บทที่5
สาวน้อยวัยยี่สิบที่กำลังจะเข้าสู่ปีที่ยี่สิบเอ็ดอีกไม่กี่วันนี้เดินยิ้มมาหาผู้เป็นบิดาซึ่งกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านหลังงามริมหาดทรายสวย ใบหน้าเรียวสะอาดไร้เครื่องสำอางนั้นเกลี้ยงเกลาละมุนละไมมากกว่าจะสวยผุดผาดจนคนมองต้องเหลียวหลัง หากแต่เมื่อมองพิจารณาอย่างแท้จริงแล้วคนมองจะพบว่าสาวน้อยนามว่า มนตรา นั้นงดงามเพียงใด...
ใบหน้าเรียวได้รูปประดับด้วยคิ้วโก่งเรียวโดยไม่ต้องพึ่งพาดินสอหรือสิ่งเติมแต่ง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายสดใส จมูกเรียวเล็กแม้ไม่โด่งเป็นสันแต่ก็งดงามได้รูปรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อด้วยวัยสาวยามยิ้มแย้มอวดไรฟันขาวสะอาดแล้ว รอยยิ้มของเธอยิ่งงดงามละลายใจคนมอง เพราะมันยิ้มทั้งปากและดวงตาจนคนมองแทบหลอมละลายเลยทีเดียว...
“ไม่ไปทำงานหรือเย็นนี้” นายมิ่ง เอ่ยทักบุตรสาวคนเล็กเมื่อเห็นว่าเย็นแล้วแต่มนตราก็ยังไมได้ออกไปทำงาน
“มนเพิ่งโดนไล่ออกค่ะพ่อ...”
“เรื่องเดิมๆ อีกล่ะสิ พ่อว่าเราเปลี่ยนงานไปทำอย่างอื่นก็ได้นะลูก อีกแค่เทอมเดียวมนก็จะเรียนจบแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักส่งเสียตัวเองเรียนหรอกน่า แค่นี้พ่อมีแรงมีเงินส่ง...”
“แต่มนไม่อยากอยู่เฉยๆ นี่คะ อีกอย่างการได้ทำงานด้วยเรียนด้วยมันทำให้มนขยันและฉลาดทันคนนะคะ” สาวน้อยยิ้มร่าแล้วมาแย่งสายยางจากมือผู้เป็นพ่อไปรดน้ำต้นไม้เสียเอง นายมิ่งมองบุตรสาวแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ
มนตราเรียนภาคค่ำที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในระดับอนุปริญญาและเทอมหน้าเธอก็จะเรียนจบแล้ว และทุกวันหลังเลิกเรียนในภาคปกติมนตราจะต้องไปทำงานพาร์ตไทม์ในตำแหน่งสาวเชียร์เบียร์ หรือพนักงานขายเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ทั้งหลายแหล่นั่นตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารใหญ่ๆ ที่มีการจัดงานเทศกาลลานเบียร์หรืองานชุมนุมสินค้าต่างๆ และทุกครั้งสาวน้อยก็จะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าบูดบึ้งและน้ำตานองหน้าในตอนแรกๆ ที่ทำงาน แต่พอทำไปนานเข้ามนตราก็เรียนรู้ลูกล่อลูกชน และวิธีการหลบหลีกเอาตัวรอดจากบรรดาเฒ่าหัวงู หนุ่มขี้หลีทั้งหลายแหล่ จากเพื่อนสาวๆ ที่ทำงานด้วยกันจนสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยกลับบ้าน และไม่ทำให้บิดาเป็นห่วงมากนัก แต่ด้วยความเป็นพ่อนายมิ่งเองก็อดห่วงลูกสาวอยู่ไม่น้อยและนึกสงสารชะตาชีวิตของมนตราที่เกิดมาเห็นหน้าแม่ได้เพียงสามปีเท่านั้นภรรยาของเขาก็เสียชีวิตด้วยโรคร้าย เขาจึงรับภาระเลี้ยงดูเธอกับพี่ชายมาตลอดสามสิบปีโดยไม่ได้แต่งงานใหม่...
