LOGINซูฉิง หมอสาวผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ดันทะลุมิติมาพร้อมกับ 'โรคปากไวหัวใจทะลึ่ง' ที่ทำให้เธอมักพูดจาชวนคิดลึกออกมาโดยไม่ตั้งใจ ชีวิตนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าการทำฟาร์มสมุนไพร เพื่อปลูกหญ้าดับไฟราคะมารักษาตัวเองให้หายขาดก่อนที่จะเผลอไปลวนลามใครเข้า แต่แล้วเธอก็ต้องมาทำงานร่วมกับ 'ท่านหมอเทวดา' อวี้เหยียน ผู้ที่เย็นชาและเคร่งครัดเรื่องศีลธรรม ภารกิจนี้จึงไม่ได้มีแค่การปลูกพืชสมุนไพร แต่คือการบำบัดความหื่นของตัวเอง และความเย็นชาของท่านหมอเทวดานี่แหละ ********** "ซูฉิง" อวี้เหยียนเรียกชื่อเธอเสียงแข็ง "โปรดรักษา มารยาทด้วย และนี่... ถือเป็นการเตือนครั้งที่หนึ่ง หากมีครั้งที่สอง... ข้าจะเริ่มแผนการรักษาโรคปากไวใจทะลึ่ง ของเจ้าอย่างจริงจัง" ซูฉิงทำตาโต เธอแสร้งทำเป็นตกใจอย่างสุดขีด ‘ท่านหมอเอ๊ย ท่านเพิ่งใช้สิทธิ์ในการเตือนไปหนึ่งครั้งแล้ว นั่นแปลว่าข้ายังมีโอกาส ป่วนท่านอีกสองครั้ง สินะ และถ้าการรักษาอย่างจริงจังของท่านคือการใช้เวลาอยู่กับข้ามากขึ้นล่ะก็... ข้าก็ยอมเป็น คนทะลึ่งตลอดไปเลยเจ้าค่ะ’ (ไม่มี NC อ่านได้ทุกเพศทุกวัย)
View Moreซูฉิง รู้สึกว่าหัวของเธอกำลังถูกค้อนเหล็กยักษ์ทุบอย่างแรงเหมือนกับกำลังถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์ ในโทษฐานที่เธอเคยแอบขโมยสูตรน้ำพริกของคุณย่ามาใส่ในยาลดน้ำหนักตอนสมัยเรียนแพทย์แผนปัจจุบัน... ไม่ใช่สิ มันไม่ได้ปวดหัวธรรมดา แต่มันปวดหัวเพราะ เธอเพิ่งโดนรถพยาบาลชน แล้วทะลุมิติมาอยู่ในร่างของสตรีโบราณ ที่กำลังจะอดตายข้างถนนต่างหาก
เมื่อเปลือกตาที่หนักอึ้งเปิดออก สิ่งแรกที่ซูฉิงเห็นคือ หลังคาไม้ผุๆ ที่มีแสงแดดลอดลงมาเป็นริ้วๆ และกลิ่นอับของสมุนไพรแห้งที่ไม่ถูกสุขลักษณะนัก เธอลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล พลางสำรวจร่างกายที่เปลี่ยนไป ร่างนี้ผอมบาง มือเล็กเรียว ดูไม่คุ้นเคย
“ให้ตายเถอะ... ข้าตายแล้วมาเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณอย่างที่พวกนิยายชอบเขียนกันจริงๆ หรือนี่” ซูฉิงพึมพำกับตัวเอง
ขณะที่เธอกำลังพยายามรื้อฟื้นความทรงจำของร่างเดิม (ซึ่งแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากชื่อ 'ซูฉิง' และการเป็นลูกสาวพ่อค้าสมุนไพรที่ยากจน) อาการที่คุ้นเคยก็เริ่มกำเริบขึ้นมา
ตุบ... ตับ... ตุบ…
ไม่ใช่เสียงหัวใจเต้น แต่เป็นเสียงของ ความคิดชวนฝัน ที่เพิ่งถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
