนางเจอเขานอนสลบอยู่ในป่าเชิงเขาเมื่อหลายเดือนก่อนจึงพามารักษาที่บ้าน จิ่นฟานอวี้พักรักษาตัวอาศัยอยู่ในบ้านสกุลจาง เมื่ออาการดีขึ้นจึงถามไถ่ความเป็นมาของเขาพบว่าเขาเป็นบัณฑิตมาจากสำนักศึกษาอื่น กำพร้าพ่อแม่ ไม่มีพี่น้องไร้ญาติขาดมิตร ต่อมาทางตระกูลจางจึงวางแผนจับเขาให้แต่งงานกับจางลี่อิงแล้วยกบ้านหลังเก่าๆ กับที่ดินอีกเล็กน้อยแยกบ้านให้ทั้งคู่อยู่กันเอง
เพราะพวกเขาอยากให้นางออกไปให้พ้นจากบ้านสกุลจาง ฉะนั้นจะหาคนที่เหมาะสมกว่านี้คงไม่มีแล้ว บุตรชายตระกูลใหญ่โตต่างก็รังเกียจนางกันถ้วนหน้า แม้ว่าผู้เฒ่าจางให้แม่สื่อจัดการให้ก็ไม่มีบุรุษคนใดเหลียวแล อย่าว่าแต่คุณชายบัณฑิตเลย แม้แต่ชาวนาธรรมดายังไม่มองนางแม้แต่หางตาซ้ำร้ายยังดูถูกดูแคลนสารพัด
จิ่นฟานอวี้จำใจแต่งกับนางเพื่อทดแทนบุญคุณที่บ้านสกุลจางเคยช่วยเหลือจากเงื้อมมือมัจจุราชจนฟื้นคืนมา มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทดแทนได้ถึงแม้ไม่เต็มใจ เขาเป็นคนเงียบขรึมไม่เคยปริปากบ่นเรื่องใดสักครั้งยังคงทำตามหน้าที่ได้ดีเสมอต้นเสมอปลายสร้างความอุ่นใจให้ผู้เฒ่าจางได้เป็นอย่างดี
จางลี่อิงเมื่อแต่งงานได้ไม่นานเห็นว่าสามีป่วยกระเสาะกระแสะดูผอมแห้งขี้โรคไม่มีลักษณะท่าทางที่ดูปกป้องนางได้จึงเริ่มรังเกียจเขาและมองหาผู้ชายคนใหม่ มีคนที่ชอบพออยู่คือคุณชายเสินเฉียนบุตรชายเศรษฐีค้าผ้า เขามักออกมาค้าขายในหมู่บ้านบ่อยครั้งแต่ก็ไม่มีสักครั้งที่เขาจะเมียงมองมายังนาง อย่างมากก็หลอกขายผ้าคุณภาพต่ำราคาแสนแพงให้โดยที่นางมาขูดรีดเอาเงินกับจิ่นฟานอวี้ไปจ่ายจางลี่อิงเดินฝ่าลมหนาวพลางทบทวนความทรงจำเก่าๆ ไปด้วยนึกเวทนาตัวเองยิ่งนัก นี่นางเป็นบ้าหรือมีนิสัยเสียแบบนี้มาแต่แรกกันแน่ หรือเพราะไม่มีพ่อแม่คอยอบรมถึงเติบโตมาบิดเบี้ยวราวกับคนไร้ค่าอย่างไรอย่างนั้น นางเดินคิดเรื่อยเปื่อยจนในที่สุดก็มาถึงบ้าน นางไม่รอช้ารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าห้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาก่อไฟใส่เตาฟืนให้ความอบอุ่นใช้เวลาผิงอยู่ครู่ใหญ่จึงเริ่มสำรวจบริเวณบ้าน
นางกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านหลังเก่าคร่ำคร่าทรุดโทรม มีห้องจำนวนสองห้อง มีโรงครัว ห้องเก็บฟืน พื้นที่หลังบ้านเหลือไม่มาก นี่คงเป็นความเมตตาที่สุดที่สกุลจางมอบให้เป็นสิ่งสุดท้ายสินะ
นางเดินกลับเข้าไปในห้องเปิดดูตู้เสื้อผ้าอีกครั้งพบว่าเสื้อผ้ามีเพียงสี่ชุดวางกระจัดกระจายไร้ระเบียบมิหนำซ้ำยังสกปรกเหม็นอับเหมือนไม่ได้รับการดูแลสุขอนามัยที่ดี
