ขณะที่พราวพิชชากำลังครุ่นคิดถึงแผนการช่วยน้องน้อย ทางด้านเจ้าตัวเมื่อกดตัดสาย ก็หันไปยิ้มกร่อยให้กับคนนั่งพิงหัวเตียง กอดอกมองเธออยู่
“คุณแหววไม่ได้มาหาลดาสักหน่อย” “มานี่ มา” รัชตะดึงเรียวแขนเสลาของคนอุ้มท้องอุ้ยอ้ายที่ยืนปักหลักคุยโทรศัพท์เสียงเจื้อยแจ้วอยู่หน้าเตียง ก่อนจะเห็นสีหน้าเธอเจื่อนลงเรื่อยๆ แม้หล่อนจะฝืนทำเสียงร่าเริงอยู่ก็ตาม ทำให้คนเฝ้ามองอดสงสารไม่ได้ “ได้ยินว่าจะไปหาพี่สาวเย็นนี้ใช่ไหม” “ใช่ค่ะ” ปิ่นลดาพยักหน้า โอนอ่อนตามแรงดึงเข้าซบอกกว้างของสามี แต่เมื่อนึกบางอย่างได้จึงเงยหน้ามองเขา “ไม่ต้องห่วงนะคะ ลดารู้ว่าคุณใหญ่ติดประชุม คงกลับมาไม่ทัน คุณใหญ่บอกล่วงหน้าตั้งหลายวันแล้วว่าวันนี้ต้องกลับบ้านค่ำ ลดาจะให้คนรถไปส่งแล้วรอรับกลับ แล้วจะรายงานคุณใหญ่ให้รู้ทุกชั่วโมงเลยค่ะ” “ครึ่งชั่วโมง” “คะ?” “โทร.หาฉันทุกครึ่งชั่วโมง เริ่มจากที่ออกจากบ้าน จนกลับเข้าบ้าน ฉันจะได้ไม่ห่วง” “แต่คุณใหญ่ประชุม ลดาว่า...คงดูไม่จืดแน่ ถ้าประธานใหญ่ต้องคอยรับสายถี่ขนาดนั้น” “งั้นส่งข้อความมาบอก” “ได้ค่ะ แต่คุณใหญ่ต้องปิดเสียงนะคะ ลดาไม่อยากให้รบกวนคนอื่น” “นี่สั่งประธานใหญ่เลยนะ มากไปหรือเปล่า” รัชตะทำเสียงเข่นเขี้ยว หากดวงตาคมพราวระยับ มองภรรยาสาวด้วยสายตาเปี่ยมความรักใคร่ “ยังน้อยไปค่ะ ถ้าเทียบกับคนที่สั่งลดาตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอนทุกวันๆ” “ฉันเป็นห่วงนี่” “รู้ว่าคุณใหญ่รักลูกและห่วงลูกมาก ลดาสัญญาแล้วไงคะว่าจะดูแลตาหนูอย่างดีที่สุดเลย” “ใครว่ากัน ห่วงทั้งลูกทั้งเมียนั่นแหละ ยิ่งคนหลังยิ่งห่วงมาก เพราะดื้อเป็นที่หนึ่ง บอกอะไรไม่ค่อยเชื่อ ระวังลูกออกมาจะติดนิสัยดื้อตามแม่” “ดีสิ คุณใหญ่จะหัวหมุนไม่เว้นวัน ลดาหมั่นไส้มานานแล้ว ได้เวลาแก้แค้นคืนก็คราวนี้แหละ” หล่อนทำเสียงฮึ่มฮั่มใส่ แถมยังกางนิ้ว กรีดเล็บคมๆ บนแผงอกหนาอย่างเย้าหยอก คนตัวใหญ่ได้แต่มองตาพราว คว้าต้นคอเมียรักมากดจูบอย่างอดใจไม่ไหว สองมือใหญ่เคล้นคลึงอกอวบใหญ่สล้างที่ขยายรองรับความเป็นมารดาในไม่ช้า เนิ่นนานหลายนาทีกว่าปิ่นลดาจะดึงตัวเองออกมาจนสำเร็จ รัชตะมองดวงหน้าหวานงดงามที่กลายเป็นสีแดงเรื่อด้วยอารมณ์เขินอายระคนหวามไหวที่เขาจุดขึ้นมา รัชตะกดจูบขมับหนักๆ แล้วลุกเข้าห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวเพื่อออกไปทำงาน ตัดใจจากดวงตาหวานที่มองตามตาปรอยอยู่ข้างหลัง ประตูห้องพักแกรนด์สูทในชั้นบนสุดของโรงแรมห้าดาวกลางเมืองเชียงราชถูกเปิดออก ตามด้วยร่างสูงใหญ่ในสูทสีดำ ตัดเย็บอย่างประณีตย่างเข้ามาด้วยฝีเท้าเงียบกริบ จนถึงห้องด้านในจึงดันประตูออก แล้วเห็นคนร่างกำยำไม่ต่างกันนั่งก้มหน้าอยู่ขอบเตียง มือหนาแตะขมับนิ่งอยู่...