“ท่านแม่!”
เสียงเรียกของบุตรชาย ทำให้หยางฮูหยิน สะดุ้งตื่นจากภวังค์ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อออกให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากหลังฉากกั้น
“เจ้าจะเสียงดังไปทำไมกัน หืม!”
เมื่อเห็นท่าทางไม่พอใจของบุตรชาย นางก็พอจะเดาได้ว่าไปมีปัญหากับคนเป็นพี่มาอีกอย่างแน่นอน มีบางครั้งที่นางรู้สึกว่าบุตรชายคนรอง ช่างมีนิสัยแตกต่างจากหยางเหยาเกอ มากจนเกินไป นี่จึงเป็นที่มาของความชิงชัง ที่พ่อแม่สามีไม่ชื่นชอบเขา
“ท่านพ่อกับท่านย่า และน้องสามกลับมาแล้วขอรับ”
ชายหนุ่มรีบบอกผู้เป็นแม่ ด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจเท่าใดนัก เพราะมันชัดเจนว่าทุกคนนั้น ดูเป็นครอบครัวอันกลมเกลียว เว้นแต่เพียงกับหยางเฮ่อหลงเท่านั้น ที่มักถูกมองข้ามไปเสียอย่างนั้น ซึ่งนางก็ไม่ได้ใส่ใจสักนิด เพราะมันคือความต้องการของนางแต่แรกอยู่แล้วนั่นเอง
“แล้วอย่างไร”
เมื่อได้ยินว่าสามี กับบุตรสาวคนเล็กกลับมา ใบหน้าที่เย็นชาอยู่แต่เดิม ยิ่งตึงขึ้นอีกหลายส่วน เมื่อนึกถึงสามีเลือกที่จะไปทำงานอยู่ไกลเมืองหลวง พร้อมพาบุตรสาวคนเล็ก จากไปด้วยกันกลับมาแล้ว
“ไยทุกคนจึงยินดี กับการแต่งงานของไอ้ขยะนั่นนักเล่า ทีข้าที่เป็นคนสมบูรณ์เพียบพร้อม กลับพากันมองข้าม ราวกับข้าเป็นเพียงอากาสธาตุเล่าขอรับ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามมารดา ด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาที่เป็นบุตรชายคนหนึ่งของบิดา หลานคนหนึ่งของปู่กับย่า ไยจึงถูกปฏิบัติราวคนนอกเยี่ยงนี้
“เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม เมื่อมันยังไม่ถึงเวลา ที่เจ้าจะต้องทำสิ่งใด”
หยางฮูหยินเอ่ยกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ก่อนจะนั่งลงแล้วรินชาขึ้นดื่มแก้กระหาย ราวกับความร้อนใจของคนเป็นลูก ไม่ได้ทำให้นางเป็นกังวลสักนิด
“ทำไมท่านแม่ยังใจเย็นอยู่ได้ขอรับ หากหยางเหยาเกอแต่งงานกับสตรีหยาบช้าผู้นั้น ก็เท่ากับมันจะมีคนคอยหนุนหลัง แล้วแบบนี้ข้าจะยังมีหวัง สืบต่อสกุลหยางอีกหรือขอรับ”
หยางเฮ่อหลง เดินไปนั่งเคียงข้างมารดา ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล เขาที่เกิดมาสมบูรณ์พร้อม กลับเป็นรองขยะชิ้นหนึ่งของสกุลหยาง ญาติสายอื่นๆ ล้วนชิงชังในความพิกลพิการนั่นแท้ๆ
แต่ทำไมท่านปู่ท่านย่า รวมถึงบิดาต่างก็พะเน้าพะนอมันอย่างออกนอกหน้า คนตาบอดมองไม่เห็น การศึกษาหรือก็ไม่ได้ร่ำเรียน เขาที่ทำได้แทบทุกอย่าง กลับถูกมองเป็นเศษฝุ่น มันช่างน่าเจ็บใจนัก
“เฮ่อหลง เจ้าอย่าได้ตีโพยตีพายไปเลย สิ่งใดที่แม่ลงมือมันจะดีเสมอสำหรับเราสองคน ทำใจเย็นเอาไว้เถอะ ไม่นานเจ้าจะได้สิ่งที่ดีที่สุด”
หยางฮูหยิน เลื่อนถ้วยชาให้แก่บุตรชาย ยิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ นางยิ่งรู้สึกสุขใจเกินจะบรรยาย ก่อนที่สองแม่ลูกหยุดการสนทนา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก
“เรียนฮูหยิน นายท่านให้มาเชิญไปพบขอรับ”
เป็นบ่าวข้างกายของหยางมู่เสวียน ที่ก้าวมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องหนังสือ พร้อมแจ้งถึงจุดประสงค์ที่มาเยือน
“อืม...”
