หนิงเซียนร้อนใจ ท่าทีของท่านอ๋องที่มีต่อฟางซินนั้น ทำให้นางอยู่ไม่สุข นางไม่ไว้ใจ นางไม่อาจทนได้ หากท่านอ๋องคิดจะมองหญิงอื่น ต่อให้ไม่ใช่ฟางซิน นางก็ไม่ยอม ผ่านไปหลายวันแล้ว ท่านอ๋องไม่เคยมาเยี่ยมท่านพ่ออีกเลย อ้างแต่ว่ามีราชกิจมาก ต้องเข้าวังตลอด หากข้ามัวแต่นิ่งเฉย ไม่ต้องรอฟางซินแย่งท่านอ๋องไปหรอก คงจะไม่รอดบรรดาสาวงามในวังแน่นอน ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ
ฟางซิน หลังจากงานเลี้ยงครั้งนั้น นางก็เหมือนได้ปลดปล่อยหัวใจตัวเองไปในอีกรูปแบบหนึ่ง รู้สึกสบายใจ และเป็นอิสระ วันนี้มาหอจันทรา เพื่อสำรวจว่าสินค้าที่ส่งมา ใกล้หมดแล้วรึยัง ยอดขายยังดีต่อเนื่อง ยอดสั่งผลิตก็ยังคงมากเท่าเดิม
“คุณชายเจีย บังเอิญจัง ท่านมาร้านผ้าไหมซิงหรูหรือเจ้าคะ”
ฟางซินเอ่ยทักทายบุรุษตรงหน้า
“คุณหนูลู่ วันนี้ข้ามาส่งสินค้าที่ร้านซิงหรูขอรับ ข้าทำการค้ากับร้านนี้ขอรับ”
เจียฟู่เฉิงกล่าว พึงนึกในใจ นี่มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เขาไปสอบถามหอจันทรามาแล้ว ทราบว่าทุกวันที่ 1 และ 15 ของทุกเดือน นางจะมายังหอจันทราเพื่อตรวจสอบสินค้าและยอดขาย จึงได้จงใจ เดินมายังถนนเส้นนี้ เพื่อพบกับนาง
“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว ข้าขอเลี้ยงข้าวท่านได้หรือไม่ คุณหนูลู่”
“ท่านเรียกข้าว่าฟางซินเถอะ ข้าจะได้เรียกท่านว่าพี่ฟู่เฉิง เราเป็นสหายกัน อย่าเรียกห่างเหินเช่นนั้นเลย”
“ได้สิ งั้น ฟางซิน เจ้าชอบทานอะไร วันนี้ข้าเป็นเจ้ามือ ส่วนร้าน ให้เจ้าเลือกเลย”
“ได้เลย ข้าไม่เกรงใจล่ะนะ ข้าน่ะ กินเก่งมากๆ เลยล่ะ 555”
“หยุดรถ”
เฉิงอ๋องบอกคนขับรถม้า พลางเปิดม่านดูบุคคล 2 คน ตรงถนนด้านหน้า นั่นมันคุณหนู 3 ไม่ใช่เหรอ มากับ ใครนั่น ผู้ชายคนนั้น คือใคร?? ยิ่งมอง ยิ่งหงุดหงิดใจแปลกๆ
“ต้าหรง”
“ขอรับท่านอ๋อง”
“ข้าจะเดินตลาดตรงนี้สักครู่ เจ้าตามข้ามาก็พอ”
“รับทราบขอรับ”
องครักษ์ประจำตัวเฉิงอ๋อง สั่งรถม้าให้จอดรอและ เดินตามผู้เป็นนายไปอย่างเงียบๆ
หอจินเหลา
“ที่นี่แหละๆๆๆ มาเลยๆ พี่ฟู่เฉิง ข้าจะแนะนำอาหารเลิศรสของที่นี่ให้ท่านนะ”
“สวัสดีขอรับคุณหนู รับอะไรดีขอรับ”
เสี่ยวเอ้อมาต้อนรับ พร้อมรอรับคำสั่ง
“เอาขาหมูน้ำแดง ปลาเก๋าสองหน้า กระเพาะปลาตุ๋นโสม ผัดเซียน4สหาย ผัดเปรี้ยวหวาน ตามนี้ก่อน”
“นี่ พี่ฟู่เฉิง ท่านเล่าเรื่องแคว้นจ้าวให้ข้าฟังอีกสิ ข้าอยากรู้ ผู้คนที่นั่นเป็นอย่างไร ทำอะไรเป็นอาชีพเหรอ แล้วทางเหนือหนาวมากมั้ย ……”
แคว้นจ้าว นางอยากรู้ไปทำไม เฉิงอ๋อง เลือกนั่งที่โต๊ะถัดจากฟางซินมาอีก 2 โต๊ะ ได้ยิน จึงใคร่รู้
แล้วทำไมต้องมานั่งทานข้าวกับบุรุษที่ไม่รู้จัก หรือจะเป็นสหาย หรือคนรักของนางกันแน่ แต่วิธีพูดแบบนี้ เหมือนสหายมากกว่าคนรัก สหาย ใช่ ต้องเป็นสหายนางแน่ๆ
“น่าสนใจมากจริงๆ ข้าอยากไปแคว้นจ้าวสักครั้ง ท่าทางน่าอยู่ ฟังแล้วผู้คนก็จิตใจดี”