‘ท่านแม่ทัพ... ทำไมท่านต้องแก้ผ้าคลุมไหล่ให้ข้าตรงนี้ด้วยเจ้าคะ ท่านไม่กลัวใครมาเห็น ร่างกายอันกำยำ ของท่านเลยหรืออย่างไร’
‘อ๊ะ ไม่ได้นะ ข้าเป็นหมอสาวผู้ทรงศีลธรรม แต่... แขนท่านแม่ทัพมันช่างแข็งแรงและอบอุ่นเสียจริง... ข้าอยากให้ท่าน โอบกอด ข้าจนกว่าไข้จะลดเลยเจ้าค่ะ’
ซูฉิงเบิกตากว้าง เธอรีบเอามือปิดปากแน่นราวกับกลัวว่า ความคิดทะลึ่งโปกฮา ของตัวเองจะหลุดออกมาเป็นคำพูด
“ไม่... ไม่จริงน่า โรคบ้าๆ นั่นมันตามข้ามาถึงที่นี่เลยหรือ”
'โรคจิตปฏิพัทธ์เพศตรงข้ามขั้นรุนแรง' หรือที่เพื่อนๆ เรียกอย่างตลกขบขันว่า 'โรคปากไวหัวใจทะลึ่ง' คือสิ่งที่ซูฉิงต้องต่อสู้มาตลอดชีวิตในโลกเดิม
มันเป็นอาการแปลกประหลาดที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของต่อม เอ็นดอร์ฟิน และ เซโรโทนิน ในสมอง ตามคำอธิบายที่เธอคิดขึ้นเอง เมื่อเธอเจอผู้ชายที่หน้าตาดีหรือมีเสน่ห์ หรือแม้แต่ นึกถึงเรื่องความรัก ความใคร่ หรือฉากโรแมนติกในนิยาย อาการปากไวใจทะลึ่ง จะกำเริบอย่างหนัก ทำให้เธอคิดมุกสองแง่สองง่าม หรือพูดจาชวนคิดลึก ออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ในโลกเดิม เธอพยายามควบคุมมันด้วยการ กินยาบำรุงประสาท ที่ทำจากสมุนไพรหายาก และอยู่ห่างจากผู้ชายหน้าตาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ตอนนี้... เธอทะลุมิติมาใน ยุคที่สมุนไพรแทบทุกอย่างบริสุทธิ์และทรงพลัง แต่เธอดัน ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเปลือกไม้เน่าๆ และที่แย่กว่านั้นคือ…
‘หากข้าเผลอไป ลวนลามท่านแม่ทัพ หรือ จูบท่านบัณฑิต เข้าในโลกที่ศีลธรรมเคร่งครัดแบบนี้ ข้าไม่โดนจับไป ตัดหัว หรือ เผาทั้งเป็น หรอกหรือ’
ความคิดนี้ทำให้ซูฉิงถึงกับ เหงื่อตก
“ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องหาทางรักษาโดยด่วน”
ความรู้ทางการแพทย์และสมุนไพรที่ติดมากับร่าง และเป็นสิ่งเดียวที่ร่างเดิมมี ทำให้เธอรู้ว่าหนทางเดียวที่จะรักษา โรคปากไวใจทะลึ่ง นี้ได้อย่างยั่งยืนคือการปลูกสมุนไพรพิเศษที่เธอเคยค้นคว้าไว้ นั่นคือ 'หญ้าดับไฟราคะ' และพืชตระกูลใกล้เคียง ซึ่งต้องใช้การดูแลอย่างพิถีพิถันใน พื้นที่เฉพาะ ที่เรียกว่า "ฟาร์มสมุนไพรหยาง"
ฟาร์มหยางคือความหวังสุดท้ายของเธอ
“ข้าต้องการเงิน ข้าต้องการพื้นที่ และที่สำคัญที่สุด... ข้าต้องการผู้ชายที่เก่งกาจพอจะช่วยปกปิดการทดลองบ้าๆ ของข้าได้”
ซูฉิงครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อคิดถึงผู้ชาย ชื่อหนึ่งก็ เด้งขึ้นมาในสมอง
อวี้เหยียน หมอเทวดาผู้เย็นชา
