“หากเจ้ายังไม่หยุด! ก็กลับเรือนไปสงบสติอารมณ์ให้ได้ก่อน ค่อยไปพบท่านพ่อของเจ้าในภายหลัง”
แม้นางจะตามใจบุตรชายไปแทบทุกเรื่อง แต่ในบางเรื่องนางก็ต้องไม่ให้เสียการปกครอง ต่อหน้าผู้ต่ำศักดิ์กว่าได้
“ท่านแม่!”
“หยางเฮ่อหลง! ก่อนอำนาจทุกอย่าง จะตกสู่รุ่นของพวกเจ้า ไยไม่ลองคิดให้ดีว่ามันจะอยู่ในมือผู้ใดก่อน”
หยางเฮ่อหลง ขบกรามแน่นด้วยความขุ่นเคือง แต่เมื่อนึกตามคำของมารดา เขาก็ต้องยอมรับ ว่าก่อนที่จะถึงตาเขากุมอำนาจ มันจะต้องอยู่ในมือบิดาก่อนเป็นอันดับแรก หากเขาทำให้บิดาชิงชังไปมากกว่านี้ มันย่อมไม่เป็นผลดีเท่าใดนัก
“เจ้าไปเถอะ อีกสักครู่ข้ากับคุณชายรองจะตามไป”
หยางฮูหยิน หันกลับไปพูดกับหยางสวี่เหยา ซึ่งน้ำเสียงที่แสดงถึงความเอ็นดู ก็ยังคงมีดังเดิม
“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
หยางสวี่เหยา โค้งกายให้แก่เจ้าของเรือน ก่อนจะรีบก้าวจากไปในทันที ด้วยเกรงว่าคุณชายรอง จะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาอีก นี่มิใช่ครั้งแรกสำหรับเรื่องเช่นนี้ แต่เพราะคนอื่นในสกุลหยางเอ็นดูเขา เรื่องแค่นี้จึงไม่ทำให้เขาต้องถือสา
“อย่าได้ทำแบบนี้อีก ไปเตรียมตัวซะ!”
หยางฮูหยินหันกลับมากำชับบุตรชายเสียงกร้าว ถึงนางจะชื่นชอบให้หยางเฮ่อหลงเป็นคนแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช้ทำเรื่องเกินจากที่นางชี้นำ
“ข้าไม่อยากไป” หยางเฮ่อหลงเยี่ยงคนเอาแต่ใจ
“หากเจ้าไม่รู้อดทนเยี่ยงที่ข้าสอน ก็ควรรู้ตัวว่าต้องอยู่เยี่ยงไรในจวน”
ชายหนุ่มทำได้เพียงก้มหน้านิ่ง เพื่อซ่อนแววตาดุกร้าวของตนเองเอาไว้ เพราะถ้าครั้งใดที่มารดาโกรธขึ้นมาจริงๆ การเรียกขานชื่อเขาจะเปลี่ยนไป รวมถึงการแทนตัวของนาง ก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน
“ขอรับ”
กว่าชั่วอึดใจ หยางเฮ่อหลงจึงได้ตอบรับคำมารดา วันนี้เขายังทำอะไรไอ้ไพร่นั่นไม่ได้ แต่วันหน้ายังมี...