“เจ้าอยากไปเหรอ ไว้มีโอกาส ข้าจะพาเจ้าไปนะ”
เจียฟู่เฉิงกล่าวอย่างมีนัย
“แน่นอน อาหารมาแล้วๆๆ ทานข้าวก่อน ค่อยว่ากัน ข้าต้องรีบกลับจวนแล้ว เชิญๆๆ”
นางอยากไปแคว้นจ้าว เพราะอะไรกัน ชายผู้นี้ เป็นใครกัน ทำไมเข้ามาตีสนิทบุตรสาวแม่ทัพลู่ มีจุดประสงค์ใดกันแน่
“ต้าหรง ให้คนไปสืบประวัติของชายผู้นั้นมา”
“ขอรับท่านอ๋อง”
ต้าหรงรับคำ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไร
“แล้วก็ … สืบเรื่องของลู่ฟางซิน … ให้ข้าที”
“ท่านอ๋อง ท่าจะสืบเรื่องคุณหนู 3 ไปทำไมขอรับ เราแค่สอบถามจากบิดานางก็ทราบแล้ว มิใช่เหรอขอรับ”
“ข้าอยากรู้ว่าทำไมนางถึงเอ่ยเรื่องแคว้นจ้าว เจ้าไปสืบมาที”
“ทราบแล้วขอรับ”
“ข้าลานะ พี่ฟู่เฉิง ไว้วันหลังมาทานข้าวด้วยกันอีก ลาก่อน”
ฟางซินลาฟู่เฉิงแล้วเดินออกจากหอจินเหลาไป
เฉิงอ๋องลอบสังเกตอาการบุรุษด้านหน้า สายตาโกหกไม่ได้จริงๆ ชายผู้นี้ มีใจให้นางแล้วจริงๆ แล้วทำไม ข้าต้องหงุดหงิดในใจแบบนี้ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับข้าสักนิด สำหรับข้า บ้านเมืองสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ปณิธานนี้ บิดาเป็นผู้มอบให้ ต้องไม่ลืมเด็ดขาด ว่าแต่ นางเดินไปทางไหนแล้วนะ ออ ไม่ไกล
เฉิงอ๋อง เดินตามฟางซินไปแบบเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว ก็มาถึงหอจันทรา กลิ่นหอมเสียจริง นี่คือร้านประทินโฉมชื่อดังของเมืองหลวง นี่เองที่นางบอกบิดาของนางว่ามาทำการค้า มิน่า ตัวนางจึงมีกลิ่นหอม แต่กลิ่นหอมจากตัวนาง ก็ไม่ได้คล้ายกับกลิ่นของที่นี่ กลิ่นตัวของนางหอมอ่อนๆ เหมือนดอกไม้ยามเช้า สดชื่น อบอุ่น สบาย และไม่หอมรุนแรงเหมือนที่นี่ ไม่ทันที่จะคิดต่อ ต้องตกใจกับสตรีที่อยู่เบื้องหน้า
“เถ้าแก่เหยา ข้าไปก่อนนะ เดี๋ยววันที่ 1 เดือนหน้าเจอกันเจ้าคะ”
ฟางซินโบกมือลาเถ้าแก่ หันกลับมาไม่ทันระวัง นางชนกับขอบกระถางต้นไม้ด้านข้าง ทำให้เซลงมาด้านข้าง ซึ่งเป็นบันไดหน้าหอจันทรา เฉิงอ๋องรีบพุ่งตัวไปรับนางโดยสัญชาตญาณ ความเร็วของการเคลื่อนตัวนั้น ทำให้นางตกลงมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างปลอดภัย
กลิ่นกายนาง หอมไม่เหมือนใครจริงๆ ตัวนางเล็กนิดเดียวเอง เอวนางช่างบางเหลือเกิน
ฟางซินตกใจ พอรู้สึกว่าตกมาแล้วไม่เจ็บเลยลืมตาขึ้น นางต้องตกใจมากยิ่งกว่าเดิม ท่านอ๋องเฉิง แม่ทัพหน้าหยกคนนั้น แม่เจ้า นี่ข้าตกลงมาหาเขาได้เยี่ยงไร
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันระวัง โปรดอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ”
ว่าแล้วนางก็รีบสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดนั้นทันทีด้วยท่าทีตกใจอย่างที่สุด เฉิงอ๋องแอบหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมา
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ คุณหนู 3”
“ไม่เป็นไร แค่ตกใจ ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยเหลือ เอ่อ หม่อมฉัน ขอตัวเพคะ”