“เอ... พ่อคะ ช่วงนี้พี่เมืองหายหน้าไปนะคะ ปกติทุกๆ สามเดือนจะโผล่มา หรือไม่ถ้าเงินหมดก็จะมาหาเรานะคะ นี่ก็สามเดือนแล้วนะคะ ทำไมพี่เมืองไม่มานะ มันแปลกๆ ไปนะพ่อว่าไหม...”
มนตราหันมาถามบิดาด้วยใบหน้ายุ่งๆ เมื่อ มิ่งเมือง พี่ชายของเธอเงียบผิดปกติ เพราะมิ่งเมืองเป็นคนที่ค่อนข้างจะเกเร ติดการพนันและชอบเที่ยวเตร่แม้จะมีงานทำเป็นหลักแหล่งในตำแหน่งหน้าที่คนขับรถของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่ทุกๆ เดือน หรือบางทีก็อาจจะสามเดือนเขาจะมาที่นี่เพื่อมาขอหยิบยืมเงินจากเธอหรือไม่ก็จากบิดาทั้งที่มิ่งเมืองอายุก็สามสิบแล้วแต่ก็ยังหาสาระอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง...
“อืม... นั่นสินะมันแปลกๆ ไป มนลองโทร. หาพี่เขารึยังลูก” แม้ลูกชายจะเป็นอย่างไรแต่ผู้เป็นพ่อก็ยังห่วงหาอยู่นั่นเอง หากเทียบกันแล้วนายมิ่งค่อนข้างห่วงมิ่งเมืองมากกว่ามนตราเสียอีก...
“โทร. แล้วค่ะ แต่เป็นสัญญาณฝากข้อความทุกครั้งเลย ไม่รู้ว่าพี่เมืองเป็นอะไรไหมนี่มนก็ติดต่อพี่เมืองไม่ได้นานแล้วนะคะ”
“พี่เขางานยุ่งหรือเปล่าลูก”
“ก็ไม่รู้สิคะ เดี๋ยวค่ำๆ มนจะโทร. หาอีก มนรู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้ค่ะพ่อ...” มนตรากล่าวเสียงแผ่วไปเล็กน้อย
“คงไม่มีอะไรมั้งลูก...”
“หากไม่มีพี่เมือง มนก็มีพ่อเหลืออยู่คนเดียวเรามีกันแค่สามคนหากไม่มีใครคนใดคนหนึ่งมันก็เคว้งคว้างนะคะพ่อ” หญิงสาวกล่าวเสียงเศร้าๆ
“อย่าคิดมากเลยลูกเอาล่ะเรากลับเรือนเล็กกันเถอะ ไปกินข้าวกันดีกว่าพ่อหิวแล้ว...”
นายมิ่งกล่าวตัดบท คำพูดของบุตรสาวทำให้ชายวัยหกสิบเศษครุ่นคิดและหนักใจทั้งห่วงบุตรชายบุตรสาว... เขามีเวลาอยู่อีกไม่นาน และเรื่องนี้เขาเองก็ไม่อยากให้ลูกๆ ได้รับรู้ว่าเขากำลังป่วย
“ไม่หนูเล็ก อย่าทิ้งพี่ไป ที่รักของพี่อยู่กับพี่เถอะคนดี... อย่าจากพี่ไป อย่า หนูเล็ก อย่าไป... เฮือกกก...”
อัครวัฒน์ผวาเฮือกเด้งตัวขึ้นจากที่นอนนุ่มมือหนาไขว่คว้าไปกลางอากาศเหมือนจะคว้าอะไรสักอย่างไว้กับตนให้นานที่สุด... แต่สุดท้ายเขาพบเพียงความว่างเปล่า...