ชายหนุ่มยังคงหมายมาดที่จะกำจัด คนที่อาจหาญทำให้เขาถูกตำหนิ ร่างสูงก้าวออกจากห้องหนังสือ ไปด้วยโทสะที่อัดแน่นภายในใจ ปึก! ร่างสูงกระแทกเข้ากับร่างท่วมของแม่นมชรา ทว่าคงมีเพียงสายตากรุ่นโกรธเท่านั้น ที่ตวัดมองแม่นมหลี่ ซึ่งหญิงชราก็หาได้โกรธเคืองผู้เป็นนาย
“ฮูหยิน ทุกอย่างพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหลี่ก้าวเข้ามารายงาน ถึงสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
“รอเป็นพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน วันนี้นายท่านกลับมาแล้ว ข้าคงต้องอยู่บ้านก่อน”
แม้นางจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ที่ความตั้งใจถูกทำลาย แต่มันก็มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่หากนางออกจากบ้านไป ทั้งที่สามีกับบุตรสาวอยู่บ้าน นั่นอาจทำให้หลายสิ่งอย่างของนางสั่นคลอน นางจำต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี
“เช่นนั้น บ่าวจะช่วยแต่งตัวนะเจ้าคะ”
“อืม”
ฉีเหนียงเหนียง ก้าวออกจากห้องหนัง เดินตรงกลับไปยังห้องนอนของนาง เพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และประทินผิวให้ผุดผ่องอยู่เสมอ วัยของนางจะร่วงโรยไปเท่าใดไม่สำคัญ ขอเพียงนางดูแลตัวเองให้ดี ริ้วรอยต่างๆ ก็ไม่อาจคืบคานมาบนร่างกายของนางได้
แม่นมหลี่ได้สั่งการให้สาวใช้ ไปแจ้งกับคนขับรถม้า ว่าวันนี้ฮูหยินไม่ได้ไปจวนลั่วแล้ว ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนาย เพื่อไปจัดแจงเครื่องแต่งกายไว้ให้พร้อมเพรียง
เรือนหลัก
ภายในห้องโถงอันกว้างขวาง ท่านมหาเสนาบดี พร้อมบุตรชายคนโต และหลานชายคนโต ได้นั่งสนทนากันอย่างออกรส และคงหนีไม่พ้นเรื่องการแต่งงาน ของหยางเหยาเกอ ที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หยางมู่เสวียน มองบุตรชายคนโต ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในชีวิตแต่งงานของเขา สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจต่อภรรยา ก็คงเป็นการมอบบุตรชายหญิงแก่เขา แม้ว่านางจะชิงชังต่อการแต่งงานครั้งนี้เพียงใด ทว่านางก็มิได้ปฏิเสธการอุ้มท้องลูกๆ ทั้งสามคนของเขา
แม้จะมีบางช่วงเวลา ที่มีข่าวของนางกับอดีตคนรัก แต่เขามีหรือจะไม่รู้นิสัยหยิ่งจองหองของนาง ว่าต่อให้ยังมีใจกับอดีตคนรักอยู่ นางก็จะไม่ลดตัวไปทำเรื่องเสื่อมเกียรติ
ส่วนเรื่องที่นางชิงชังบุตรชายคนโตมาก นั่นเพราะบุตรชายถือกำเนิด จากความไม่เต็มใจของนาง และความคับแค้นใจของเขาในตอนนั้น ทำให้หลังการเกิดของหยางเหยาเกอ เขาและนางแทบไม่เฉียดใกล้กันเลย
แต่อย่างไรเขาก็คือบุรุษ ยังคงมีความต้องการของวัยหนุ่มอยู่เต็มกาย ครั้นจะให้ไปมีสัมพันธ์สตรีอื่น เขาก็ไม่อาจทำได้ลง จึงคงใช้สิทธิ์ความเป็นสามีต่อนาง จนให้กำเนิดบุตรชายหญิงอีกถึงสองคน
เขาจึงแยกตัวออกห่างไปอยู่ไกล พร้อมบุตรสาวคนเล็ก ปล่อยให้นางอยู่กับลูกรักของนางไปเสีย แม้จะมีหลายครั้งที่เขาเองก็เกิดความแคลงใจ ยามเห็นหน้าบุตรชายคนรอง มันไม่มีความเหมือนตัวนางหรือเขาเลย หรือจะเป็นปู่ย่าตายาย ก็ยังไม่มีส่วนคล้ายคลึงสักนิด