นางหน้าแดง อับอายเกินกว่าที่จะมองหน้าเขาตรงๆ ได้ บัดนี้ นางไม่เหลืออะไรแล้ว ทั้งอับอาย ทั้งขายหน้า ทั้งโกรธตัวเอง หมดแล้วความภาคภูมิใจที่มี ทำไมซุ่มซ่ามแบบนี้นะฟางซิน เจ้านี่มันโง่เง่าจริงๆ
“ช้าก่อน คุณหนู 3 เจ้าได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังตกใจ รถม้าข้าอยู่ใกล้ๆ ให้ข้าไปส่งเจ้าดีกว่านะ”
เฉิงอ๋องกล่าว
“ไม่ ไม่เป็นไรเพคะ ข้า ข้า ข้ากลับเองได้เจ้าค่ะ ไม่ ไม่รบกวน ท่าน ท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
นางกล่าวแบบติดๆ ขัดๆ
“เจ้าจะเดินไปกับข้าดีๆ หรือจะให้ข้า อุ้มเจ้าไปดีล่ะ ข้ามิอาจวางใจ ท่านลุงเองหากรู้ว่าข้าอยู่ในเหตุการณ์แล้วไม่ช่วยเจ้า เจ้าว่าข้าจะโดนผู้ใหญ่ตำหนิเอาหรือไม่ ไปเถอะ ข้าไปส่ง เดินขึ้นรถดีๆ เถอะนะ”
เฉิงอ๋องกล่าว ด้วยเห็นว่านางเริ่มกลัว เริ่มตัวสั่น เขาคิดว่านางคงตกใจไม่น้อย และคงกลัวว่าเขาจะกล่าวโทษนาง เลยพูดปลอบไป
หากแต่ใจของฟางซิน การล้มต่อหน้าธารกำนัลและผู้คนมากมายนั้น ก็น่าอับอายพออยู่แล้ว นี่ยังมาล้มลงมาต่อหน้า .. เขาอีก ต่อไปจะใช้ชีวิตเช่นไร อายจนอยากมุดแผ่นดินหนีอยู่แล้ว ยังจะให้กลับรถม้าคันเดียวกันอีก ข้าควรทำเช่นไร ทำเช่นไรดี โอ๊ยยย ไม่รู้แล้ว ไปก็ไป
เพราะเดินกระแทกกระถาง เท้านางเลยมิอาจเดินได้แบบปกติได้ แต่ฟางซินก็พยายามเดินให้ตรงเหมือนปกติ เพื่อปกปิดอาการเอาไว้ ตอนนี้เอง เลือดเริ่มซึมออกมาจากข้อเท้าแล้ว เฉิงอ๋องเห็นมาสักพักแล้ว จึงเรียกชุนเอ๋อ สาวใช้ที่เดินตามมาด้านหลัง
“เจ้าน่ะ ถือของให้คุณหนูเจ้าที”
ชุนเอ๋องุนงงแต่ก็รับคำ
“เพคะท่านอ๋อง”
เมื่อของถูกส่งถึงมือสาวใช้แล้ว เฉิงอ๋องก็รีบช้อนร่างสาวน้อยขึ้นมาอย่างง่ายดาย และเดินไปยังรถม้า ด้วยความตกใจ ฟางซินถึงกับร้อง ชุนเอ๋ออ้าปากค้าง
“ท่านอ๋องเพคะ ได้โปรด ปล่อยหม่อมฉันลงเถิดเพคะ คนมองกันใหญ่แล้ว”
นางพูด พร้อมกับซุกหน้าหนีผู้คนบนถนน ทำให้ไปซบบนแผงอกของชายหนุ่มอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เจ้าบาดเจ็บ เลือดออกแล้ว ต้องรีบรักษา ยิ่งเดินมาก อาการจะยิ่งหนักขึ้น ทางที่ดี อยู่เฉยๆ อย่าพูดมากดีกว่า รอจนกว่าจะถึงรถม้าเถอะ”
ว่าแล้วก็เดินต่อไป เฉิงอ๋องค่อยๆ ลดความเร็วในการเดินลง ช้าๆ ถนนสายนี้ช่างสวยงาม กลิ่นหอมจากตัวนางยิ่งทำให้รู้สึกสบายใจยิ่งนัก สาวน้อยในอ้อมแขน ตอนนี้ซุกหน้าลงกับอกของเขา ช่างน่ารักเสียจริง ไอร้อนจากลมหายใจของนาง ทำให้รู้สึกนึกอยากแกล้งสาวน้อยคนนี้เสียเหลือเกิน เพียงแต่ว่า วันนี้ นางบาดเจ็บ คงต้องรีบพาไปพบท่านหมอตู้ก่อน
ทำไมถนนสายนี้ยาวเช่นนี้นะ ปกติเดินแป๊บเดียวเองมิใช่เหรอ ทำไมไม่ถึงรถม้าเสียที ฟางซินที่เอาแต่ซุกหน้ากับแผงอกกว้างของลี่หมิงได้แต่คิด เขาเดินช้า เพราะตัวข้าหนักหรือ สงสัยข้าต้องลดน้ำหนักเสียแล้ว หัวใจเขา เต้นแรงจัง ไม่ต่างกับหัวใจของข้าเลย เมื่อไหร่จะถึงเนี่ยยยยยย …….