ชายหนุ่มถอนใจร่างแกร่งชุ่มโชกด้วยเหงื่อจนเปียกชื้นไปทั้งกาย มือหนาเรียวยาวแบบบุรุษลูบใบหน้าหล่อเหลาซึ่งปราศจากรอยยิ้มมานานกว่าสองปีของตนอย่างอ่อนล้า... ตั้งแต่เขาได้สูญเสียคู่หมั้นไป เขาไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักครั้ง ทุกค่ำคืนเขามักตื่นกลางดึกและได้ยินเสียงหวานกระซิบบอกรักเขาแผ่วเบา เสียงหวานแห้งเครือแสนเบาแต่ดังก้องอยู่ในหัวของเขา...
ร่างสูงลุกขึ้นจากที่นอนทั้งร่างกายที่ไร้อาภรณ์ปกปิดเขาไม่เคยใส่เสื้อผ้านอน... ยิ่งเมื่อเขาต้องอยู่อย่างเดียวดายเช่นนี้เขาก็ไม่คิดจะปกปิดร่างกายให้พ้นจากสายตาของใคร
บทที่ 61. อวสาน “ไม่อยากนอนค่ะอยากทำอย่างอื่น..” มนตราบอกสามีเสียงพร่าเล็กน้อยแล้วเผยอกายขึ้นผลักเขานอนลงแทนที่ตนก่อนจะก้มลงไล้เลียยอดอกของเขาอย่างที่เขาทำกับเธอเมื่อครู่อัครวัฒน์ถึงกับครางเสียงดังเลยทีเดียว..“โอ้ว มนจ๋ามนที่รัก... ดีเหลือเกินเมียจ๋า...” อัครวัฒน์ครางกระเส่าเร่าร้อน กายแกร่งปวดหนึบไปด้วยความต้องการอยากจะโจนจ้วงเข้าสู่โพรงร่างสาว อัครวัฒน์ร้อนจนไม่อาจจะรีรอให้หล่อนเล่นเกมเหนือเขาได้ ชายหนุ่มผลักร่างเล็กลงนอนแทนที่ตนเปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุก มนตราหัวเราะเบาๆ อย่างถูกใจเมื่อเห็นแววตาและความพรั่งพร้อมของสามี อัครวัฒน์ก้มลงไปยังกึ่งกายสาวแล้วแตะแต้มริมฝีปากเลียไล้ไปทั้งกลีบกายสาวสดฉ่ำชุ่มชื้น...“อ๊า โอ้ววว... พี่โดมขา...” มนตราครางกระเส่าแล้วแอ่นหยัดสะโพกเข้าหาปากร้ายของเขาเร่าๆ ด้วยความเสียว ก่อนที่สะโพกมนจะเกร็งค้างกับปากและลิ้นของเขาเมื่อพุ่งทะยานไปสู่ความสุขสมอัครวัฒน์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วจับร่างเล็กให้ก้มก้งโค้งในท่าคลา
บทที่ 60. มนตรามองสามีที่กำลังจูงมือลูกๆ มาหาตนในสวนผักปลอดสารพิษที่เธอกับลูกสาวฝาแฝดทั้งสองช่วยกันปลูก น้องมิ่งแก้ว กับ น้องมิ่งขวัญ ชอบกินผักซึ่งเธอพอใจมากที่เด็กๆ ชอบกินผัก ตอนนี้เด็กหญิงทั้งสองสี่ขวบแล้ว“คุณแม่ขา.. พวกเรามาแย้วววว..” เด็กหญิงหน้าตาน่ารักวิ่งมาหาผู้เป็นแม่จนผมเปียปลิวไสว มนตรากางแขนรอรับลูกสาวทั้งสองแล้วหอมแก้มแดงๆ ของสองสาวจอมซนหนักๆ อย่างรักใคร่และมันเขี้ยว“เหงื่อท่วมมาเชียวไปเล่นอะไรกันมาคะเนี่ย”“วิ่งจับผีเสื้อค่า แต่จับไม่ได้สักตัว” เด็กหญิงมิ่งขวัญตอบเจื้อยแจ้ว“ผีเสื้อบินเร็วๆๆ แบบนี้ค่า” เด็กหญิงมิ่งแก้วทำท่าบินๆ ให้ผู้เป็นแม่ดู“ผีเสื้อบินน่ารักจัง”“ช่ายค่า น่ารักเหมือนแก้วเหมือนขวัญ” เด็กหญิงทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันแล้วกอดคอกันยิ้มแฉ่งให้บิดามารดาของตน“เซี้ยวจริงๆ เลยลูกพ่อ” อัครวัฒน์เดิน