ความทรงจำของร่างเดิมผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน 'อวี้เหยียน' คือหมอเทวดาผู้เก่งกาจที่เปิดโรงหมอที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เขาเป็นที่นับหน้าถือตา เป็นที่รักของผู้คน เพราะความสามารถและ ความเคร่งครัด ในศีลธรรม
‘ดี ยอดเยี่ยมไปเลย เขาขึ้นชื่อเรื่องความ เคร่งขรึม และ เย็นชา จนน่ากลัว นั่นแปลว่าเขาไม่เคยชินกับการ หยอกเย้า หรือคำพูดชวนคิดลึกแน่นอน ถ้าข้าต้องพังทลาย กำแพงความเย็นชา ของใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของข้า... ก็ต้องเป็นท่านหมอเทวดานี่แหละ’
ซูฉิงรู้สึกว่าอะดรีนาลีน และความทะลึ่ง กำลังหลั่งออกมาพร้อมกัน นี่เป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต
เธอจัดการรวบรวมสมุนไพรแห้งเศษๆ ที่อยู่รอบตัวมาใส่ในถุงผ้าเก่าๆ เพื่อเป็นใบเบิกทางในการเข้าหาหมอเทวดา แล้วรีบมุ่งหน้าออกจากกระท่อมร้าง
เธอใช้เวลาเดินเท้าเกือบชั่วยามกว่าจะมาถึงใจกลางเมือง
โรงหมอ 'บำรุงกายใจ'
แค่ชื่อก็ฟังดูเคร่งขรึมและน่าเบื่อจนเกินทน โรงหมอเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยไม้โอ๊คสีเข้ม ดูสะอาดสะอ้านและเงียบสงบผิดปกติ คนไข้ทุกคนนั่งรอด้วยสีหน้าเรียบร้อย ไม่มีเสียงโวยวายหรือความวุ่นวายใดๆ
‘โรงหมออะไรกันเนี่ย เงียบยังกับป่าช้าหลังวัด ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยจน ความทะลึ่ง ในตัวข้าแทบจะ สำลักออกมาตาย’
ซูฉิงกลืนน้ำลาย เธอสูดหายใจลึกๆ พยายามควบคุมใบหน้าและท่าทางให้ดูเป็นสตรีที่ใสซื่อที่สุดในสามภพ เธอเดินเข้าไปในโรงหมออย่างสง่างามราวกับกำลังเดินบนแคตวอล์ก
ห้องตรวจหลักอยู่ด้านในสุด ด้านหน้ามีป้ายไม้แกะสลักอย่างสวยงามว่า 'ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียน'
เมื่อซูฉิงก้าวเข้าไปในห้องตรวจ... อาการกำเริบอีกครั้ง
ภายในห้องมีบุรุษหนุ่มรูปงามคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะตรวจยา เขาสวมชุดหมอสีขาวสะอาดสะอ้าน ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดราวกับ ภาพวาดจากสวรรค์ ผิวขาวผ่อง ดวงตาเรียวยาวดู เย็นชาและเฉยเมย ราวกับรูปสลักน้ำแข็ง ไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแม้แต่น้อย เขากำลังตรวจชีพจรของหญิงชราคนหนึ่งอย่างตั้งใจ
ความทะลึ่งในใจของซูฉิงเริ่มถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจอย่างแท้จริง เธอตระหนักว่าอวี้เหยียนไม่ได้เป็นแค่เป้าหมายในการปั่นป่วนของเธอเท่านั้น แต่เขาคือบุรุษหนุ่มที่แบกรับภาระของการเป็นหมอเทวดาผู้เคร่งครัดไว้บนบ่า เธอเห็นอวี้เหยียนยกมือขึ้นนวดขมับอย่างช้าๆ ก่อนจะถอนหายใจยาวหลายครั้ง ท่าทางของเขาแสดงออกถึงความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ “ท่านหมอ...” ซูฉิงพึมพำเบาๆ “ท่านต้องการการดูแลที่มากกว่าแค่ชาบำรุงของข้าแล้วนะเจ้าคะ...”