หยางฮูหยินตอบรับในลำคอ ก่อนจะชำเลืองมองไปที่บ่าวชายซึ่งยืนอยู่หน้าประตู ดวงตาคู่งามถึงกับหรี่ลง เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม นางจำได้ว่าเมื่อก่อนที่สามีจะออกเดินทางไกล เขาได้นำเด็กกำพร้าที่บุตรชายคนโต ได้ช่วยเอาไว้ติดตามไปด้วย
เพื่อให้เป็นเพื่อนเล่น และองครักษ์ของหยางหลิงหลง บุตรสาวคนเล็กของนาง บัดนี้เจ้าเด็กไร้บ้านเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ทว่าเขากลับมีใบหน้า คล้ายกับบุตรชายคนโต และบุตรสาวคนเล็กของนาง รวมถึงยังมีบางส่วนคล้ายกับตัวนางอีกด้วย ต่างจากหยางเฮ่อหลง ที่ไม่เหมือนใครเลยแม้แต่ตัวนางเอง
“หยางสวี่เหยา เป็นเจ้าหรือ”
หยางฮูหยินขยับกายหันไปมองชายหนุ่ม เพื่อให้ชัดแก่สายตาตัวเอง
“ขอรับ เป็นข้าเองขอรับ ฮูหยินสบายดีนะขอรับ”
ชายหนุ่มตอบรับ และเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบของนายหญิงกลับ ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน และนอบน้อมตามฐานะของตนเอง ด้วยเขาเป็นเด็กกำพร้า ที่ได้รับการช่วยเหลือจากคุณชายใหญ่ และได้ใช้แซ่หยางของผู้เป็นนาย นับว่าเป็นวาสนาของเขายิ่งนัก
“หึๆ เขาเลี้ยงเจ้าได้ดีนี่ ข้าย่อมสบายดีอยู่แล้ว เอาเป็นว่าอีกสักครู่ข้าจะไปพบนายของเจ้า”
น้ำเสียงที่เคยเย่อหยิ่งของนาง มันกลับหายไปเมื่อได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มชัดๆ และนั่นทำให้หยางเฮ่อหลงไม่พอใจยิ่งนัก
“ขอรับ”
“ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ข้านึกว่าเจ้าตายไปนานแล้ว เจ้ายังอยู่อีกรึ! เหอะ! เห็นข้าเจ้ายังไม่คิดที่จะทำความเคารพ สมควรถูกโบยนัก!”
หยางฮูหยินชำเลืองมองไปที่บุตรชาย และนั่นยิ่งทำให้การเปรียบเทียบเกิดขึ้นภายในใจ หากจะว่าไปแล้ว คนเรามิว่าจะถูกเลี้ยงดูแบบใดก็ตาม สายเลือดที่เข้มข้นมันจะทำให้ อุปนิสัยไม่แตกต่างกันมากนัก แต่กับหยางเฮ่อหลงนั้น เรียกว่ายืนอยู่คนละขั้วกับพี่น้องคนอื่นๆ เลยก็ว่าได้
“ข้าน้อยคารวะคุณชายขอรับ”
หยางสวี่เหยา ประสานมือโค้งการคำนับคุณชายรอง ก่อนจะทำเพียงยืนก้มหน้ามองพื้น อย่างรู้เจียมตน แม้เขาจะถูกเลี้ยงดู มิต่างจากบุตรคนหนึ่งของนายท่านหยาง แต่ก็ไม่อาจหาญที่จะกระทำตัวตีเสมอ โดยเฉพาะกับคุณชายรอง ที่เป็นลูกรักของฮูหยินได้
ด้วยเป็นที่รู้กันดี ว่าคุณชายรองนั้นเอาแต่ใจเพียงไร หากใครที่ขัดใจมักถูกทำให้บาดเจ็บ หรือหายไปอย่างไร้ร่องรอยมาไม่น้อยแล้ว แม้เขาจะเป็นคนของนายท่าน แต่ก็ไม่ควรประมาทไปต่อกรกับคุณชายรอง เลี่ยงได้เขาก็ควรที่จะเลี่ยงเสีย
“เจ้าคนชั้นต่ำ! นี่เจ้าประชดข้าอย่างนั้นรึ!”