บทที่ 59.“เมื่อคืนมนฝันถึงคุณชลิตาด้วยค่ะ” มนตราบอกสามีซึ่งซบหน้าหอบกระเส่าอยู่กับอกอวบใหญ่ของตนหลังจากที่เพลงรักเร่าร้อนที่ไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่จบลง...แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ความรักที่พวกเขามีให้กันก็ยังคงฉ่ำหวานอยู่ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้ลูกๆ ไม่อยู่ขัดความสำราญพวกเขาก็ยิ่งรักกันเหนียวแน่นมากขึ้น เพราะน้องมิ่งแก้วกับน้องมิ่งขวัญในวัยสองขวบนั้นไปเที่ยวพักผ่อนที่ไร่ของคุณลุงเด่นคุณป้ายอดรักกับคุณปู่คุณย่าที่ยังคงแข็งแรงสดใส ซึ่งยินดีจะเลี้ยงดูหลานๆ เพื่อให้โอกาสลูกชายลูกสะใภ้คนดีได้อยู่ด้วยกันลำพังบ้างมนตรากับอัครวัฒน์นั้นต่างช่วยกันเลี้ยงดูลูกๆ ฝาแฝดทั้งสองด้วยกันมาตลอด ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนพวกเขาก็จะยกกันไปทั้งครอบครัว มาดคุณโดมแฟมิลี่แมนจึงเป็นที่กล่าวขวัญและมนตราก็เป็นหญิงสาวที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาในความโชคดีของเธอที่ได้สามีที่ดีแสนน่ารักอย่างคุณโดม อัครวัฒน์ ดีแลนด์ คนนี้...“จริงเหรอ เหมือนพี่เลย พี่ก็ฝันว่าหนูเล็กมาเยี่ยม เธอดูมีความสุขมากทั้งที่พี่ไม่ได้ฝันถึงเธอมานานมากตั้งแต่เราแต่งงานกัน...”
บทที่58.“แล้วแก้แค้นเธอสำเร็จไหมคะ...” มนตราถามล้อๆ พลางยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์...“ก็ไม่รู้สินะ รู้แต่ว่ามันทำให้พี่ได้ทั้งเมียและลูกมาพร้อมๆ กัน...”อัครวัฒน์ยิ้มกว้างพอๆ กับเธอที่ยิ้มไม่หุบ รอยยิ้มสดใสของมนตราดังมีมนต์ขลังที่ทำให้เขาถอนสายตาจากใบหน้านวลไม่ได้เลย ชายหนุ่มมองเธออย่างหลงใหลจนมนตรารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับแววตาที่เริ่มจะพราวพรายของเขา“เราทานข้าวกันดีกว่าค่ะ มนอยากจะไปเดินเล่นในไร่...” หญิงสาวตัดบทและหาทางเอาตัวรอดจากเปลวเสน่หาของเขาไปก่อนในเช้านี้อัครวัฒน์รู้ทันความคิดเธอจึงคีบจมูกเล็กๆ นั้นเบาๆ อย่างมันเขี้ยวแล้วนั่งลงเคียงข้างกัน... หนุ่มสาวนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันและคุยกันด้วยความรักและเข้าใจ ความบาดหมางความแค้นเคืองขึ้งโกรธมลายหายไปจากใจของพวกเขาจนหมดสิ้นมีเพียงความรักอ่อนหวาน ที่โอบล้อมพวกเขาไว้ด้วยรักแท้ที่ต่างอภัยให้กันและกัน...หลังจากที่ปรับความเข้าใจกันแล้วอัครวัฒน์ก็จดทะเบียนกับมนตราไว้ก่อนแล้วจัดงานแต่งงานใ