ห้องหับก็มีแต่ฝุ่นเขรอะขระพื้นเดินแทบไม่ได้สากเท้าเหลือจะทนจางลี่อิงจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านปัดกวาดเช็ดถูจัดของในห้องให้เข้าที่เข้าทาง นำเสื้อผ้าที่กองระเกะระกะอยู่ในตู้ที่ดูรกตา อีกทั้งปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มไปซักใหม่ทั้งหมด
เมื่อใช้แรงจนหมดกว่าจะเรียบร้อยพออยู่ได้ก็กินเวลาจนถึงเย็น ท้องไส้เริ่มประท้วง จางลี่อิงไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้าแล้วในตอนนี้นางจึงหิวมากมาย เดินเข้าไปดูในครัวมีมันเทศเพียงสองหัว ข้าวสารในหม้อว่างเปล่า ฟืนดุ้นใหญ่มีเพียงดุ้นเดียว อาหารอย่างอื่นในครัวก็ว่างเปล่าเช่นกัน
"ยากจนขนาดนี้เลยหรอเนี่ย"
จางลี่อิงและจิ่นฟานอวี้ถูกตัดขาดจากการช่วยเหลือของตระกูลจาง มิหนำซ้ำบางครั้งยังมารีดไถเงินจากจิ่นฟานอวี้โดยอ้างว่าเป็นค่าสินสอดให้ผ่อนจ่ายได้ หากเขามีรายได้ก็ควรจ่ายให้ทุกเดือน จิ่นฟานอวี้จึงจ่ายให้เดือนละสองตำลึง นอกจากพวกเขาไม่เคยสนใจแล้วยังขูดรีดสองสามีภรรยาเป็นประจำ อีกคนหนึ่งขี้โรคอีกคนสติปัญญาไม่ดีทำงานไม่เป็นหาเงินก็ไม่ได้ ใช้แรงงานได้เพียงสองอย่างคือหาบน้ำกับผ่าฟืน แม้กระนั้นทั้งสองหน้าที่ยังบกพร่อง ภาระหนักจึงตกอยู่กับจิ่นฟานอวี้ ระยะหลังนางเห็นเขาทำได้ก็ละเลยไม่ทำช่วยสักอย่าง วันๆ เอาแต่นั่งเหม่อลอย ชะเง้อเฝ้ารอซื้อผ้ากับพ่อค้าเสินเฉียน แต่เขาก็ไม่เคยปริปากบ่นกับใครสักครั้ง เขาก็ทำได้เท่าที่เรี่ยวแรงน้อยนิดพอจะมี
ความสัมพันธ์ของทั้งสองห่างเหินกันมากแทบเรียกได้ว่าอยู่คนละบ้านด้วยซ้ำ อันที่จริงก็พักอาศัยอยู่คนละห้องอยู่แล้วไม่เคยร่วมเตียงร่วมโต๊ะอาหารกัน ไม่เคยพูดจากัน แต่ยามนางลําบากเดือดร้อนก็มีเพียงเขาที่ตามล้างตามเช็ดจนชาวบ้านเอือมระอากับพฤติกรรมเหลือขอของจางลี่อิง ด้วยความเป็นบ้าเสียสติของนางบางทีนึกจะพูดสิ่งใดก็พูดชวนให้คนเกลียดชังนางก็ทำอยู่เนืองๆ
จางลี่อิงก่อไฟแล้วนำมันเทศมานึ่งทั้งสองหัว พรุ่งนี้นางคงต้องออกไปหาฟืนสักหน่อยแล้ว นึกแล้วก็น่าโกรธนักสวรรค์ก็ช่างกระไรเกิดใหม่ทั้งทีได้เป็นคนยากจนข้นแค้นลำบากตรากตรำเสียจนน้ำเน่า ท่านเทพทั้งหลายช่างทำกันได้ นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอยากถามเบื้องบนเหลือเกินว่าเหตุใดถึงทำกันได้ลงคอ
"เหอะ ช่างเถอะกลุ้มใจไปก็เท่านั้น"
นางถอนหายใจยาวอย่างหดหู่ ถึงอย่างไรนางก็ต้องต่อสู้จนถึงที่สุด ไหนๆ ก็ได้เกิดใหม่อีกครั้งแล้ว หากมัวแต่งอมืองอเท้าทำนิสัยเดิมมีหวังได้อดตายเป็นแน่แท้
มันเทศนึ่งสุกแล้วนางกินไปหนึ่งหัวก็อิ่ม ยังเหลืออีกหนึ่งหัวเอาไว้ให้คนข้างใน มองเข้าไปในห้องของเขามีแสงของตะเกียงสว่างวาบลอดออกมานอกห้อง อากาศหนาวเย็นเตาสำหรับผิงมีเพียงหนึ่งเตาและมันอยู่กับนาง จางลี่อิงจึงเอาถ่านใส่เพิ่มจนเสร็จนางก็ยกไปด้านตะวันตกของบ้าน
"ก๊อกๆๆ"
จิ่นฟานอวี้เงยหน้าจากการคัดอักษรลุกเดินไปเปิดประตู เขาไม่แปลกใจที่เป็นนางแต่แปลกใจที่นางเหยียบย่างมาที่นี่ในยามค่ำคืน
"มีธุระอันใด"
น้ำเสียงเย็นชาและแววตาว่างเปล่าถามขึ้นราบเรียบ ถึงเขาไม่ชอบนางแต่ก็อดทนอยู่ได้ ทำใจจนเกิดความเคยชินและกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกไปในที่สุด
ควันจางๆ พวยพุ่งออกจากปากหยักรูปสวยบ่งบอกว่าในห้องของเขาอากาศก็หนาวเย็นมากไม่ต่างจากด้านนอก
"ขอข้าเข้าไปหน่อย"
เขาหลีกทางให้นางเดินเข้าไปด้านใน จางลี่อิงวางเตาลงตรงกลางห้อง จิ่นฟานอวี้ปิดประตูกันลมเข้าแล้วเดินกลับมานั่งคัดอักษรตามเดิม
"หิวหรือไม่"
นางถามเพราะนี่ค่ำมากแล้วมองดูราวๆ ยามสวี่ (19.00-20.59)
จิ่นฟานอวี้หยุดพู่กัน เขาไม่ตอบคำถามยังคงจดจ้องอยู่ที่ตัวอักษรจากนั้นเขาก็คัดต่อไป จางลี่อิงลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกไป นางเข้าไปในครัวนำจานใส่หัวมันนึ่งที่เหลือมาให้ เป็นเพราะว่าอากาศหนาวมากคิดว่าเขาคงไม่อยากเดินออกมาจึงไม่พูดสิ่งใด
มันนึ่งหัวใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะไม้พร้อมน้ำชาร้อนๆ ที่เพิ่งยกลงจากเตาและรินให้เขา จิ่นฟานอวี้วางพู่กันลงกินหัวมันนึ่งที่แกะเปลือกออกแล้วนั่งกินเงียบๆ โดยมีจางลี่อิงนั่งผิงไฟอยู่ด้านข้าง
"ข้าขอผิงไฟด้วยสักครู่นะ พออบอุ่นแล้วก็จะกลับไปที่ห้อง"
นางชวนคุยขออนุญาตเขา
"อืม"
จิ่นฟานอวี้ตอบแค่นั้นก็กินมันเทศต่อนางจึงเงียบปากลง พวกเขาสองคนไม่ชอบกันมาก่อนแล้วนางในอดีตยังไม่ได้เรื่องสร้างแต่ความเดือดร้อนให้เขาบ่อยครั้ง เท่านั้นยังไม่พอยังชอบพ่อค้าผ้ารูปงามให้คนติฉินนินทาเสียๆ หายๆ เสื่อมเสียชื่อเสียงของตัวเองและสามีมานับไม่ถ้วน แต่จิ่นฟานอวี้ก็ตามแก้ปัญหาให้ตลอดมา ถึงเขาไม่ได้ชอบนางแต่ไม่เคยแสดงออกว่ารังเกียจใดๆ ออกมาเหมือนที่คนอื่นทำ มีเพียงความนิ่งเฉยและเงียบเชียบแสดงออกแทนทุกความรู้สึก ที่สำคัญเขาก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่มาอยู่กับครอบครัวสกุลจางแล้ว
เกวียนมาถึงสำนักศึกษาโดยจิ่นฟานอวี้ลงเพียงคนเดียวคนที่เหลือออกเดินทางไปที่อื่นต่อ จางลี่อิงโบกมือร่ำลาทำเอาคนบนเกวียนอมยิ้มไม่หุบเพราะเห็นสีหน้าตกตะลึงของบัณฑิตหนุ่มเมื่อรถเทียมเกวียนจากไปแล้วเขาจึงเดินเข้าสำนักศึกษา ได้ยินเสียงบางอย่างจึงล้วงในย่ามพบหมั่นโถวกับเงินหนึ่งถุงที่จางลี่อิงใส่เอาไว้ให้ติดตัว เขาหยุดเดินยืนนิ่งงันอยู่ครู่เดียวก็เดินเข้าสำนักศึกษาไปจางลี่อิงเอาของป่าตากแห้งมาขายเช่นเคยนางเริ่มมีลูกค้าประจำที่มารอซื้อสามสี่คน นอกจากนั้นพวกเขายังชวนเพื่อนมาอุดหนุนหรือซื้อไปฝากญาติๆ ของป่าของนางขายดีกว่าเจ้าอื่นเพราะความอัธยาศัยดียิ้มแย้มและขายไม่แพง บางครั้งก็แถมให้หากคนใดซื้อเยอะ เมื่อขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็วนางก็สะพายตะกร้าเดินออกจากตลาดอย่างเร่งรีบจิ่นฟานอวี้เลิกเรียนในตอนบ่ายเขาเดินออกมาที่ด้านหน้าพบหญิงสาวคนหนึ่งยืนกอดอกก้มหน้าเขี่ยเท้าเล่นไปมา บุคลิกของนางกลับดูน่ามองไม่เบื่อในตอนนี้แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเคยเป็นหญิงสติไม่ดีมาก่อน"เจ้ามาที่นี่ทำไม"เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย"ข้ามารอรับเจ้ากลับบ้านพร้อมกัน"จางลี่อิงยิ้มออกมารอยยิ้มของนางดูสดใสกว่าทุกวัน นางไม่เคยยิ้มให้เข
"ขอโทษที่ข้ามาช้า นั่นเจ้าทำอะไรหรือ"นางวางตะกร้าลงได้กลิ่นอาหารลอยมาตั้งแต่หน้าบ้านรีบวิ่งปรู้ดเข้าไปดูในครัวเขายืนมือไพล่หลังอยู่ใกล้ๆ บอกนางจะได้ไม่ต้องรีบร้อนเพราะเขา"ไม่เป็นไรเจ้ากลับมาเหนื่อยๆ จะได้กินเลย ข้าตุ๋นเห็ดตากแห้งกับทำหมั่นโถวเอาไว้"เขายิ้มน้อยๆ ให้นางรอยยิ้มดูเป็นมิตรดีแต่ก็ยังแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาเหมือนเดิม จบคำพูดเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก"เสร็จหรือยัง มาข้าช่วย"นางกุลีกุจอช่วยตักออกจากหม้อสำหรับสองที่ ยกชามเห็ดตุ๋นร้อนๆ กับหมั่นโถวมาวางบนโต๊ะ เขาทำเอาไว้ทั้งหมดหกลูกสำหรับกินหลายวัน"หมั่นโถวนี่กินได้กี่วัน"นางสงสัยเพราะมีอาหารหลายอย่างให้เลือกวัตถุดิบในบ้านก็ไม่ขาดแคลนแล้ว"ข้ากินมื้อละหนึ่งลูก นอกนั้นเอาไว้ให้เจ้าพกติดตัวยามหิวตอนขึ้นเขาและไปตลาด"เขาทำเผื่อนางไว้กินแก้หิวกลางทาง จางลี่อิงกล่าวขอบคุณเขา พลันใบหน้าซีดเซียวก็แดงเรื่อขึ้นมาไม่มีสาเหตุ กินข้าวเสร็จเก็บครัวเรียบร้อยนางก็เอาของไปเก็บทำความงานบ้านเสร็จหมดทุกอย่างนางนึกขึ้นได้ไปหยิบถุงเงินมาไว้กับตัว ช่วงค่ำนางเข้าไปในห้องของจิ่นฟานอวี้ขอรบกวนเวลาเขาสักครู่ มือผอมบางล้วงถุงเงินออกมานับยื่นให้เขาห้าสิบตำ
"ใช่แล้วข้าจะเอาไว้กินแล้วก็เอาไว้ขายด้วย"นางยิ้มร่าเริงมือผอมบางเขี่ยเมล็ดผักที่แช่น้ำในกระป๋องไปมา จิ่นฟานอวี้เห็นดังนั้นก็ขอมาหนึ่งกระป๋องถกแขนเสื้อเตรียมลงมือ"ข้าช่วยปลูก"เขาบอกกับนางพลางเดินไปอีกแปลง"แต่ว่าเจ้าต้องอ่านหนังสือ"นางเกรงใจเขาอยากให้ใช้เวลานี้ตักตวงความรู้ให้เต็มที่เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบส่วนงานสวนนี้นางจะจัดการเอง"ไม่เป็นไรข้าอยากช่วย"เขาเอ่ยขึ้นสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดแล้วลงมือปลูกผัก นางเห็นเขาอยากช่วยก็ไม่อยากพูดพร่ำเพรื่อลงมือปลูกอีกแปลงแปลงผักสิบแปลงมีผักอยู่หกชนิด จางลี่อิงและจิ่นฟานอวี้ปลูกผักเสร็จเขาก็ล้างมือกลับเข้าห้องอ่านหนังสือต่อ ส่วนนางก็รดน้ำจนเสร็จเอาหญ้าแห้งที่เก็บมาด้วยคลุมแล้วปิดรั้วเอาไว้จางลี่อิงเตรียมตัวเอาเห็ดตากแห้งไปขายที่ตลาด เช้าวันรุ่งขึ้นนางรีบไปแต่เช้าก่อนตลาดจะวาย เส้นทางลัดหากอยากไปให้ถึงเร็วขึ้นจะมีซอกซอยเล็กแคบอยู่เส้นหนึ่งแต่ผู้คนไม่สัญจรเพราะค่อนข้างเสี่ยงอันตราย มักมีขอทานหรือโจรและพวกอันธพาลหนีการจับกุมของมือปราบมาซ่อนตัวดักปล้นคนผ่านไปผ่านมาบ่อยๆแต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่ช่วยย่นระยะเวลาไปถึงตลาดได้เร็วขึ้น นางเดินไปถ
"ท่านเลี้ยงข้ามาอย่างไรก็รู้อยู่แก่ใจ ตอนแต่งงานก็ไม่ได้มีเงินขวัญถุงมาให้ตั้งตัว สามีที่ท่านยัดเยียดให้ข้า บีบบังคับจิตใจเขามาแล้วไล่เราออกจากตระกูลแยกบ้านให้ ก็รู้ๆ อยู่ว่าเขาป่วยกำพร้าพ่อแม่ไม่มีเงินให้ แต่พวกท่านก็ยอมรับแล้วนี่ว่าเขายากจนแล้วจะรีดไถกันได้ ไม่เรียกว่าอำมหิตจะให้เรียกว่าอย่างไร"นางร่ายยาวเท้าความหลังเวลานี้ย่าเหลียวไม่อายนางก็ไม่อายเช่นกัน ผู้คนที่มุงดูต่างส่งเสียงฮือฮา ถึงบางคนจะรู้เรื่องของนางแต่เรื่องแต่งงานพวกเขาเพิ่งรู้ความจริงว่านางถูกบีบออกจากตระกูลโดยการแต่งงาน"บ้านกับที่ดินข้าก็ยกให้แล้วเจ้ายังเนรคุณด่าข้าอีก น่าน้อยใจนัก" ย่าเหลียวเล่นบทบาทตัดพ้อเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ตีสีหน้าเศร้าสร้อยป้าสะใภ้รองกระตุกแขนของย่าเหลียวมองดูสายตาคนในหมู่บ้านนางก็รู้สึกหวาดหวั่นแต่ย่าเหลียวไม่สนใจยังหมายมั่นเอาชนะต่อไป"มันคือส่วนของพ่อแม่ข้าต่างหากที่จริงท่านควรแบ่งให้มากกว่านี้ แต่ตระกูลจางก็เจียดมาให้ข้าเท่านี้คิดบ้างหรือไม่ หากท่านตายไปจะบอกท่านปู่ว่าอย่างไรทำเช่นนี้ไม่ถือว่าลำเอียงกับข้าหรอกรึ เทียบกับลูกหลานคนอื่นนับว่าท่านใจดำกับข้าที่สุด"จางลี่อิงไม่ยอมแพ้วันนี้ขาด
นับตั้งแต่แต่งงานเข้ามาในตระกูลจางจิ่นฟานอวี้นอกจากต้องจ่ายเงินคนในตระกูลแล้วยังต้องตามแก้ปัญหาของจางลี่อิงจนแทบไม่มีสมาธิอ่านหนังสือคัดอักษร แต่เขาก็อดทนอดกลั้นไม่พูดไม่จานางทั้งเห็นแก่ตัวกับเขาทั้งออกไปมีเรื่องกับคนอื่นทุกวันทั้งโดนรังแกมา ทั้งไปรังแกผู้อื่นตามกลุ่มอันธพาล สุดท้ายก็ถูกกลั่นแกล้งมีบาดแผลบ่อยๆ กิริยาหยาบคายไม่สนใจครอบครัว ขี้เกียจอาบน้ำ ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง อย่างที่บอกว่าทำได้เพียงผ่าฝืนและหาบน้ำที่ไม่ค่อยสำเร็จนางไม่ได้ชอบเขามาตั้งแต่แรกเห็นแล้วเพราะเขาขี้โรคผอมแห้งดูเหมือนผีในสายตาของนาง ช่วงหลังได้เจอกับพ่อค้าขายผ้ากลับทำให้หลงใหลในความหน้าตาดี คอยวิ่งตามเกวียนขายผ้าทุกครั้งที่เข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องคอยลากกลับบ้าน พอไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายตีตัวเองหยิกเนื้อจนได้แผลบ่อยครั้ง เพื่อนบ้านต่างเอือมระอาแทนจิ่นฟานอวี้กับพฤติกรรมที่น่าอับอายของนางแต่เพราะจิ่นฟานอวี้ชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อชาวบ้านพวกเขาจึงยังทำดีกับครอบครัวนางมาตลอด ครั้งนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ นางดูสงบเสงี่ยมรู้จักทำมาหากินเอาใจใส่สามี คนในหมู่บ้านที่เคยซุบซิบนินทาต่างแปลกใจเมื่อเห็นนางยิ้มร่าเร
นางมาถึงตอนยังไม่สายมากนักตลาดยังไม่วายจึงวางของลงขาย มีคนเดินผ่านไปผ่านมาต่างมองดูตะกร้าของนาง บ้างก็อยากแวะชม บ้างก็เดินเข้ามาเลือกดู ของป่ามีคนต้องการซื้ออยู่แล้วเพียงแต่ไม่ค่อยมีคนนำมาขาย พวกเขาเข้ามามุงดูสินค้าของนางอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดระยะ"นั่นดอกอะไร"หญิงวัยกลางคนถามขึ้นเมื่อเห็นเห็ดหน้าตาแปลกประหลาด"เห็ดหูหนูดำจ๊ะ ใช้ทำอาหารทั้งแกงตุ๋นและผัดกินได้แต่ห้ามกินดิบนะ"นางอธิบายสรรพคุณให้ฟังหญิงคนนั้นขอซื้อสามกำมือ ครู่ต่อมาเมื่อมีคนเห็นก็ตามมาซื้ออีกพร้อมกับซื้อผักป่าที่นำมาด้วยจางลี่อิงเหลือไว้สามกำมือกับผักป่าอีกเล็กน้อยมุ่งหน้าไปทางร้านขายยาเพื่อให้เขาตีราคาเห็ดหลินจือให้ แม้ในยุคของนางยังเป็นของราคาแพงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขาจะรู้จักหรือไม่"แม่นางจะรับยาแบบใดขอรับ"เถ้าแก่ถามนางด้วยความยิ้มแย้มบริการสุภาพแม้แม่นางน้อยคนนี้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าซีดทว่าดูสะอาดตา"ข้ามีสิ่งนี้มาขายไม่ทราบว่าท่านจะรับหรือไม่"นางเอ่ยถามออกไปพร้อมหยิบเห็ดหลินจือขึ้นมาห้าดอกเถ้าแก่เบิกตาโตอย่างตื่นเต้นของหายากเช่นนี้นางไปหามาจากที่ใดกัน ดูๆ แล้วน่าจะเป็นเห็ดหลินจือเอาไว้ใช้ทำยา"รับสิ ข้ารับ