ขณะที่ซูฉิงกำลังมองอวี้เหยียนด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน ทันใดนั้น... เหตุการณ์ที่ทำให้ซูฉิงต้องประหลาดใจที่สุดก็เกิดขึ้น อวี้เหยียนหันซ้ายหันขวาอย่างรวดเร็วเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากหีบไม้จันทน์ที่เพิ่งเก็บไปเมื่อครู่ มันคือ ตำราว่าด้วยการบำรุงแก่นแท้ของชีวิต เล่มนั้นอวี้เหยียนเปิดตำราเล่มนั้นอย่างเงียบๆ และเริ่มจ้องมองไปยังภาพวาดระบบสืบพันธุ์และอวัยวะภายในที่ซูฉิงเพิ่งเปิดดูเมื่อไม่นานมานี้ เขาจ้องมองภาพวาดนั้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่สนใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่ด้วยความโกรธหรือความอับอาย แต่เป็นด้วยความอยากรู้อยากเห
ซูฉิงเห็นท่าทีของอวี้เหยียนแล้วก็รู้ว่าเธอต้องใช้วิชาการเป็นเกราะป้องกัน เธอชี้ไปที่ภาพวาดในตำราอย่างกล้าหาญ “ท่านหมอ โปรดฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้พูดเรื่องไร้สาระ ข้ากำลังวิเคราะห์เนื้อหาในตำราต่างหาก ตำรานี้อธิบายถึงการสืบพันธุ์และการสร้างชีวิตอย่างตรงไปตรงมา นี่คือวิชาการชั้นสูงที่ท่านหมอไม่ควรห้ามนะเจ้าคะ”อวี้เหยียนแทบจะยกมือขึ้นกุมขมับ เขาไม่สามารถโต้แย้งเรื่องวิชาการได้ แต่เขาก็รับไม่ได้กับคำพูดของซูฉิง “การสืบพันธุ์นั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติและจารีต ไม่ใช่สิ่งที่สตรีควรจะนำมาพูดถึงอย่างเปิดเผย เจ้าพยายามใช้คำพูดเหล่านี้ยั่วยวนข้าใช่หรือไม่ เจ้าละเมิดกฎเหล็กข้อที่ 1 อย่างชัดเจนอีกครั้ง”“ยั่วยวนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ซูฉิงทำเสียงตกใจเกินจริง เธอรีบยื่นกระดาษโน้ตของอวี้เหยียนไปตรงหน้าเขา “ท่านหมอ ท่านต่างหากที่สนใจเรื่องเหล่านี้ ข้าเพิ่งพบบันทึกส่วนตัวของท่านที่เขียนว่า ‘สมุนไพรว่านบำรุงในตำรานี้ มีส่วนช่วยในเรื่องการสร้างชีวิตจริงหรือไม่ ข้าควรจะทำการทดลองอย่างละเอียดเพื่อหาข้อสรุป’”อวี้เหยียนถึงกับหน้าซีดเผือด เขาไม่คิดว่าซูฉิงจะค้นพบบันทึกส่วนตัวที่เขาเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน “นี
“ท่านหมอ ท่านหมอโบราณท่านนี้... ท่านช่างเป็นผู้ที่กล้าหาญในการวาดภาพจริงๆ” ซูฉิงพึมพำกับตัวเอง อาการกำเริบของเธอทำให้เธอไม่สามารถควบคุม ความคิดทะลึ่ง ที่แล่นเข้ามาในหัวได้อย่างทันท่วงทีซูฉิงรีบเอามือปิดปากแน่น เธอท่องกฎเหล็กข้อที่ 1 วาจาสุภาพ ซ้ำๆ อยู่ในใจ ราวกับคาถาป้องกันตนเอง “สงบสติไว้ซูฉิง มันคือวิชาการ มันคือความรู้ มันคือชีววิทยาที่ต้องได้รับการเคารพ ห้ามคิดถึงท่านหมอ ห้ามคิดถึงมุกตลก ห้ามคิดถึงการละเมิดกฎเหล็กครั้งสุดท้าย” เธอพึมพำกับตัวเองเสียงเบาที่สุดแต่ยิ่งเธอพยายามควบคุม อาการกำเริบก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ภาพวาดในตำราเริ่มถูกตีความในหัวของเธอด้วยศัพท์เฉพาะทางที่แฝงความทะลึ่ง “ท่านหมอโบราณท่านนี้ลืมพูดถึงความสำคัญของโครโมโซม X และ Y ในการกำหนดเพศของบุตรไปได้อย่างไร ท่านมัวแต่เน้นเรื่องการผสานหยินหยางเท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่องค์ประกอบทางพันธุกรรมนี่แหละคือกุญแจสำคัญในการสร้างชีวิตที่สมบูรณ์” ซูฉิงพึมพำเธอพยายามอธิบายภาพวาดระบบสืบพันธุ์ด้วยคำศัพท์ที่ไม่ทะลึ่ง แต่ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ถ้าข้าพูดว่าอวัยวะสืบพันธุ์มันจะผิดกฎไหมนะ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องใช้ศัพท์ที่ดูหรูหรากว่านี้ซูฉิงพลิ
ความวุ่นวายที่ซูฉิงสร้างไว้ในโรงหมอทำให้ท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนตระหนักว่า การปล่อยให้ซูฉิงอยู่ใกล้ชิดกับศิษย์น้องผู้ใสซื่ออย่างเถียนเถียนนั้น เป็นการติดเชื้อความทะลึ่งที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าที่เขาคาดไว้อวี้เหยียนตัดสินใจใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการดึงซูฉิงออกจากแปลงสมุนไพรและห่างจากเถียนเถียนให้มากที่สุด และสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับซูฉิงก็คือ... การขลุกอยู่กับตำราเก่าๆเช้าวันหนึ่ง อวี้เหยียนเรียกซูฉิงเข้าไปในห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเคย แต่ดวงตาของเขามีความระแวงแฝงอยู่ “ซูฉิง ข้ามีงานสำคัญที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถของเจ้าโดยเฉพาะ และเป็นงานที่ไม่ต้องการคำพูดที่ไม่เหมาะสมหรือการสัมผัสที่ไม่จำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น”ซูฉิงพยักหน้าอย่างตั้งใจ เธอกำลังรอคอยว่าเขาจะมอบหมายภารกิจอะไรให้เธอทำลายความเย็นชาของเขาเป็นครั้งที่ 3“งานของเจ้าคือการจัดเรียงและทำความสะอาดตำราสมุนไพรทั้งหมดในห้องสมุดส่วนตัวของข้า” อวี้เหยียนชี้ไปที่ประตูบานเล็กๆ ด้านในสุดของห้องทำงาน “เจ้าต้องใช้ความรู้เรื่องการจัดหมวดหมู่สมัยใหม่ของเจ้า เพื่อให้ข้าสามารถค้นคว้าสมุนไพรได้อย่างมีประสิทธิภาพ”ซูฉิงเบิกตา