บทที่57.พระมิ่งเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มเต็มไปด้วยเมตตาธรรมซึ่งมนตราสัมผัสได้ น้ำตาแห่งความปลื้มปีติเอ่อล้นออกจากดวงตางามช้าๆ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือคนคนเดียวกันที่เคยทำร้ายเธออย่างเลือดเย็นมาก่อน...“ชีวิตคนเราไม่ได้ยืนยาวสักเท่าไหร่หรอกนะโยมน้องมน... อะไรที่ดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ควรจะคว้าไว้ โดยเฉพาะความสุขเพราะมันอาจจะอยู่กับเราไม่นาน หรือ เราอาจจะไม่ได้อยู่จนพบเจอมัน หากให้มิจฉาทิฐิบดบังจิตใจ... หลวงพี่จะบอกกล่าวเพียงเท่านี้...” มนตรารู้สึกเหมือนมีใครเขี่ยผงเล็กๆ ออกจากตาทั้งที่รู้แต่เธอกลับเขี่ยมันออกเองไม่ได้“ไหนแบมือมาสิโยมน้องมน...” หญิงสาวยื่นมือออกไปตามที่หลวงพี่บอก แล้วพระมิ่งเมืองก็วางของสิ่งหนึ่งลงบนมือของเธอด้วยการปล่อยให้มันตกลงมาเบาๆ มนตรามองของตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ“ฝากไปให้โยมโดมด้วย บอกว่าเป็นของขวัญจากหลวงพี่ให้เป็นของขวัญแต่งงาน... เจริญพร...”“สาธุค่ะหลวงพี่...” มนตราสาธุการด้วยความซาบซึ้งมองตามหลังพระมิ่งเมืองไปด้วยดวงใจที่เปี่ยมล้นด้วยควา
บทที่ 56.“หากไม่ยุ่งกับเมียจะไปยุ่งกับใครล่ะครับ ไม่เอาไม่ทะเลาะกันนะ เดี๋ยวลูกเราจะหน้ายุ่ง...”“เมื่อไหร่คุณจะกลับไปคะ”“ทำไมน้องมนพูดแบบนี้ล่ะครับ เมียอยู่ที่ไหนผัวก็ต้องอยู่ที่นั่นสิครับ”“ฉันจำได้ว่าไม่เคยแต่งงานกับคุณนะคะ และเราก็ไม่ได้มีสถานะอะไรที่เกี่ยวข้องกันแล้ว แม้แต่แฟน หรือคนรัก เราก็ไม่เคยใช้มันร่วมกันมาก่อน...” คำพูดของเธอทำให้อัครวัฒน์สะอึกถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว...“พี่...”“พอเถอะค่ะ หากคุณจะทำทุกอย่างให้ฉันเพื่อไถ่โทษ หรือเพราะรู้สึกผิดที่หลอกใช้ฉันเพื่อนแก้แค้น เราจบสิ้นกันไปแล้ว ฉันยกโทษให้คุณ เราเป็นอิสระต่อกัน... ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ถือว่าเราให้โอกาสกันและกัน ให้อิสระกันและกัน ฉันอาจจะได้เจอผู้ชายสักคนที่รักฉันจริงและพร้อมจะดูแลฉันกับลูก คุณเองก็อาจจะเจอผู้หญิงดีๆ ที่เหมาะสมกับคุณทุกๆ ด้าน ผู้หญิงที่ไม่ใช่ลูกสาวพ่อบ้านกระจอกๆ อย่างฉัน...”มนตราตัดสินใจพูดออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองมีหวังอะไรลมๆ แล้ง