로그인นางขอตัวกลับไปนอน ก่อนไปไม่ลืมเอาจานและกาน้ำชาไปเก็บในครัวทิ้งเตาผิงไว้ให้เขา ก่อนหน้านั้นนางใช้เตาผิงเพียงคนเดียวไม่เคยเผื่อแผ่ให้จิ่นฟานอวี้เลยสักครั้ง เลวร้ายลงไปอีกยังสั่งให้เขาก่อไฟให้นางได้ผิงเพียงคนเดียวโดยที่เขาไม่เคยเรียกร้องสิทธิ์ที่ควรได้ นางทำอย่างนี้ทุกวันโดยไม่เคยคำนึงว่าอีกคนจะหนาวเหน็บเช่นไร
จางลี่อิงตื่นแต่เช้าตรู่ล้างหน้าเกล้าผมง่ายๆ ขึ้นเป็นมวยแล้วเก็บที่นอนพับผ้าที่เก็บมาเมื่อวาน เป็นเพราะมัวแต่หิวโหยหาของกินจนลืมพับเสื้อผ้าของตัวเองเอาไว้ เสร็จแล้วจึงเดินไปที่ห้องครัว ภายในนั้นไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่สักอย่าง นางจึงทำความสะอาดห้องครัวครั้งใหญ่ ถึงมันจะดูสะอาดสะอ้านเพราะจิ่นฟานอวี้เป็นคนเก็บกวาดอยู่บ่อยๆ แต่ก็อยากจัดสิ่งของให้เข้าที่มากกว่านี้ "โชคดีนะที่ยังมีแป้งสาลี" นางยิ้มดีอกดีใจขณะทำความสะอาดก็เจอแป้งสาลีซ่อนอยู่ในชามใบใหญ่มีฝาไม้ปิดไว้อย่างน้อยเช้านี้ก็ไม่อดตายแล้ว จางลี่อิงนำแป้งสาลีมานวดโรยน้ำตาลเล็กน้อยเพื่อทำหมั่นโถวเอาไว้กินได้สี่ลูกพอดี "วันนี้กินหมั่นโถวเปล่าๆ ไปก่อนก็แล้วกัน" นางพึมพำกับตัวเอง หลังจากทำเสร็จแล้วจึงคว้าถังน้ำมุ่งหน้าไปที่บ่อน้ำของหมู่บ้านพบชาวบ้านเรียงแถวรอตักน้ำสามสี่คน พวกเขาไม่แปลกใจที่พบเจอนางและไม่ได้ใส่ใจตักน้ำเสร็จก็รีบพากันกลับบ้าน จางลี่อิงตักน้ำหลายรอบเอาใส่จนเต็มถัง นางยังไม่หิวจึงเข้าห้องเก็บฟืนนำออกมาผ่าแล้วนำไปเก็บเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ "พี่ฟานอวี้ พี่ฟานอวี้" เสียงเล็กของใครบางคนตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านนางจึงเดินออกไปดู เจอหลิวซานซานถือตะกร้าใส่อาหารยืนอยู่หน้าบ้าน เมื่อสตรีทั้งสองได้เจอหน้ากันหลิวซานซานก็มองจางลี่อิงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม "เรียกสามีข้ามีธุระอันใด" หลิวซานซานชะงักไป โดยปกตินางบ้านี่ไม่พูดไม่จาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาให้นางผ่านเข้าไปยังห้องครัวได้ แต่วันนี้กลับถามนางด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม มองไปมองมาดูมีแววฉลาดเฉียบคมไม่เลื่อนลอยเหมือนคนไร้สติดั่งแต่ก่อน "ข้าทำไก่ตุ๋นมาให้พี่ฟานอวี้" นางเชิดหน้าตอบโดยไม่สนใจว่าเจ้าของบ้านมีตัวตนยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ เพราะหลิวซานซานทำอย่างนี้เป็นประจำเหมือนเป็นหน้าที่ไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่ทำอาหารถือมาฝากเขาจางลี่อิงก็ไปแอบกินจนหมดทุกคราไป "เอากลับไปเถอะขอบคุณนะที่ช่วยข้าดูแลสามี แต่มันคงดูไม่งามหรอกที่เจ้าทำเช่นนี้เจ้าทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่ากำลังให้ท่าสามีผู้อื่น แอบเล่นชู้กับสามีข้า! นี่เจ้าไม่อายเลยหรือ" จางลี่อิงพูดด้วยเสียงอันดังขึ้น หลิวซานซานเหมือนโดนตบจนหน้าชาที่ถูกจางลี่อิงต่อว่า นางนึกออกว่าควรโมโหจึงเงื้อมือขึ้นจะตบเหมือนที่เคยทำ จางลี่อิงคิดเร็วเงื้อมือขึ้นเตรียมโต้ตอบด้วยสายตาดุร้ายหลิวซานซานเห็นดังนั้นก็นึกหวั่นกลัว พ่นลมหายใจอย่างโกรธเกรี้ยวแทนแล้วหมุนตัวกระทืบเท้าเดินกลับไป ให้จัดการคนหน้าด้านสำหรับนางมันไม่ใช่เรื่องยาก ได้ยินเสียงเอะอะอยู่ด้านนอกดังเข้ามาถึงในห้องทำให้จิ่นฟานอวี้เดินออกมาดูเผื่อว่าจางลี่อิงก่อเรื่องขึ้นมาอีก "เกิดเรื่องอะไรขึ้น" นางหันไปทางต้นเสียงพบชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงแต่งตัวด้วยชุดสีเทาผ้าดูเก่าแต่เรียบสะอาด ลักษณะท่าทางสง่างามใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาแลดูสูงส่ง นี่สินะหลิวซานซานถึงชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ได้ทุกวี่วัน "ไม่มีอะไรหรอก หิวหรือยังมากินข้าวกันเถอะข้าทำไว้ให้แล้ว" นางชวนเขาแล้วยกหมั่นโถวและน้ำชาออกมา จิ่นฟานอวี้นั่งลงมองดูสตรีเบื้องหน้าไม่วางตา นางดูแปลกไปไม่เหมือนคนบ้าเช่นวันวาน ที่สำคัญคือทำอาหารเองได้แล้วยังทำเผื่อเขา ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาเป็นคนทำให้นางด้วยซ้ำ ทั้งคู่ไม่มีเวลาคิดมากนั่งลงกินหมั่นโถวเงียบๆ โดยไม่สนทนากันแต่อย่างใด เขากินไปสองชิ้นนางกินไปหนึ่งชิ้นก่อนเอาจานไปเก็บได้สั่งไว้ว่า "วันนี้กินหมั่นโถวก่อนอีกมื้อข้าจะเก็บไว้ให้เจ้ากินตอนกลางวัน เอาไว้ข้ากลับมาจะทำอาหารให้ใหม่" นางยิ้มแย้มก่อนหันหลังเดินเข้าครัว ชายหนุ่มไม่พูดจาสิ่งใดดวงตาสุขุมมีแววนิ่งขรึมยิ่งกว่าเดิม แพขนตางอนเรียงเป็นระเบียบขับให้ดวงตาของเขาดูมีเสน่ห์น่าค้นหากระพริบครั้งหนึ่งพร้อมกับยกชาขึ้นจิบ นางคว้าตะกร้าใบเก่าสะพายขึ้นหลังออกจากบ้านไปโดยมีจิ่นฟานอวี้ยืนมองดูแต่ก็ไม่ถามไถ่สักคำ จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องคัดอักษรต่อ บนภูเขามีของป่ามากมายหากรู้จักเลือกหรือรู้จักวิธีหาประโยชน์ใช้สอยจากมัน