“พอแล้ว ซูฉิง ข้า... ข้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าบ้าผู้ชาย ข้าแค่หมายความว่า... เจ้าควรจะรักษาจรรยาบรรณ” อวี้เหยียนกล่าวอย่างตะกุกตะกัก“จรรยาบรรณของข้าคือการรักษาคนไข้ให้หายขาดเจ้าค่ะ” ซูฉิงยืนยันอย่างหนักแน่น “และการรักษาอาการเคร่งเครียดของท่าน... ก็คือภารกิจสำคัญที่สุดของข้าในโรงหมอแห่งนี้”เถียนเถียนเดินเข้าไปกอดซูฉิงทันที “ศิษย์พี่ซูฉิง ท่านช่างกล้าหาญที่สุดเลยเจ้าค่ะ ท่านยอมรับข้อกล่าวหาอันน่าอับอายนี้เพื่อปกป้องความรู้ทางการแพทย์”อวี้เหยียนมองภาพศิษย์น้องของเขากำลังกอดสตรีที่เพิ่งละเมิดกฎเหล็กอย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกว่าโลกของเขากำลังพังทลายลง ซูฉิงไม่ได้ถูกควบคุมเลยแม้แต่น้อย แต่เธอกลับยึดครองโรงหมอของเขาด้วยความทะลึ่ง และความเข้าใจผิดอวี้เหยียนตัดสินใจยอมจำนนในสถานการณ์นี้อย่างสิ้นเชิง “พอแล้ว พวกเจ้าจงกลับไปทำงานของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้” อวี้เหยยียนสั่งเสียงดัง ก่อนจะหันไปมองซูฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ “ซูฉิง... ข้า... ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าในครั้งนี้ เพราะ... ข้ายังต้องการความรู้ของเจ้าอยู่ แต่จงจำไว้ เจ้าเหลือโอกาสสุดท้ายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จงใช้มันอย่างมีสติ”ซูฉิงโค
อวี้เหยียนตัวแข็งทื่อ เขาไม่เคยถูกสตรีสัมผัสด้วยความใกล้ชิดถึงเพียงนี้ และการสัมผัสมันก็รุนแรงเกินกว่าที่เขาจะรับได้ “เถียนเถียน หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้ากำลังทำอะไร” อวี้เหยียนสั่งเสียงเครียด“ท่านหมอเจ้าคะ ข้ากำลังช่วยให้พลังชี่ของท่าน ไหลเวียนอย่างสมบูรณ์ ศิษย์พี่ซูฉิงสอนว่าการสัมผัสที่ถูกจุดจะช่วยให้ท่านผ่อนคลาย และปลดปล่อยความเครียดได้อย่างถึงแก่นเจ้าค่ะ” เถียนเถียนยังคงนวดต่อไปด้วยความบริสุทธิ์ใจอวี้เหยียนรีบจับมือของเถียนเถียนออกทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธและความอับอาย นี่มัน... นี่มันคือการละเมิดกฎเหล็กข้อที่ 2 อย่างชัดเจน และเป็นการกระทำที่ถูกสอนมาจากซูฉิงชัดๆ อวี้เหยียนรู้แล้วว่า ซูฉิงไม่ได้ถูกควบคุมเลยแม้แต่น้อย เธอกำลังใช้ศิษย์น้องผู้ใสซื่ออย่างเถียนเถียนเป็นเครื่องมือในการปั่นป่วนเขาต่างหากเหตุการณ์ 'นวดคลึงหัวไหล่' โดยศิษย์น้องเถียนเถียนสร้างความตึงเครียดให้กับท่านหมอเทวดาอวี้เหยียนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาไม่สามารถลงโทษเถียนเถียนได้เพราะความบริสุทธิ์ใจของเธอ แต่เขาโกรธซูฉิงจนแทบจะระเบิดเช้าวันรุ่งขึ้น อวี้เหยียนเรียกซูฉิงมายังห้องทำงานทันที โดยไม่สนเรื่องการรัก






Comments