“เหนียงเหนียง คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่สบายดีหรือเจ้าคะ”
ฉีเหนียงเหนียง ก้าวเข้ามาภายในโถงกว้าง ก่อนจะย่อกายทำความเคารพพ่อแม่สามี แล้วจึงหันไปทักทายสามี ตามมารยาทมิให้ใครกล่าวตำหนิได้
“เจ้ามาแล้วหรือ มานั่งนี่เถอะ”
หยางมู่เสวียนเอ่ยเรียกภรรยา ให้มานั่งข้างๆ เขายังรู้สึกได้ว่าภรรยา คงความงามไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แต่นั้นก็มิได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของเขาและนาง ราบรื่นได้อยู่ดี ฉีเหนียงเหนียงก้าวไปนั่งลงเคียงสามี ใบหน้างามยังคงเชิดสูง อย่างหยิ่งผยองดังเดิม
ก่อนจะเหลียวมองไปยังบุตรชายคนโต โดยมีหยางสวี่เหยายืนเคียงข้างเพื่อคอยดูแล นับเป็นเรื่องปกติ เวลาที่สามีกลับมาจวน หยางสวี่เหยา จะไปคอยอยู่กับหยางเหยาเกอเสมอ
แต่ที่ทำให้นางสะดุดใจอีกหน คือความเหมือนของคนทั้งคู่ ราวกับเกิดจากพ่อแม่เดียวกันอย่างไรอย่างนั้น และนางมั่นใจว่ามิได้คิดไปเองเพียงคนเดียว
จนเมื่อหยางเฮ่อหลง ได้ก้าวเข้ามาภายในห้องโถง นั่นทำให้ทุกสายตาหันไปมองที่เขา ก่อนจะพากันชำเลืองมอง ไปยังหยางเหยาเกอ และหยางสวี่เหยาอีกครั้ง ทว่าทุกคนก็หาได้เอ่ยสิ่งที่คิดออกมาไม่ ด้วยรู้นิสัยขี้โวยวายของหยางเฮ่อหลงดี
เวลาก่อนหน้านั้น ในช่วงเวลารุ่งสาง ณ จวนสกุลลั่ว เมิ่งหยู๋เฟิง ได้ตื่นขึ้นมาในช่วงก่อนเหล่าสหาย จะติดตามท่านแม่ทัพใหญ่ออกไปหน้าประตูเมือง เพื่อรอรับคู่แฝด ทว่าตัวเขามิได้ติดตามทุกคนออกไป เพราะเขามีหน้าที่อื่นต้องทำ ชายหนุ่มได้เร้นกายอยู่ในความมืด เพื่อรอดูความเป็นไปภายในจวน และคนแรกที่เขาเห็น คือบุตรสาวคนเล็กของจวน เดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวใหญ่ หญิงสาวสั่งการสาวใช้ ให้จัดเจรียมเครื่องสมุนไพร สำหรับทำไก่นึ่งสมุนไพรให้แก่แขกของพี่สาว โดยไม่รู้เลยว่าทุกคำพูดของนาง คนที่บอกว่าอยากจะกิน ได้ยินมันทั้งหมด ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม กับความใส่ใจของนาง ดูเหมือนรายการอาหารอื่นๆ จะไม่มีสิ่งใด เป็นความชอบพิเศษของเหล่าสหายเลยสักนิด ซึ่งไก่นึ่งสมุนไพรของเขา ก็เป็นเมนูที่ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากอันใด แต่มันจะพิเศษเมื่อคนทำใส่ใจ กับสิ่งที่ทำให้คน...คนหนึ่งกิน ทว่าในจังหวะที่เขากำลังใส่ใจต่อคุณหนูสาม หางตาก็มีร่างของใครบางคนก้าวผ่านไป สตรีร่างท้วมผู้นี้ ช่างดูคุ้นตายิ่งนัก ก่อนที่เรียวปากหนาบิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อเขานึกขึ้นได้แล้ว ว่าเคยพบหญิงผู้นี้ที่ไหน คนข้างก
ลั่วเจิ้งคัง รีบก้าวขึ้นไปบนรถม้า เพื่อรับหลานรักทั้งสอง เพียงเห็นใบหน้ากลมป้อมนั่น ความอ่อนไหวของชายผู้เป็นนักรบกล้า พลันมีน้ำตาคลอหน่วย ราวกับอิสตรีผู้หนึ่งไปเสียอย่างนั้น “เจ้าตัวเล็กของปู่ ช่างน่ารักน่าชังอะไรเยี่ยงนี้ มาให้ปู่อุ้มหน่อยเร็ว” ท่านแม่ทัพใหญ่ ยื่นมือสองข้าง ไปแตะบนใบหน้าน้อยๆ อย่างถนอม ชายสวมหน้ากาก ก้มลงกระซิบๆ เบากับเด็กน้อย ก่อนที่ลั่วเยี่ยนถง จะอ้าแขนเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นปู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ทั้งกอดทั้งหอมหลานชายเสียหลายที ก่อนจะรับเด็กหญิงมาไว้ในอ้อมแขนอีกข้าง และก็ทำเหมือนเมื่อครู่ต่อนางเช่นกัน “หมดหน้าที่ของข้าน้อยแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อนนะขอรับ ส่วนสาวใช้และผู้ติดตามของคุณชายและคุณหนู จะมาถึงในภายหลัง ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ ทุกอย่างล้วนเรียบร้อยดีขอรับ” หลี่ถง ไม่เปิดโอกาสให้ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ซักถามสิ่งใด เขารีบบอกทุกอย่างให้จบในคราเดียว ก่อนจะประสานมือแล้วก้าวออกจากรถม้าไป ลั่วเจิ้งคัง ผู้ผ่านการต่อสู้มาตั้งแต่ก้าวสู่วัยหนุ่ม ได้ฟังแค่นี้เขาก็เข้าใจได้ในทันที ว่าเหตุใดจึงมีเพียงคนสวมหน้ากาก และลั่วเฉาเท่านั้น ท
หวืด! ปลายดาบคมกริบ พาดผ่านใบหน้างามเพียงเฉียดฉิว ทว่าคนลงมือยังช้ากว่านางไปพอสมควร เมื่อแม่ทัพสาวเอนกายไปด้านหลัง ราวกับตัวนางไร้ซึ่งกระดูกอย่างไรอย่างนั้น ในความรู้สึกของชายชุดดำ มันอ่อนช้อยทว่าแข็งแกร่ง มิใช่ว่าใครๆ ก็ฝึกฝนจนสำเร็จได้เสมอไป แม่ทัพหญิงผู้นี้จะต้องมุ่งมั่นเพียงใด จึงมีฝีมือระดับนี้ได้ ชายชุดดำที่พุ่งเข้าโรมรันแม่ทัพสาว ขบคิดอยู่ภายในใจ ด้วยตัวเขายอมรับแบบไม่อาย ว่าฝีมือยังมิอาจเทียบแม่ทัพหญิงตรงหน้าได้ สองพี่น้องไม่ได้ปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆ ทั้งคู่ต่างลงมือต่อคนร้าย ประหนึ่งนักล่าที่ไม่ยินยอมให้เหยื่อหลุดมือไปได้ เรียกว่าเก็บทุกลมหายใจให้สิ้น ทางด้านชายหนุ่มอีกห้าชีวิต ได้อารักขารถม้า โดยใช้วิชาตัวเบาตามติดรอบรถม้า แทบจะไร้ช่องว่างให้ใครได้ฉวยโอกาสลงมือ พ้นป่าไผ่ไปก็คงพบกับคณะของท่านแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเขาทั้งหมดต้องหายไป แต่การที่คู่แฝดอยู่บนรถม้า โดยไร้คนดูแล ถ้าท่านแม่ทัพใหญ่เห็นเข้า คงเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน “คู่แฝดต้องมีพี่เลี้ยง มิเช่นนั้นท่านลุงลั่ว คงต้องสอบสวนเรื่องนี้อีกยาวเลย” อู๋เกอเ
“ท่านแม่ทัพ ด้านนอกให้ข้าจัดการเองเถอะเจ้าค่ะ ตัวท่านยังไม่ควรเปิดเผยให้พวกมันรู้” หญิงสาวยื่นส่งคุณชายน้อยในมือ ให้แก่แม่ทัพหนุ่ม นางในฐานะผู้นำการคุ้มกัน ย่อมไม่ปล่อยหน้าที่นี่ให้แก่ลูกค้าแบกรับได้ แม้ตลอดการเดินทาง นางจะมาในฐานะสาวใช้ก็ตาม “รบกวนแม่นางมู่แล้ว” แม่ทัพหนุ่มรับบุตรชายมาอุ้มไว้ ก่อนจะจัดแจงวางพวกเขาไว้ในตะกร้านอน ก่อนจะกลับมานั่งนิ่ง พร้อมวางดาบคู่ใจพาดไว้บนตัก ในบ้านของเขามีคนไม่ซื่อตรงจริงๆ หรือนี่! ด้วยตลอดการเดินทางนั้น นอกจากโจรป่าตามรายทาง เขาไม่เคยพบกับการลอบโจมตีเลยสักครั้ง แต่หลังจากกำหนดการเข้าเมืองหลวงของเขาเป็นที่แน่ชัด หลังน้องสาวส่งข่าวมาเมื่อคืน กลุ่มคนพวกนี้ก็ปรากฏขึ้นตามที่คาดการณ์ ตึก! ร่างงามได้เหินกายลงบนพื้น เบื้องหลังรถม้าอย่างสง่างาม