เมื่อได้รับการคารวะจากบ่าวรับใช้ของบิดา หลังจากที่เขาทักท้วงขึ้น มันเหมือนอีกฝ่ายจงใจประชดเขา ชายหนุ่มจึงเดือดดาลขึ้นในทันที ยิ่งเห็นใบหน้าที่ดูสะอาดตาของบ่าวชั้นต่ำคนหนึ่ง ในใจของเขามันยิ่งคุกรุ่นด้วยโทสะขึ้นมาทันที ราวน้ำมันที่ราดรดลงบนกองไฟ
“ข้าน้อยมิได้คิดเช่นนั้นเลยขอรับ คุณชายรองโปรดอย่าได้ปรักปรำข้าน้อยเลยนะขอรับ”
หยางสวี่เหยา รีบคุกเข่าลงหมอบอยู่บนพื้น และนั่นทำให้หยางฮูหยินรู้สึกใจกระตุกวาบในทันที จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นวางบนอกเพื่อให้แน่ใจว่ามิได้คิดไปเอง
“หากเจ้าไม่ได้ประชด ไยจึงต้องรอให้ข้าบอกจึงทำ!”
“หยุดได้แล้ว เฮ่อหลง! เจ้าทำแบบนี้มันจะยิ่งทำให้บิดาเจ้า ไม่พอใจมากกว่าที่เป็น”
“ข้าเป็นลูกของท่านพ่อ แต่มันเป็นคนอื่น ไยท่านพ่อจะต้องไม่พอใจข้าเล่าขอรับ เป็นมันที่สมควรถูกตำหนิ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นโวยวายเสียงดัง เมื่อเห็นว่ามารดาออกหน้าช่วยผู้อื่น
เวลาก่อนหน้านั้น ในช่วงเวลารุ่งสาง ณ จวนสกุลลั่ว เมิ่งหยู๋เฟิง ได้ตื่นขึ้นมาในช่วงก่อนเหล่าสหาย จะติดตามท่านแม่ทัพใหญ่ออกไปหน้าประตูเมือง เพื่อรอรับคู่แฝด ทว่าตัวเขามิได้ติดตามทุกคนออกไป เพราะเขามีหน้าที่อื่นต้องทำ ชายหนุ่มได้เร้นกายอยู่ในความมืด เพื่อรอดูความเป็นไปภายในจวน และคนแรกที่เขาเห็น คือบุตรสาวคนเล็กของจวน เดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวใหญ่ หญิงสาวสั่งการสาวใช้ ให้จัดเจรียมเครื่องสมุนไพร สำหรับทำไก่นึ่งสมุนไพรให้แก่แขกของพี่สาว โดยไม่รู้เลยว่าทุกคำพูดของนาง คนที่บอกว่าอยากจะกิน ได้ยินมันทั้งหมด ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม กับความใส่ใจของนาง ดูเหมือนรายการอาหารอื่นๆ จะไม่มีสิ่งใด เป็นความชอบพิเศษของเหล่าสหายเลยสักนิด ซึ่งไก่นึ่งสมุนไพรของเขา ก็เป็นเมนูที่ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากอันใด แต่มันจะพิเศษเมื่อคนทำใส่ใจ กับสิ่งที่ทำให้คน...คนหนึ่งกิน ทว่าในจังหวะที่เขากำลังใส่ใจต่อคุณหนูสาม หางตาก็มีร่างของใครบางคนก้าวผ่านไป สตรีร่างท้วมผู้นี้ ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก ก่อนที่เรียวปากหนาบิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขานึกขึ้นได้แล้ว ว่าเคยพบหญิงผู้นี้ที่ไหน คนข้างก
ลั่วเจิ้งคัง รีบก้าวขึ้นไปบนรถม้า เพื่อรับหลานรักทั้งสอง เพียงเห็นใบหน้ากลมป้อมนั่น ความอ่อนไหวของชายผู้เป็นนักรบกล้า พลันมีน้ำตาคลอหน่วย ราวกับอิสตรีผู้หนึ่งไปเสียอย่างนั้น “เจ้าตัวเล็กของปู่ ช่างน่ารักน่าชังอะไรเยี่ยงนี้ มาให้ปู่อุ้มหน่อยเร็ว” ท่านแม่ทัพใหญ่ ยื่นมือสองข้าง ไปแตะบนใบหน้าน้อยๆ อย่างถนอม ชายสวมหน้ากาก ก้มลงกระซิบๆ เบากับเด็กน้อย ก่อนที่ลั่วเยี่ยนถง จะอ้าแขนเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นปู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งกอดทั้งหอมหลานชายเสียหลายที ก่อนจะรับเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมแขนอีกข้าง และก็ทำเหมือนเมื่อครู่ต่อนางเช่นกัน “หมดหน้าที่ของข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อนนะขอรับ ส่วนสาวใช้และผู้ติดตามของคุณชายและคุณหนู จะมาถึงในภายหลัง ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ ทุกอย่างล้วนเรียบร้อยดีขอรับ” หลี่ถง ไม่เปิดโอกาสให้ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ซักถามสิ่งใด เขารีบบอกทุกอย่างให้จบในคราเดียว ก่อนจะประสานมือแล้วก้าวออกจากรถม้าไป ลั่วเจิ้งคัง ผู้ผ่านการต่อสู้มาตั้งแต่ก้าวสู่วัยหนุ่ม ได้ฟังแค่นี้เขาก็เข้าใจได้ในทันที ว่าเหตุใดจึงมีเพียงคนสวมหน้ากาก และลั่วเฉาเท่านั้น ท
หวืด! ปลายดาบคมกริบ พาดผ่านใบหน้างามเพียงเฉียดฉิว ทว่าคนลงมือยังช้ากว่านางไปพอสมควร เมื่อแม่ทัพสาวเอนกายไปด้านหลัง ราวกับตัวนางไร้ซึ่งกระดูกอย่างไรอย่างนั้น ในความรู้สึกของชายชุดดำ มันอ่อนช้อยทว่าแข็งแกร่ง มิใช่ว่าใครๆ ก็ฝึกฝนจนสำเร็จได้เสมอไป แม่ทัพหญิงผู้นี้จะต้องมุ่งมั่นเพียงใด จึงมีฝีมือระดับนี้ได้ ชายชุดดำที่พุ่งเข้าโรมรันแม่ทัพสาว ขบคิดอยู่ภายในใจ ด้วยตัวเขายอมรับแบบไม่อาย ว่าฝีมือยังมิอาจเทียบแม่ทัพหญิงตรงหน้าได้ สองพี่น้องไม่ได้ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆ ทั้งคู่ต่างลงมือต่อคนร้าย ประหนึ่งนักล่าที่ไม่ยินยอมให้เหยื่อหลุดมือไปได้ เรียกว่าเก็บทุกลมหายใจให้สิ้น ทางด้านชายหนุ่มอีกห้าชีวิต ได้อารักขารถม้า โดยใช้วิชาตัวเบาตามติดรอบรถม้า แทบจะไร้ช่องว่างให้ใครได้ฉวยโอกาสลงมือ พ้นป่าไผ่ไปก็คงพบกับคณะของท่านแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาทั้งหมดต้องหายไป แต่การที่คู่แฝดอยู่บนรถม้า โดยไร้คนดูแล ถ้าท่านแม่ทัพใหญ่เห็นเข้า คงเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน “คู่แฝดต้องมีพี่เลี้ยง มิเช่นนั้นท่านลุงลั่ว คงต้องสอบสวนเรื่องนี้อีกยาวเลย” อู๋เกอเ
“ท่านแม่ทัพ ด้านนอกให้ข้าจัดการเองเถอะเจ้าค่ะ ตัวท่านยังไม่ควรเปิดเผยให้พวกมันรู้” หญิงสาวยื่นส่งคุณชายน้อยในมือ ให้แก่แม่ทัพหนุ่ม นางในฐานะผู้นำการคุ้มกัน ย่อมไม่ปล่อยหน้าที่นี่ให้แก่ลูกค้าแบกรับได้ แม้ตลอดการเดินทาง นางจะมาในฐานะสาวใช้ก็ตาม “รบกวนแม่นางมู่แล้ว” แม่ทัพหนุ่มรับบุตรชายมาอุ้มไว้ ก่อนจะจัดแจงวางพวกเขาไว้ในตะกร้านอน ก่อนจะกลับมานั่งนิ่ง พร้อมวางดาบคู่ใจพาดไว้บนตัก ในบ้านของเขามีคนไม่ซื่อตรงจริงๆ หรือนี่! ด้วยตลอดการเดินทางนั้น นอกจากโจรป่าตามรายทาง เขาไม่เคยพบกับการลอบโจมตีเลยสักครั้ง แต่หลังจากกำหนดการเข้าเมืองหลวงของเขาเป็นที่แน่ชัด หลังน้องสาวส่งข่าวมาเมื่อคืน กลุ่มคนพวกนี้ก็ปรากฏขึ้นตามที่คาดการณ์ ตึก! ร่างงามได้เหินกายลงบนพื้น เบื้องหลังรถม้าอย่างสง่างาม โดยมีผู้ติดตามในการคุ้มกันครั้งนี้ เคลื่อนกายมาอยู่ด้านเคียงข้างหญิงสาวกว่าสิบชีวิต กลุ่มคนชุดดำที่ไล่กรวดรถม้ามาอย่างกระชั้นชิด จำต้องหยุดเท้าลง เมื่อมีกลุ่มคนขวางทางอยู่ สำนักคุ้มภัยสกุลมู่ ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจ ไม่เคยมีงานใดพลาดสักครั้ง แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ที่เดินมาส่ง”“ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้ากลับก่อน พรุ่งนี้พบกันใหม่”“เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบรับด้วยความสดใสร่าเริงเช่นเดิมชายหนุ่มหมุนกายเดินกลับไปยังเส้นทาง ที่เขาเดินผ่านมาเมื่อครู่ โดยเรียวปากหนาคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวทว่าก่อนที่นางจะเดินกลับเข้าไปในเรือน ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหันกลับไปมองชายหนุ่ม ที่ยังคงเดินไปได้ไม่ไกลนัก“พี่หยู๋เฟิง พรุ่งนี้อยากกินสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”ร่างสูงที่กำลังจะก้าวพ้นแสงไฟหน้าเรือน ได้หยุดเท้าก่อนจะหันกลับไปหาเจ้าของเสียงใส“ข้าอยากกินไก่นึ่งสมุนไพร”ชายหนุ่มคิดชื่อใดไม่ออก จึงเลือกที่คิดว่าหาง่ายตอบนางไป ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้ารับ พร้อมโบกมือให้แก่เขา“คุณชาย ข้าน้อยจะส่องไฟไปส่งนะขอรับ”พ่อบ้านจ้ง รีบเดินมาหาชายหนุ่ม พร้อมโคมไฟในมือ ด้วยเส้นทางกลับนั้นมิได้สว่างไปตลอดเส้นทาง“เอาโคมไฟให้ข้าเถิด ท่านลุงไปพักผ่อนเถอะขอรับ แค่นี้ข้ากลับเองได้ เดินส่งกันไปส่งกันมา คืนนี้คงมิได้นอนกันพอดี”“ขอรับ”ชายชรายื่นส่งโคมไฟให้แก่ชายหนุ่ม ก่อนจะยืนส่งจนร่างสูงใหญ่ลับตาไป จึงได้เดินกลับไปสำรวจความเรียบร้อย ภายในเรือนของคุณห
เวลาเดียวกัน เรือนรับรองแขกปีตะวันออก ณ จวนสกุลลั่ว ภายในห้องนอนอันมืดมิด ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงกว้าง และด้วยสภาพอากาศที่ดูจะอบอ้าวไปสักหน่อยสำหรับชายหนุ่ม เขาจึงสวมเพียงกางเกงนอนสีดำตัวเดียวเท่านั้น การเดินทางอย่างเร่งรีบมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ทำให้หลังมื้อค่ำเขาเลือกที่แช่กายในน้ำอุ่น แล้วเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ดึกมาก ทว่าเวลานี้เขาทำเพียงลืมตาในความมืด เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงฝีเท้าเก้ๆกังๆ อยู่ทางเดินหน้าห้อง มีจุดมุ่งหมายใด จึงได้มาเดินวนเวียนอยู่มิไปไหน หากจะเลยผ่านไปก็มิน่าใช่ หากมาหาเขาไยไม่ส่งเสียงเรียกเล่า ลั่วอันผิง ที่มีถาดใส่ถ้วยน้ำแกงอยู่ในมือ เดินวนไปวนมาด้วยมิรู้ว่า นางสมควรที่จะเรียกแขกของพี่สาวหรือไม่ เพราะสหายคนอื่นๆ ล้วนได้รับน้ำแกงบำรุงของท่านแม่ไปหมดแล้ว คงเหลือแค่บุรุษหน้านิ่งคนนี้ผู้เดียวด้วยนางไม่เคยมีแขกมาพักที่บ้านบ่อยนัก จึงไม่รู้ว่าการผ่านเลยเขาไป จะเสียมารยาทหรือไม่ แต่ในห้องของเขาก็ไร้แสงไฟแล้ว หากนางเรียกเขาก็เกรงจะเป็นการรบกวนแต่ถ้าไม่มอบสิ่งในมือให้ หากเขารู้ในภายหลัง อาจเกิดความขุ่นเคืองเอาได้ นางมิรู้ว่าบุรุษจะมีความน้อ