รถม้าจอดแล้ว แต่หากมิใช่จวนแม่ทัพลู่ แต่เป็น …… จวนอ๋องเฉิง
“ต้าหรง ไปเชิญท่านหมอตู้มา”
ลี่หมิงตะโกนบอกองครักษ์คู่กาย
“ขอรับท่านอ๋อง”
เฉิงอ๋อง ลงจากรถม้า ชุนเอ๋อรีบวิ่งมารับคุณหนูด้านหน้ารถม้า แต่หากเจอท่านอ๋องขวางเอาไว้ ท่านอ๋องรีบประคองและช้อนตัวฟางซินขึ้นมาอุ้มอีกครั้งเพื่อเข้าไปในจวน ด้วยความตกตะลึงทั้งทหารหน้าประตู ทั้งบ่าวไพร่ในจวนพระราชทาน ท่านอ๋องอุ้มสตรีผู้ใดมา จึงดูรีบร้อนและร้อนใจขนาดนี้ และยังอุ้มนางไปยัง ห้องรับรองสำหรับแขกด้วย
“ท่านอ๋องเพคะ มันคงไม่เหมาะกระมังเพคะ พาหม่อมฉันกลับจวนดีกว่าเพคะ เดี๋ยวผู้คนจะนินทาท่านอ๋องเอานะเพคะ”
“เจ้าเงียบไปเลย อาการเจ้า ต้องรีบให้ท่านหมอรักษาก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปส่งที่จวน”
ลี่หมิงกล่าว จวนข้ามันเสียหายตรงไหน ทำไมนางถึงไม่อยากเข้ามา สตรีทั้งเมืองหลวงหวังเพียงได้ผ่านหน้าจวนก็ดีใจแล้ว แต่นี่ นาง.. ยิ่งคิด ยิ่งหงุดหงิด
ต้าหรง “ทูลท่านอ๋อง ท่านหมอตู้มาแล้วพะยะค่ะ”
“ท่านหมอ เชิญ”
ท่านหมอตู้ เป็นหมอประจำจวนอ๋องเฉิง และเป็นหมอประจำกองทัพเฉิงอ๋องด้วยเช่นกัน หมอตู้ติดตามอ๋องเฉิงผู้เป็นบิดาของอ๋องน้อยเฉิงมาก่อน และจึงติดตามอ๋องน้อยเฉิงต่อมาด้วย
“แค่บาดแผลภายนอก ถูกกระแทกของแข็ง กระดูกร้าว แต่ไม่แตก อาจจะบวม 3-4 วัน ทายาแล้วพันแผลเอาไว้เพื่อรักษาอาการปวด ช่วงนี้งดอาหารรสจัด ทายา และเปลี่ยนผ้าพันแผลทุกๆ วัน อีกซัก 5-6 วันก็ดีขึ้นแล้วขอรับ ข้าจะจัดยาแก้ปวดแก้ไข้ไว้ คืนนี้อาจจะจับไข้ เนื่องจากการอักเสบนะขอรับ ทานยาตอนที่มีอาการ ก็จะดีขึ้นขอรับ คุณหนู…”
“ท่านหมอ ข้าชื่อลู่ฟางซิน เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านหมอที่รักษาให้ข้านะเจ้าคะ”
นางกล่าวกับท่านหมออย่างยิ้มแย้ม
“สกุลลู่ ท่านเป็นบุตรีของท่านแม่ทัพลู่ต้าตงงั้นหรือ คุณหนู”
ท่านหมอถามด้วยเสียงสั่น
“ใช่เจ้าค่ะท่านหมอตู้ ข้าเป็นบุตรคนเล็กของท่านพ่อเจ้าค่ะ”
นางกล่าว และต้องตกใจกับอาการของท่านหมอ
“ยินดี ยินดีอย่างยิ่ง คุณหนู บ่าวยินดีรับใช้ คุณหนู”
ว่าแล้วท่านหมอก็ร้องไห้ด้วยความตื่นเต้น ดีใจ เหมือนกับเจอญาติของตนก็มิปาน
ไม่เพียงแค่ฟางซินเท่านั้นที่แปลกใจกับอาการของท่านหมอตู้ ลี่หมิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน
“ท่านหมอเจ้าคะ ท่าน รู้จักท่านพ่อของข้าหรือเจ้าคะ”
นางถามด้วยความใคร่รู้
“เรียนคุณหนู ข้ารู้จักท่านแม่ทัพลู่เป็นอย่างดี ทั้งท่านแม่ทัพลู่ แม่ทัพเฉิง ล้วนเป็นผู้มีพระคุณกับข้า”
"หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน คุณหนู 3 หากมีอาการอะไร รีบมาหาข้าได้ อย่าได้เกรงใจนะขอรับ”
“ท่านหมอเจ้าคะ ข้า… สามารถเดินเหินได้ตามปกติ ได้ใช่มั้ยเจ้าคะ”
นางหน้าแดง มิอาจเงยหน้ามองเฉิงอ๋องที่มองอยู่ข้างๆ ได้ ท่านหมอมองฟางซิน สลับกับมองท่านอ๋อง ซึ่งบัดนี้ ไม่ได้ละสายตาไปจากฟางซินเลยแม้แต่น้อย แถมยังทำหน้าเหมือนไม่ค่อยพอใจอีกด้วย หรือข้าจะแก่แล้ว ตาถึงได้ฝาดไป
“เอ่อ ท่านสามารถเดินได้ โดยใช้ไม้ค้ำพยุงขอรับ เดี๋ยวข้าจะให้บ่าวจัดไม้ค้ำมาให้ ใช้ไม้ค้ำช่วยเดิน ไม่เกิน 7 วันน่าจะเดินปกติได้ขอรับ”
“ขอบคุณท่านหมอตู้มากเจ้าค่ะ”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณ และหมอตู้ก็ขอตัวออกไปเพื่อเตรียมยา และไม้ค้ำพยุงให้กับนาง
“ขอบพระทัยท่านอ๋องนะเพคะ ที่ช่วยหม่อมฉันในครั้งนี้”
ฟางซินกล่าวกับเฉิงอ๋อง
“ไม่เป็นไร ว่าแต่ ช่วงนี้เจ้าคงต้องงดเดินทาง งดออกจากบ้าน อย่างน้อยๆ ก็ 10 วันเลยนะ”
หึหึ ทำไมข้ารู้สึกพอใจนะ
“ไม่เป็นไรเพคะ ใช่ว่าที่จวนจะน่าเบื่อ มีอะไรให้ทำเยอะแยะ อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเพคะ”
นางยิ้มน้อยๆ แต่ก็อดนึกถึงความคึกคักของตลาดไม่ได้
สักครู่ หมอตู้ก็มาพร้อมกับยา ซึ่งชุนเอ๋อรับไว้ และไม้พยุง ส่งให้ฟางซิน
“ท่านลองใช้ดูก่อนนะขอรับ ลองเดินดูก่อน จะได้เดินถนัดขึ้น”
มันไม่ชินเลยจริงๆ ต้องอยู่กับเจ้าไม้นี่อีกหลายวันเลยเหรอ ค่อยๆ ฝึก ต้องเดินให้ได้ จังหวะดีๆ อร๊ายยย จังหวะนั้น ไม้ค้ำหลุดออก ร่างของฟางซินล้มไปข้างหน้า ลี่หมิงรีบคว้าเอวนางไวอย่างคล่องแคล่ว เขาคำนวณไว้แล้วว่านางต้องล้มแน่ แค่จะล้มท่าไหนเท่านั้น ท่าทางใช้ไม่เป็น คงต้องเริ่มสอนกันใหม่
“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ”
นางหน้าแดงอีกแล้ว หมดแล้ว มีอะไรให้อายมากกว่านี้อีกมั้ย ไม่มีแล้ว เฮ้อออ
“เจ้าจับไม่ถูก มือเจ้าต้องจับตรงที่ค้ำด้านนี้ แล้วใช้แขนหนีบตรงนี้ ก้าวไม้ค้ำไปข้างหน้าก่อนลงน้ำหนัก แล้วค่อยเดินตาม”
ฟางซินลองทำตาม ว้าววว ใช้ได้จริงๆ ด้วย แถมง่ายกว่าที่นางทำเยอะ ท่านอ๋องนี่เก่งทุกด้านจริงๆ ฝึกไปสักพัก ร่างกายเริ่มเหนื่อยแล้ว ควรจะกลับจวนได้เสียที
“ท่านอ๋องเพคะ ขอบพระทัยที่ช่วยเหลือหม่อมฉันในวันนี้นะเพคะ หม่อมฉันต้องทูลลากลับจวนก่อนเพคะ วันนี้หายมาทั้งวัน เกรงว่าท่านพ่อจะร้อนใจเพคะ”
“ข้าบอกแล้วว่าจะไปส่งเจ้าเอง เด็กๆ เตรียมรถม้า”
เฉิงอ๋องตะโกนบอก
“ไม่เป็นไรเพคะท่านอ๋อง วันนี้รบกวนมาทั้งวัน เกรงใจแล้วเพคะ หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
สตรีผู้นี้ทำไมทำให้ข้าหงุดหงิดได้ตลอดเวลาเช่นนี้นะ พลางก้าวเดินไปข้างหน้า ดึงไม้ค้ำจากมือนางออกมา ยื่นให้สาวใช้ข้างกาย และรวบตัวนางขึ้นมาอุ้มอีกครั้ง
“ข้าบอกแล้วว่าจะไปส่ง เจ้าฟังไม่รู้ความหรืออย่างไร”
“เจ้า นำของไปขึ้นรถม้า ต้าหรง เจ้านำยาและไม้ค้ำคุณหนู 3 ไปด้วย”
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหงุดหงิดง่ายเช่นนี้ เพราะเหตุใดกันนะ เขาไม่เคยเจอใครที่ขัดคำสั่งเขามาก่อน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด นี่ยิ่งไม่มีเหตุผลเลย ทั้งๆ ที่ทุกอย่าง ล้วนทำเพื่อนางทั้งสิ้น .?? . ไม่ใช่สิ เพื่อนาง งั้นเหรอ นี่ข้าป่วยอีกคนหรืออย่างไร
ฟางซินไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร วันนี้เกิดเหตุการณ์หลากหลาย ทำให้จิตใจนางสับสนไปหมด ตอนนี้ก็เช่นกัน นางได้แต่ซุกหน้ากับแผงอกเขาอีกครั้ง เพื่อเลี่ยงผู้คนในจวนอ๋องที่จับจ้องมาที่นาง ซึ่งผิดกับบุรุษหนุ่มที่อุ้มนาง ที่รู้สึกดียิ่งนักที่นางทำแบบนี้ เขาเองก็อยากให้นาง ซุกหน้ากับอกเขาแบบนี้ไปนานๆ เมื่อเขาเป็นผู้อุ้มนางออกมา มันทำให้เขารู้สึกว่านางไว้ใจเขา รู้สึกปลอดภัย เขาไม่อยากปล่อยนางลงเลย ไม่อยากแม้แต่จะไปส่งนางกลับบ้าน นี่ความคิดชั่วร้ายแบบไหนกันนี่ ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
“กรุบกรับๆๆๆ”เสียงม้าที่โดนเฆี่ยนเพื่อให้วิ่งเร็วที่สุดของอ๋องเฉิงและจินเยว่ วิ่งออกนอกเมืองมาอย่างสายลม“เร็วเข้าสิ เร็วอีก”“ท่านอ๋อง ท่านอย่าพึ่งรีบร้อน น้องสามไม่เป็นอะไรหรอก นางอยู่กับแม่นมเถา นางจะปลอดภัย ย่าส์....”จินเยว่รีบควบม้าให้ทันว่าที่ท่านพ่อหมาดๆที่ขี่ม้านำเขาไปอีกแล้ว ม้าของท่านอ๋องกลับไปต้องดูแลกันอย่างหนักเลยทีเดียวเหตุการณ์เริ่มจากเมื่อตอนสาย หลังจากที่เฉิงอ๋องออกมาจากจวนเพื่อจะมารับคำสั่งเพื่อจัดส่งเสบียงที่จะไปชายแดนฝั่งตะวันออก เมื่อเขามาถึงไม่นาน และรับจดหมายคำสั่ง จินเยว่ก็ขี่ม้ามาหาเขา เพื่อแจ้งข่าวด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนก“ท่านอ๋อง เร็วเข้า ซินเอ๋อนางปวดท้อง จะคลอดแล้ว แม่นมเถาให้ข้ามาส่งข่าว”“ตุบ”หนังสือราชการในมือของเฉิงลี่หมิงตกจากมือ“ท่านอ๋องขอรับ ท่านอ๋อง รีบไปสิขอรับ”“ต้าหรง เจ้า ได้ยินเหมือนข้าใช่หรือไม่ พระชายา จะคลอดแล้ว ข้าจะเป็นพ่อคนแล้ว เร็วเข้า ไปเอาม้ามาให้ข้า เร็วๆ เข้า”จินเยว่ส่งข่าวให้เฉิงอ๋องทราบแล้ว เขากำลังจะวิ่งไปส่งข่าวที่จวนสกุลลู่ต่อ แต่วันนี้ แม่ทัพลู่ก็เข้าวังด้วย เขาเลยส่งข่าวที่ท่านพ่อแทน“เจ้าว่าไงนะเยว่เอ๋อ ซินเอ๋อจะคลอดแล
เรือนตากอากาศสกุลเฉิง“พระชายาเพคะ กลับเข้าไปข้างในจวนเถอะเพคะ เวลานี้ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเพคะ”“รออีกสักครู่เถอะแม่นมเถา ข้าอยากรอท่านอ๋องกลับมาก่อน นี่ก็จวนจะได้เวลาแล้ว”“ก็ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันเอาผ้าคลุมมาให้เพคะ พระชายาต้องเสวยยาบำรุงครรภ์แล้วนะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันให้เด็กยกมาให้พร้อมกันเลย”“ขอบคุณแม่นมเถา”แม่นมเถา เป็นหมอตำแย และแม่นมให้กับท่านอ๋องเฉิง นางอยู่จวนอ๋องเฉิงมาพร้อมๆกับหมอตู้ ตอนนี้ นางมาประจำการอยู่ที่จวนตากอากาศ เนื่องจากพระชายาใกล้ถึงกำหนดคลอดเต็มที เฉิงอ๋องอยากให้พระชายาได้อยู่ในจวนนี้ เนื่องจากอากาศดี และนางก็ชื่นชอบที่นี่มาก ก่อนหน้านั้น เฉิงอ๋องได้ให้คนจัดเตรียมทุกอย่างที่นี่เอาไว้พร้อมสรรพ ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับการคลอด ของใช้สำหรับเด็ก ยารักษาโรคต่างๆ จวนตากอากาศตอนนี้เหมือนยกทั้งจวนอ๋องเฉิงในเมืองหลวง มาอยู่ที่นี่กันหมด เพราะแต่ละคนก็อยากมาดูแลพระชายาของพวกเขาทุกคนตื่นเต้นกับทายาทที่กำลังจะคลอดออกมา ท้องของฟางซินก็โตมาก หากไม่มีคนคอยพยุงเดิน นางแทบจะไปไหนไม่ได้เลยทีเดียว ชุนเอ๋อเองก็ไม่เคยห่างนางไปไหนเลย เพราะต้องคอยพยุงนางเวลาเดินไปไหน ช่วง
จวนสกุลลู่ฮูหยินใหญ่ และฮูหยินรอง ต่างเข้มงวดกับการเตรียมตัว ฝึกซ้อมเจ้าสาวในพิธีสมรสพระราชทานครั้งนี้มาก ทั้งขั้นตอนการยกน้ำชา ทั้งมารยาทในพิธีการ ฮองเฮาทรงจัดให้นางข้าหลวงใหญ่ มาช่วยฝึกซ้อมให้องค์หญิงทั้งสองถึงที่จวน พวกนางแทบจะไม่มีเวลาได้พัก จนฟางซินบ่นกับหนิงเซียน“พี่รอง หากรู้ว่าแต่งงานในวังจะพิธีมากขนาดนี้ ข้าเริ่มไม่อยากแต่งแล้วเจ้าค่ะ เหนื่อยจังเลย”“เจ้าอย่าได้บ่นให้ท่านแม่ได้ยินเชียว ข้าขี้เกียจฟังนางบ่นเพิ่มอีก แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ไปเถอะ เรามาหลบดื่มชาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวพวกนางตามมาเจอ เราจะโดนดุกันอีก”“โอยย พี่รอง ข้าเหนื่อยแล้ว อยากนั่งพักอีกหน่อย ฮือออ”“เจ้านะ มาเลย ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ฝึกอีกรอบเดียวก็จะได้พักแล้ว มาเถอะน่า ข้าก็อยากพักแล้ว เร็วๆ น้องสาม ลุกเลย”หนิงเซียนพยายามทั้งดัน ทั้งลากน้องสาวนางไปฝึกซ้อมพิธีการในวัง ฟางซินรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะลุกจากเก้าอี้ จินเยว่เดินมาหาพวกนางที่ทั้งลาก ทั้งดึงกันอยู่“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน พี่คงนึกว่าพวกเจ้าทะเลาะกันนะเนี่ย”“”พี่ใหญ่””ทั้งคู่หันมาหาจินเยว่“พวกเจ้าแอบหนีมาอยู่ที่นี่เอง ท่านแม่ทั้งสองให้สาวใช้หาพวกเจ้
จวนสกุลลู่“เร็วเข้าๆ ขบวนเจ้าบ่าวจะมาอยู่แล้ว คุณหนูแต่งตัวกันเสร็จหรือยัง ของมงคล 9 อย่างล่ะ แม่นมอู๋ ท่านเตรียมอั่งเปาหรือยัง หน้าประตูล่ะ”“ถังซิน ถังซิน เจ้ามาดูผ้าคลุมให้ซินเอ๋อที ข้าจะไปเอาต่างหูให้เซียนเอ๋อ เร็วเข้า”“เจ้าค่ะๆ ท่านพี่ มาแล้วๆ เจ้าค่ะ นี่ๆ แอปเปิลของเซียนเอ๋อ ให้ลูกถือเอาไว้”“ได้ๆ ตายแล้ว พี่ลืมรองเท้า รองเท้าพวกนางอยู่ไหน”“”ท่านแม่””ฟางซินและหนิงเซียน ร้องเรียกฮูหยินใหญ่พร้อมกัน“พวกเจ้าเรียกข้าทำไม ลืมเลยเนี่ยว่าจะทำอะไร”“ท่านแม่ รองเท้าน่ะ พวกข้าใส่แล้วเจ้าค่ะ ท่านดูสิ”หนิงเซียนบอกฮูหยินใหญ่ นางดูจะตื่นเต้นลนลานมากที่สุด กลัวว่าจะขาดอะไร กังวลว่าจะจัดของไม่ครบหนิงเซียนกับฟางซินมองหน้ากันและหัวเราะความรีบของฮูหยินใหญ่“ท่านพี่ ท่านพักก่อนนะเจ้าคะ เด็กๆพร้อมแล้ว ไม่มีอะไรขาดแล้วเจ้าค่ะ ข้ากับแม่นมอู๋ตรวจให้ท่านอีกที ดีหรือไม่”“ถังซิน ฝากเจ้าดูอีกทีนะ อย่าให้ขาดเชียวนะ เสียหน้าจวนแม่ทัพเราหมด”“เจ้าค่ะๆ ท่านนั่งพักก่อน เดี๋ยวเป็นลมก่อนส่งตัวเจ้าสาวนะ นี่ เจ้าน่ะ มาเติมหน้าให้ฮูหยินใหญ่ทีสิ ทำไมปากท่านพี่ข้าซีดแบบนี้ล่ะ เร็วเข้าๆ”“ฮูหยินรองร้องสั่งช่างแต
ฟางซินกะพริบตาถี่ๆรับแสงในตอนเช้า นางรู้สึกว่ามีมือหนักๆพาดอยู่ที่เอวนาง นางค่อยๆหันไป ใบหน้าที่คุ้นเคย คิ้วเข้มดั่งหมึก ขนตายาว จมูกเป็นสันเข้ากับรูปหน้า ฟางซินอดไม่ได้ที่จะใช้มือเขี่ยขนตาเขาเล่นเบาๆ“หากเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้เลยนะพระชายา”ฟางซินตกใจเล็กน้อย“ท่านตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”“ข้าตื่นได้สักพักแล้ว ทำไม พระชายาอยากจะปลุกข้างั้นหรือ ไม่ต้องหรอก เพราะตอนนี้ ข้าตื่นเต็มที่แล้ว ไม่เชื่อ เจ้าลองจับดูสิ”เขาจับมือนางลงไปใต้ผ้าห่ม ฟางซินสะดุ้งเมื่อจับโดนบางอย่างด้านล่างนั่น“พระองค์ ทะลึ่งเกินไปแล้ว นี่มันเช้าอยู่นะเพคะ”“นี่มันเป็นเรื่องปกติของบุรุษ เจ้าทำใจให้ชินเสียเถอะ”ฟางซินหันหลังหนีเขา แต่ไม่ทันแล้ว เขาพลิกตัวนางนิดเดียว นางก็หันมาหาเขา“การตื่นนอนมา แล้วเห็นหน้าเจ้าเป็นคนแรกแบบนี้ ช่างเหมือนฝันจริงๆ ข้ารู้สึกว่า ตัวเองโชคดีที่สุดในโลกเลย”ฟางซินยิ้มให้เขา นางจุมพิตเขาเบาๆ เฉิงอ๋อง ที่ตื่นตัวอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้า เขาจะทนไหวได้อย่างไร“พระชายา โทษข้าไม่ได้นะ เจ้าเริ่มก่อนเอง”ฟางซินยิ้มให้เขา นางพลิกตัวขึ้นบนตัวเขา เฉิงอ๋องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางที่
“เจ้าค่อยๆ กิน เลอะปากแล้ว”เฉิงอ๋องเช็ดปากให้นาง และมองนางกินผัดหมูเปรี้ยวหวานอย่างเอร็ดอร่อย“เพราะใครล่ะเพคะ หม่อมฉันหิวจนจะกินแพะได้ทั้งตัวแล้วเพคะ”ฟางซินมองเขาอย่างงอนๆ นางหิวมากจริงๆ นางกินข้าว ชามนี้เป็นชามที่ 2 แล้ว“ข้ารู้แล้วว่าเจ้าหิวมากจริงๆ เป็นความผิดข้าเอง ข้าขอโทษเจ้าด้วย”เขามองนางแล้วเผลอยิ้มออกมา ทั้งสองทานข้าวเย็นด้วยกัน เฉิงอ๋องสั่งคนครัวทำอาหารที่ฟางซินชอบไม่ว่าจะเป็นขาหมูน้ำแดง ผัดหมูเปรี้ยวหวาน หรือแม้แต่ปลานึ่งแชบ๊วย เขาสั่งให้คน ยกอาหารมาไว้ให้ในศาลากลางสวน บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย ทำให้ทานอาหารได้อร่อยมากยิ่งขึ้น กว่าฟางซินจะลุกจากเตียงได้ ใช้เวลานาน เขาเลยอุ้มนางมาที่นี่“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่า ฝ่าบาททรงมีรับสั่ง ให้องค์หญิงซีเหนียนไปเฝ้าศาลบรรพชน 2 ปี เป็นการทำโทษนาง ที่ร่วมก่อเหตุครั้งนี้ขึ้นมา นางจะเดินทางพรุ่งนี้แล้วล่ะ ครั้งนี้ ฝ่าบาทโกรธนางมากจริงๆ” เขาบอกฟางซิน ระหว่างที่นางกำลังจิบชาหลังมื้ออาหารเย็นเสร็จ“ซีเหนียนเองก็ถูกหลอกใช้เหมือนกัน เสด็จพ่อไม่น่าจะลงโทษนางรุนแรงขนาดนั้น” ฟางซินพูด เพราะเรื่องคราวนี้ และเหตุการณ์ที่ซีเหนียนเข้ามาเกี่ยวข้อง