โดยมีผู้ติดตามในการคุ้มกันครั้งนี้ เคลื่อนกายมาอยู่ด้านเคียงข้างหญิงสาวกว่าสิบชีวิต กลุ่มคนชุดดำที่ไล่กรวดรถม้ามาอย่างกระชั้นชิด จำต้องหยุดเท้าลง เมื่อมีกลุ่มคนขวางทางอยู่ สำนักคุ้มภัยสกุลมู่ ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจ ไม่เคยมีงานใดพลาดสักครั้ง แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ที่เดินมาส่ง”“ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้ากลับก่อน พรุ่งนี้พบกันใหม่”“เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบรับด้วยความสดใสร่าเริงเช่นเดิมชายหนุ่มหมุนกายเดินกลับไปยังเส้นทาง ที่เขาเดินผ่านมาเมื่อครู่ โดยเรียวปากหนาคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวทว่าก่อนที่นางจะเดินกลับเข้าไปในเรือน ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหันกลับไปมองชายหนุ่ม ที่ยังคงเดินไปได้ไม่ไกลนัก“พี่หยู๋เฟิง พรุ่งนี้อยากกินสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ”ร่างสูงที่กำลังจะก้าวพ้นแสงไฟหน้าเรือน ได้หยุดเท้าก่อนจะหันกลับไปหาเจ้าของเสียงใส“ข้าอยากกินไก่นึ่งสมุนไพร”ชายหนุ่มคิดชื่อใดไม่ออก จึงเลือกที่คิดว่าหาง่ายตอบนางไป ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้ารับ พร้อมโบกมือให้แก่เขา“คุณชาย ข้าน้อยจะส่องไฟไปส่งนะขอรับ”พ่อบ้านจ้ง รีบเดินมาหาชายหนุ่ม พร้อมโคมไฟในมือ ด้วยเส้นทางกลับนั้นมิได้สว่างไปตลอดเส้นทาง“เอาโคมไฟให้ข้าเถิด ท่านลุงไปพักผ่อนเถอะขอรับ แค่นี้ข้ากลับเองได้ เดินส่งกันไปส่งกันมา คืนนี้คงมิได้นอนกันพอดี”“ขอรับ”ชายชรายื่นส่งโคมไฟให้แก่ชายหนุ่ม ก่อนจะยืนส่งจนร่างสูงใหญ่ลับตาไป จึงได้เดินกลับไปสำรวจความเรียบร้อย ภายในเรือนของคุณห
เวลาเดียวกัน เรือนรับรองแขกปีตะวันออก ณ จวนสกุลลั่ว ภายในห้องนอนอันมืดมิด ร่างสูงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงกว้าง และด้วยสภาพอากาศที่ดูจะอบอ้าวไปสักหน่อยสำหรับชายหนุ่ม เขาจึงสวมเพียงกางเกงนอนสีดำตัวเดียวเท่านั้น การเดินทางอย่างเร่งรีบมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ทำให้หลังมื้อค่ำเขาเลือกที่แช่กายในน้ำอุ่น แล้วเข้านอนตั้งแต่ยังไม่ดึกมาก ทว่าเวลานี้เขาทำเพียงลืมตาในความมืด เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงฝีเท้าเก้ๆกังๆ อยู่ทางเดินหน้าห้อง มีจุดมุ่งหมายใด จึงได้มาเดินวนเวียนอยู่มิไปไหน หากจะเลยผ่านไปก็มิน่าใช่ หากมาหาเขาไยไม่ส่งเสียงเรียกเล่า ลั่วอันผิง ที่มีถาดใส่ถ้วยน้ำแกงอยู่ในมือ เดินวนไปวนมาด้วยมิรู้ว่า นางสมควรที่จะเรียกแขกของพี่สาวหรือไม่ เพราะสหายคนอื่นๆ ล้วนได้รับน้ำแกงบำรุงของท่านแม่ไปหมดแล้ว คงเหลือแค่บุรุษหน้านิ่งคนนี้ผู้เดียวด้วยนางไม่เคยมีแขกมาพักที่บ้านบ่อยนัก จึงไม่รู้ว่าการผ่านเลยเขาไป จะเสียมารยาทหรือไม่ แต่ในห้องของเขาก็ไร้แสงไฟแล้ว หากนางเรียกเขาก็เกรงจะเป็นการรบกวนแต่ถ้าไม่มอบสิ่งในมือให้ หากเขารู้ในภายหลัง อาจเกิดความขุ่นเคืองเอาได้ นางมิรู้ว่าบุรุษจะมีความน้อ