นางเจอลูกพลับสุกเต็มต้นหลายลูก เดินลึกเข้าไปพบเห็ดหลากหลายชนิดขึ้นตามพุ่มหญ้าและขอนไม้ นางไม่รอช้าเดินเข้าไปเก็บเอาทั้งหมดเพราะดูแล้วว่าไม่มีพิษสามารถกินได้ จากนั้นก็เอามีดที่ถือมาด้วยแซะตามพื้นดินจนขุดเจอเผือกอีกหลายหัว เมื่อได้เสบียงเต็มตะกร้าแล้วจางลี่อิงจึงลงจากเขามุ่งหน้ากลับบ้านอย่างร่าเริง ที่วันนี้ไม่ต้องกินแค่หมั่นโถวกับก้อนแป้งอีกระหว่างทางนางเจอชาวบ้านหิ้วปลามาเต็มถัง พวกเขานำมาขายแต่นางไม่มีเงินซื้อจึงขอแลกกับลูกพลับส่วนหนึ่งและเห็ดอีกส่วนหนึ่ง นางมาถึงบ้านเห็นจิ่นฟานอวี้กำลังกวาดลานบ้านเงียบๆ เขามองดูมาแต่ไกลเห็นนางแบกของเต็มตะกร้าจึงวางไม้กวาดแล้วเดินมาถือช่วย "ขอบใจ" จางลี่อิงยิ้มให้ เขามองดูของในตะกร้าก็นึกสงสัยเป็นอย่างมาก นางไม่เคยเข้าป่าไม่เคยขึ้นเขาไม่รู้จักของป่าสักชนิดแล้วได้ของพวกนี้มาได้อย่างไร "เจ้าเอาของพวกนี้มาจากที่ไหน" เขาไม่เชื่อว่านางจะหามาได้ด้วยตัวเองนางไม่เคยทำอาหารการกินจึงไม่รู้จักวัตถุดิบใดๆ อาหารในบ้านเขาก็เป็นคนจัดการมาแต่แรกเริ่ม ส่วนมากซื้อมาจากตลาดยามที่นำหนังสือคัดอักษรไปส่งให้ลูกค้าและไปรับจ้างอ่านจดหมาย สิ่งที่พอซื้อได้ก็เป็นพืชผักราคาถูก แป้งใช้ทำหมั่นโถว ส่วนเนื้อสัตว์นานๆ ทีถึงจะมีตกถึงท้อง "ข้าขึ้นเขาไปเก็บ มีของป่าผักป่าตั้งมากมาย" "เจ้ารู้จักของในป่าบนเขาตั้งแต่เมื่อใด" เขาถามตามความจริงเพราะมันไม่น่าเชื่อเลย จางลี่จิงรีบคิดและเอ่ยขึ้นว่า "ก็เวลาไปหาฟืน บางทีลุงรองก็บอกข้า หรือชาวบ้านที่ไปด้วยก็คอยบอกข้าว่าพืชชนิดไหนกินได้บ้าง ไปคราวนี้ข้าจำได้อันไหนก็เก็บอันนั้นมา ก็ไปแหล่งที่เคยไปกับคนอื่นนั่นแหละ" นางบอกพลางก่อเตาฟืน เมื่อได้ฟังเขาจึงคิดตามว่าอาจเป็นไปได้เพราะนางไปหาฟืนเป็นประจำเพียงแต่ไม่เคยได้ของป่าติดมือกลับมา เขาแอบสังเกตอยู่ตลอดเวลาที่นางกำลังจุดไฟ สงสัยว่านางเรียนรู้การก่อไฟมาจากที่ใดโดยปกติมีแต่เขาเป็นคนทำให้ จางลี่อิงรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้องนางจึงหันมาถามเขาตรงๆ "เจ้ามองข้าทำไม หรือมีสิ่งใดผิดปกติ" "เจ้าก่อไฟได้ด้วยหรือ" เขาถามขึ้นให้คลายสงสัย ถึงอย่างไรนางก็ทำไม่เป็นทั้งที่เคยสอนไปแล้วหลายรอบ "ข้าก็เรียนรู้จากเจ้าอย่างไรล่ะ" นางตอบง่ายๆ หากจะบอกว่าทำเป็นมาแต่ไหนแต่ไรก็ดูจะแปลกไปสักหน่อย เขาพยักหน้าพยายามทำความเข้าใจว่านางคงเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ การเป็นสายลับของนางนี้มีข้อดีไม่น้อยเลยชาติก่อนทั้งออกค่ายเดินป่าเรียนรู้วิธีช่วยเหลือตัวเองสารพัดแล้วยังฝึกฝนการต่อสู้ได้อีกด้วย ในคราบของพนักงานสาวออฟฟิศธรรมดาทว่าไม่เคยมีใครล่วงรู้ความสามารถนี้สักคน ทั้งคู่นั่งกินอาหารค่ำด้วยกันถึงก่อนหน้านี้จะไม่ร่วมโต๊ะมาก่อนแต่จิ่นฟานอวี้ก็กินให้แล้วเสร็จจะได้ไม่เสียเวลาทั้งคู่ นางทำปลาต้มเผือก ยำเห็ดรวม พอดีป้าหลิ่วเพื่อนบ้านผู้ใจดีมีใจเอื้ออารีต่องทั้งสองคนเอาข้าวสารมาให้เป็นค่าอ่านจดหมายของบุตรชายเมื่อวันก่อน วันนี้ที่บ้านจึงมีข้าวสารครึ่งหม้อเล็ก ตบท้ายด้วยลูกพลับที่เก็บมาจากภูเขา ทั้งคู่นั่งกินข้าวเงียบๆ เช่นเดิม เมื่อกลางวันจิ่นฟานอวี้คงไม่กินหมั่นโถวที่เหลือ เขาเก็บไว้ให้นางเผื่อหิวตอนกลับจากเขา เพราะนางชอบหิวตอนบ่ายหากไม่ได้กินก็ร้องโวยวายสบถด่าเขาเป็นประจำ วิธีนี้จึงแก้ปัญหาได้ผลเสมอมา ค่ำนี้เขาจึงกินข้าวไปหลายชามด้วยความหิว อาหารฝีมือของนางก็ไม่เลวนักเข้าขั้นอร่อยใช้ได้ กินอิ่มหนำสำราญกันท้องสองคน จิ่นฟานอวี้เตรียมตัวเอาจานไปล้างเหมือนที่เคยทำหลังจากกินเสร็จ ขณะที่กำลังถกแขนเสื้ออยู่นั้นจางลี่อิงก็มาเจอเข้าพอดี "ไม่ต้องๆ ข้าทำเอง เจ้าไปพักเถอะ" นางเก็บจานไปล้างอย่างคล่องแคล่วว่องไวผิดจากเดิมไปมาก จางลี่อิงคนเก่าออกจะเงอะงะตัวแข็งทื่อไม่เอาการเอางานลำพังหาบน้ำนางก็ยังทำไม่เคยสำเร็จ เมื่อถูกห้ามเขาจึงเปลี่ยนไปก่อเตาผิงแทนพอดีกับนางล้างจานเก็บกวาดห้องครัวเสร็จจิ่นฟานอวี้จึงเอ่ยปากชวน "ไปผิงไฟกันเถอะ" จากนั้นก็เดินนำหน้าด้วยความเฉยชาเหมือนเช่นเคย นางพยักหน้าเดินตามเข้าไปในห้อง เมื่อสักครู่ล้างจานแล้วมือเย็นเฉียบจนชาดิกไปหมด ได้ความอบอุ่นจากเตาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย จางลี่อิงได้รับความอบอุ่นเพียงพอแล้วนางจึงขอตัวกลับห้องนอนของตัวเอง ฟูกเก่าบางกับผ้านวมบางมีรอยขาดอยู่หลายจุดนางเพิ่งมีเวลาสังเกตดู มองเลยไปทางห้องทิศตะวันตกนึกถึงจิ่นฟานอวี้ขึ้นมา เขาก็คงหนาวเย็นเช่นเดียวกัน เห็นทีนางต้องหาผ้านวมใหม่สำหรับสองห้องเพิ่มความอบอุ่นเสียแล้วเกวียนมาถึงสำนักศึกษาโดยจิ่นฟานอวี้ลงเพียงคนเดียวคนที่เหลือออกเดินทางไปที่อื่นต่อ จางลี่อิงโบกมือร่ำลาทำเอาคนบนเกวียนอมยิ้มไม่หุบเพราะเห็นสีหน้าตกตะลึงของบัณฑิตหนุ่มเมื่อรถเทียมเกวียนจากไปแล้วเขาจึงเดินเข้าสำนักศึกษา ได้ยินเสียงบางอย่างจึงล้วงในย่ามพบหมั่นโถวกับเงินหนึ่งถุงที่จางลี่อิงใส่เอาไว้ให้ติดตัว เขาหยุดเดินยืนนิ่งงันอยู่ครู่เดียวก็เดินเข้าสำนักศึกษาไปจางลี่อิงเอาของป่าตากแห้งมาขายเช่นเคยนางเริ่มมีลูกค้าประจำที่มารอซื้อสามสี่คน นอกจากนั้นพวกเขายังชวนเพื่อนมาอุดหนุนหรือซื้อไปฝากญาติๆ ของป่าของนางขายดีกว่าเจ้าอื่นเพราะความอัธยาศัยดียิ้มแย้มและขายไม่แพง บางครั้งก็แถมให้หากคนใดซื้อเยอะ เมื่อขายหมดภายในเวลาอันรวดเร็วนางก็สะพายตะกร้าเดินออกจากตลาดอย่างเร่งรีบจิ่นฟานอวี้เลิกเรียนในตอนบ่ายเขาเดินออกมาที่ด้านหน้าพบหญิงสาวคนหนึ่งยืนกอดอกก้มหน้าเขี่ยเท้าเล่นไปมา บุคลิกของนางกลับดูน่ามองไม่เบื่อในตอนนี้แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเคยเป็นหญิงสติไม่ดีมาก่อน"เจ้ามาที่นี่ทำไม"เขาถามขึ้นด้วยความสงสัย"ข้ามารอรับเจ้ากลับบ้านพร้อมกัน"จางลี่อิงยิ้มออกมารอยยิ้มของนางดูสดใสกว่าทุกวัน นางไม่เคยยิ้มให้เข
"ขอโทษที่ข้ามาช้า นั่นเจ้าทำอะไรหรือ"นางวางตะกร้าลงได้กลิ่นอาหารลอยมาตั้งแต่หน้าบ้านรีบวิ่งปรู้ดเข้าไปดูในครัวเขายืนมือไพล่หลังอยู่ใกล้ๆ บอกนางจะได้ไม่ต้องรีบร้อนเพราะเขา"ไม่เป็นไรเจ้ากลับมาเหนื่อยๆ จะได้กินเลย ข้าตุ๋นเห็ดตากแห้งกับทำหมั่นโถวเอาไว้"เขายิ้มน้อยๆ ให้นางรอยยิ้มดูเป็นมิตรดีแต่ก็ยังแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาเหมือนเดิม จบคำพูดเขาก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก"เสร็จหรือยัง มาข้าช่วย"นางกุลีกุจอช่วยตักออกจากหม้อสำหรับสองที่ ยกชามเห็ดตุ๋นร้อนๆ กับหมั่นโถวมาวางบนโต๊ะ เขาทำเอาไว้ทั้งหมดหกลูกสำหรับกินหลายวัน"หมั่นโถวนี่กินได้กี่วัน"นางสงสัยเพราะมีอาหารหลายอย่างให้เลือกวัตถุดิบในบ้านก็ไม่ขาดแคลนแล้ว"ข้ากินมื้อละหนึ่งลูก นอกนั้นเอาไว้ให้เจ้าพกติดตัวยามหิวตอนขึ้นเขาและไปตลาด"เขาทำเผื่อนางไว้กินแก้หิวกลางทาง จางลี่อิงกล่าวขอบคุณเขา พลันใบหน้าซีดเซียวก็แดงเรื่อขึ้นมาไม่มีสาเหตุ กินข้าวเสร็จเก็บครัวเรียบร้อยนางก็เอาของไปเก็บทำความงานบ้านเสร็จหมดทุกอย่างนางนึกขึ้นได้ไปหยิบถุงเงินมาไว้กับตัว ช่วงค่ำนางเข้าไปในห้องของจิ่นฟานอวี้ขอรบกวนเวลาเขาสักครู่ มือผอมบางล้วงถุงเงินออกมานับยื่นให้เขาห้าสิบตำ
"ใช่แล้วข้าจะเอาไว้กินแล้วก็เอาไว้ขายด้วย"นางยิ้มร่าเริงมือผอมบางเขี่ยเมล็ดผักที่แช่น้ำในกระป๋องไปมา จิ่นฟานอวี้เห็นดังนั้นก็ขอมาหนึ่งกระป๋องถกแขนเสื้อเตรียมลงมือ"ข้าช่วยปลูก"เขาบอกกับนางพลางเดินไปอีกแปลง"แต่ว่าเจ้าต้องอ่านหนังสือ"นางเกรงใจเขาอยากให้ใช้เวลานี้ตักตวงความรู้ให้เต็มที่เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบส่วนงานสวนนี้นางจะจัดการเอง"ไม่เป็นไรข้าอยากช่วย"เขาเอ่ยขึ้นสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดแล้วลงมือปลูกผัก นางเห็นเขาอยากช่วยก็ไม่อยากพูดพร่ำเพรื่อลงมือปลูกอีกแปลงแปลงผักสิบแปลงมีผักอยู่หกชนิด จางลี่อิงและจิ่นฟานอวี้ปลูกผักเสร็จเขาก็ล้างมือกลับเข้าห้องอ่านหนังสือต่อ ส่วนนางก็รดน้ำจนเสร็จเอาหญ้าแห้งที่เก็บมาด้วยคลุมแล้วปิดรั้วเอาไว้จางลี่อิงเตรียมตัวเอาเห็ดตากแห้งไปขายที่ตลาด เช้าวันรุ่งขึ้นนางรีบไปแต่เช้าก่อนตลาดจะวาย เส้นทางลัดหากอยากไปให้ถึงเร็วขึ้นจะมีซอกซอยเล็กแคบอยู่เส้นหนึ่งแต่ผู้คนไม่สัญจรเพราะค่อนข้างเสี่ยงอันตราย มักมีขอทานหรือโจรและพวกอันธพาลหนีการจับกุมของมือปราบมาซ่อนตัวดักปล้นคนผ่านไปผ่านมาบ่อยๆแต่ก็เป็นเส้นทางเดียวที่ช่วยย่นระยะเวลาไปถึงตลาดได้เร็วขึ้น นางเดินไปถ
"ท่านเลี้ยงข้ามาอย่างไรก็รู้อยู่แก่ใจ ตอนแต่งงานก็ไม่ได้มีเงินขวัญถุงมาให้ตั้งตัว สามีที่ท่านยัดเยียดให้ข้า บีบบังคับจิตใจเขามาแล้วไล่เราออกจากตระกูลแยกบ้านให้ ก็รู้ๆ อยู่ว่าเขาป่วยกำพร้าพ่อแม่ไม่มีเงินให้ แต่พวกท่านก็ยอมรับแล้วนี่ว่าเขายากจนแล้วจะรีดไถกันได้ ไม่เรียกว่าอำมหิตจะให้เรียกว่าอย่างไร"นางร่ายยาวเท้าความหลังเวลานี้ย่าเหลียวไม่อายนางก็ไม่อายเช่นกัน ผู้คนที่มุงดูต่างส่งเสียงฮือฮา ถึงบางคนจะรู้เรื่องของนางแต่เรื่องแต่งงานพวกเขาเพิ่งรู้ความจริงว่านางถูกบีบออกจากตระกูลโดยการแต่งงาน"บ้านกับที่ดินข้าก็ยกให้แล้วเจ้ายังเนรคุณด่าข้าอีก น่าน้อยใจนัก" ย่าเหลียวเล่นบทบาทตัดพ้อเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ตีสีหน้าเศร้าสร้อยป้าสะใภ้รองกระตุกแขนของย่าเหลียวมองดูสายตาคนในหมู่บ้านนางก็รู้สึกหวาดหวั่นแต่ย่าเหลียวไม่สนใจยังหมายมั่นเอาชนะต่อไป"มันคือส่วนของพ่อแม่ข้าต่างหากที่จริงท่านควรแบ่งให้มากกว่านี้ แต่ตระกูลจางก็เจียดมาให้ข้าเท่านี้คิดบ้างหรือไม่ หากท่านตายไปจะบอกท่านปู่ว่าอย่างไรทำเช่นนี้ไม่ถือว่าลำเอียงกับข้าหรอกรึ เทียบกับลูกหลานคนอื่นนับว่าท่านใจดำกับข้าที่สุด"จางลี่อิงไม่ยอมแพ้วันนี้ขาด
นับตั้งแต่แต่งงานเข้ามาในตระกูลจางจิ่นฟานอวี้นอกจากต้องจ่ายเงินคนในตระกูลแล้วยังต้องตามแก้ปัญหาของจางลี่อิงจนแทบไม่มีสมาธิอ่านหนังสือคัดอักษร แต่เขาก็อดทนอดกลั้นไม่พูดไม่จานางทั้งเห็นแก่ตัวกับเขาทั้งออกไปมีเรื่องกับคนอื่นทุกวันทั้งโดนรังแกมา ทั้งไปรังแกผู้อื่นตามกลุ่มอันธพาล สุดท้ายก็ถูกกลั่นแกล้งมีบาดแผลบ่อยๆ กิริยาหยาบคายไม่สนใจครอบครัว ขี้เกียจอาบน้ำ ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง อย่างที่บอกว่าทำได้เพียงผ่าฝืนและหาบน้ำที่ไม่ค่อยสำเร็จนางไม่ได้ชอบเขามาตั้งแต่แรกเห็นแล้วเพราะเขาขี้โรคผอมแห้งดูเหมือนผีในสายตาของนาง ช่วงหลังได้เจอกับพ่อค้าขายผ้ากลับทำให้หลงใหลในความหน้าตาดี คอยวิ่งตามเกวียนขายผ้าทุกครั้งที่เข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านต้องคอยลากกลับบ้าน พอไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายตีตัวเองหยิกเนื้อจนได้แผลบ่อยครั้ง เพื่อนบ้านต่างเอือมระอาแทนจิ่นฟานอวี้กับพฤติกรรมที่น่าอับอายของนางแต่เพราะจิ่นฟานอวี้ชอบช่วยเหลือเอื้อเฟื้อชาวบ้านพวกเขาจึงยังทำดีกับครอบครัวนางมาตลอด ครั้งนี้ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปราวพลิกฝ่ามือ นางดูสงบเสงี่ยมรู้จักทำมาหากินเอาใจใส่สามี คนในหมู่บ้านที่เคยซุบซิบนินทาต่างแปลกใจเมื่อเห็นนางยิ้มร่าเร
นางมาถึงตอนยังไม่สายมากนักตลาดยังไม่วายจึงวางของลงขาย มีคนเดินผ่านไปผ่านมาต่างมองดูตะกร้าของนาง บ้างก็อยากแวะชม บ้างก็เดินเข้ามาเลือกดู ของป่ามีคนต้องการซื้ออยู่แล้วเพียงแต่ไม่ค่อยมีคนนำมาขาย พวกเขาเข้ามามุงดูสินค้าของนางอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดระยะ"นั่นดอกอะไร"หญิงวัยกลางคนถามขึ้นเมื่อเห็นเห็ดหน้าตาแปลกประหลาด"เห็ดหูหนูดำจ๊ะ ใช้ทำอาหารทั้งแกงตุ๋นและผัดกินได้แต่ห้ามกินดิบนะ"นางอธิบายสรรพคุณให้ฟังหญิงคนนั้นขอซื้อสามกำมือ ครู่ต่อมาเมื่อมีคนเห็นก็ตามมาซื้ออีกพร้อมกับซื้อผักป่าที่นำมาด้วยจางลี่อิงเหลือไว้สามกำมือกับผักป่าอีกเล็กน้อยมุ่งหน้าไปทางร้านขายยาเพื่อให้เขาตีราคาเห็ดหลินจือให้ แม้ในยุคของนางยังเป็นของราคาแพงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขาจะรู้จักหรือไม่"แม่นางจะรับยาแบบใดขอรับ"เถ้าแก่ถามนางด้วยความยิ้มแย้มบริการสุภาพแม้แม่นางน้อยคนนี้จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าซีดทว่าดูสะอาดตา"ข้ามีสิ่งนี้มาขายไม่ทราบว่าท่านจะรับหรือไม่"นางเอ่ยถามออกไปพร้อมหยิบเห็ดหลินจือขึ้นมาห้าดอกเถ้าแก่เบิกตาโตอย่างตื่นเต้นของหายากเช่นนี้นางไปหามาจากที่ใดกัน ดูๆ แล้วน่าจะเป็นเห็ดหลินจือเอาไว้ใช้ทำยา"รับสิ ข้ารับ