จนรู้ว่าเขาเข้ามาถึงเงยหน้าขึ้นมอง “มาได้ยังไง” “คนของฉันโทร.บอก” รัชตะตอบพลางเดินเอื่อยเข้ามาใกล้ ท่าทางดูสงบ มีเพียงแววตาเท่านั้นที่รู้ว่าข้างในเริ่มไม่นิ่งอย่างท่าทางที่แสดงออก “ไปมีเรื่องกับใคร แล้วโดนอะไรมา” “นายจะอยากรู้ไปทำไม” คำพูดปัดความห่วงใย ทำให้คนถามเลิกคิ้ว หรี่ตามองน้องชายฝาแฝดด้วยดวงตาพินิจมากขึ้น “ไม่ใช่เรื่องงานใช่ไหม” “อืม...” เสียงรับคำในลำคอ หลายวินาทีกว่าเจ้าตัวจะเงยหน้าพูดต่อ “ใช่ ไม่ใช่เรื่องงาน และไม่ใช่เรื่องของฉันด้วย แต่ฉันมันดวงซวย ต้องเจ็บตัวเพราะนาย” “หมายความว่าไง” ถึงคราวที่รัชตะจะเสียงแข็งเข้าบ้าง เขาทนไม่ได้แน่ถ้าหากว่ารัชภาคย์ต้องมีเรื่องกับใครด้วยตัวเขาเป็นต้นเหตุ...แต่ดูว่าน้องชายจะไม่ใส่ใจในความหวังดีของเขา กลับเปลี่ยนไปถามถึงอีกเรื่อง “วันนี้ฉันต้องเข้าร่วมประชุมกับนายใช่ไหม” “ใช่ เพื่องานของนาย นายควรมีคอนเน็กชั่นเองด้วย อย่างน้อยก็มาให้คนอื่นเห็นว่านายยังมีตัวตน ไม่ใช่เจ้าของเหมืองที่ใครต่อใครได้ยินแต่ชื่ออย่างทุกวันนี้ ฉันอยากให้นายเข้ามามีบทบาทในงานของฉันมากกว่านี้ ในฐานะหุ้นส่วน เพราะมันจะส่งผลถึงงานเหมืองของนาย อย่างน้อยพวกที่จ้องจะกินฟรีทางฝั่งพม่าจะได้เกรงใจว่านายมีพรรคพวกและคนรู้จักทางนี้อยู่” “ฉันมีนายทั้งคนแล้วนี่” รัชภาคย์บอกปัด “มันไม่เหมือนกัน” “ทำไมถึงไม่เหมือน...นายดูฉันตอนนี้สิ แล้วส่องกระจกดูตัวเองว่าต่างกันตรงไหน” รัชตะปรายตามองคนพูด เมื่อวานมีงานรับรองลูกค้าจากฮ่องกง เป็นงานเหมืองของรัชภาคย์โดยตรง เจ้าตัวเลยไม่อาจบิดพลิ้ว แต่กว่าจะให้คนอย่างรัชภาคย์ยอมแต่งเนื้อแต่งตัว โกนหนวดเครา รวมถึงตัดผมเผ้าให้เป็นทรงอย่างที่เห็น ก็เล่นเอาคุณทิพย์ ผู้เป็นแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่พวกเขาเป็นเด็กนั้นแทบถอดใจ แต่สุดท้ายก็รัชภาคย์ก็เปลี่ยนใจมาตามใจคุณทิพย์เสียดื้อๆ ...แทบจะจับอารมณ์ตามไม่ทัน แต่เมื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว รัชภาคย์คงมาคล้ายกับเขามากไป ถึงได้เกิดเรื่องให้เจ้าตัวต้องนั่งกุมแผลตรงขมับอย่างที่เห็น “นายกำลังบอกว่าที่มีเรื่องหัวแตก เพราะเกิดจากการเข้าใจผิดว่านายเป็นฉันใช่ไหม” “ทำนองนั้นมั้ง” “พูดมาให้หมด อย่ามาทำท่ามาก มันเป็นพวกไหน ฉันจะส่งคนไปสั่งสอน”รัชตะเสียงกร้าวขึ้น มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ สำหรับเขาที่จะมีใครมาหยามกันถึงเพียงนี้ แต่อีกฝ่ายกลับใจเย็นจนดูผิดเป็นคนละคนเสียอย่างนั้น“ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่นี้ฉันรับมือไหว” รัชตะต้องหรี่ตามองน้องชายฝาแฝดอย่างแปลกใจอีกรอบ...ก็เมื่อกี้มันยังทำฉุนเฉียวตอนบอกว่าต้องเจ็บตัวเพราะเกิดการเข้าใจผิดกัน คงเข้าอีหรอบตีผิดคนนั่นแหละ เขาก็อยากรู้ว่าตัวเองมีศัตรูที่ไหนเหมือนกัน แต่พอคิดจะจัดการมือดีพวกนั้นให้ น้องชายตัวดีกลับทำเหมือนมีลับลมคมในเสียนี่“เอาเป็นว่าจบเรื่องนี้ นายไม่ต้องยุ่ง เพราะฉันจะจัดการเอง” รัชภาคย์ย้ำตัดบท ทำท่าทางว่ารำคาญพี่ชายเสียอย่างนั้น “แล้ววันนี้ฉันก็จะเข้าประชุม แต่จะเป็นตัวของฉันเอง และสัญญาว่าจะไม่ทำให้หุ้นส่วนของนายแตกตื่น ฉันแค่เบื่อไอ้พวกเสื้อผ้าอย่างของนาย ทีหลังไม่ต้องให้คุณทิพย์มาจัดหาของพวกนี้มาให้อีกนะ อย่าให้ต้องใส่สูท ผูกเนกไทเป็นคุณชายอย่างนายด้วยเลย เห็นแล้วเอือมตัวเองชะมัด”รัชภาคย์ทำเสียงและสีหน้าว่าเบื่อหน่ายเต็มทน ยกมือลูบปลายผมที่ท้ายทอยอย่างแสนเสียดายที่ต้องตัดเล็มออก พอไล่มาจนถึงปลายคางที่เมื่อวานยังเกลี้ยงเกลา แต่วันนี้สัมผัสหนวดเคราสั้นๆ จนเมื่อเหลื
การประชุมระดับผู้บริหารประจำปีของธุรกิจผลิตรถยนต์หรูที่มีโรงงานฐานผลิตตั้งในฝั่งพม่า ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ในฝั่งไทย ซึ่งอยู่ภายใต้อาณาเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษระหว่างสองประเทศ เริ่มต้นขึ้นในเวลาสิบนาฬิกาก่อนถึงเวลาประมาณห้านาที รัชภาคย์เข้ามาในห้องประชุมด้วยเครื่องแต่งกายกางเกงยีนส์สีน้ำเงินกับเสื้อทีเชิ้ตสีฟ้าอ่อนตัวใน สวมทับด้วยสูทสีดำสนิท...เขาหยิบมันมาสวมเป็นชิ้นสุดท้ายเพื่อไม่ให้ประธานในงานขัดสายตาโดยเฉพาะด้วยรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมสัน หล่อสมาร์ตไม่ต่างกัน พวกเขาจึงดูโดดเด่นท่ามกลางนักธุรกิจอีกหลายสิบคน เมื่อรัชภาคย์เดินมาหยุดใกล้รัชตะซึ่งกำลังสนทนากับนักธุรกิจฮ่องกง จึงเห็นสไตล์ที่แตกต่างของสองหนุ่มอย่างเด่นชัด...หากก็ดึงดูดสายตาไม่แพ้กัน“วันนี้ผมโชคดี มาไม่เสียเที่ยว เพราะได้เจอคุณรัชภาคย์ จะได้ขอหารือเรื่องสัมปทานเหมืองแร่ทองคำในเวียดนาม ทางผมอยากเชิญคุณเข้าร่วมในฐานะผู้มีประสบการณ์ เพราะเรายังใหม่สำหรับงานนี้อยู่มาก”มิสเตอร์จางทักทายด้วยท่าทีเคร่งขรึม จริงจัง รัชภาคย์เหลือบมองพี่ชายฝาแฝดแวบหนึ่ง แววตาคมที่สงบนิ่ง แทบจะไม่ส่อความรู้สึกใดๆ ให้คนนอกได้สัมผัส แต่พวกเขาสามารถสื่อ
ทางด้านคนที่ปิ่นลดารอคอยอยู่ เมื่อลงจากรถสองแถวก็รีบวิ่งเข้ามาในรีสอร์ต จากหน้าถนนใหญ่จนถึงตัวรีสอร์ตนับระยะทางกว่าสองร้อยเมตร เธอวิ่งฝ่าสายลมหนาวที่พัดกรูปะทะ จนมาถึงส่วนบริการก็ถึงกับหนาวสั่นทีเดียวท่าทางของเธออยู่ในสายตาของผู้ชายสองคน แรกทีเดียวพวกเขาหันไปสบตา เชิงว่าไม่มั่นใจว่าจะใช่ตามที่เห็น เพราะช่างผิดจากคำบอกที่ได้รับมามากนัก จนต้องยกโทรศัพท์มือถือเพื่อจะเพ่งดูภาพถ่ายในจอพราวพิชชาวิ่งซอยเท้าต่อไปยังห้องรับรองเพราะไม่อาจฝืนสู้กับลมหนาวด้วยเสื้อยืดตัวเดียวกับกางเกงผ้าฝ้ายแบบลำลอง หลังจากสอบถามพนักงานถึงปิ่นลดา จนรู้ว่าน้องสาวมานั่งรออยู่ก่อนแล้วทันทีที่เปิดประตูออก ปิ่นลดาหันขวับมามอง ดวงตาเบิกโต เกือบจะโผนมาหาทั้งตัว ถ้าพราวพิชชาไม่ตรงดิ่งไปหาเสียเองก่อน“คุณแหวว คุณแหววมาแล้ว โอ๊ย...ลดาคิดถึงจังเลย” จากที่คิดเอาไว้ร้อยแปดว่าเมื่อพี่สาวกลับมาถึงจะต่อว่า คาดคั้น และบอกว่าเธอแสนห่วงสักแค่ไหน แต่พอได้พบหน้าสิ่งเหล่านั้นก็หายหมด เหลือเพียงความดีใจจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้อีกปิ่นลดากอดพี่สาวเอาไว้แน่น ขณะอีกฝ่ายโอบหล่อนไว้หลวมๆ พราวพิชชาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำตัวไม่ถูกเมื
“คุณพราวพิชชานั่งรถสองแถวรับจ้างไปพบผู้ชายคนนี้ที่รีสอร์ตแสงตะวันครับ”เพราะภาพในจอมือถือที่ถูกวางบนโต๊ะของลูกน้องคนสนิทที่ถูกสั่งให้คอยจับตามองพราวพิชชาตั้งแต่เมื่อวาน ทำให้รัชภาคย์ต้องหยิบมาดูใกล้ๆ ผู้ชายในจอภาพที่นั่งคุยอยู่กับพราวพิชชานั้นคุ้นตาชะมัด...เขาแตะปลายนิ้วเลื่อนดูไปเรื่อยๆ จนเห็นภาพซูมเต็มหน้าชัดๆ รัชภาคย์ถึงกับหันมองลูกน้องเต็มตา“มีใครเห็นพวกนายหรือเปล่า”“ไม่มีครับ ผมระวังตัวอย่างดีครับนาย”“เข้าไปใกล้ผู้ชายคนนี้แค่ไหน”“ไม่ถึงสิบเมตรครับ แต่คนค่อนข้างหนาตา เพราะลูกเห็บลงพอดี คนเลยเข้าไปนั่งในร้านของรีสอร์ตเต็มทุกโต๊ะ พวกผมอยู่เยื้องไปทางด้านหลังโต๊ะเป้าหมายครับ” ฟังคำตอบ สีหน้าของรัชภาคย์ก็ยังดูแคลงใจในบางอย่าง จนลูกน้องต้องถาม“แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครหรือครับนาย”“ไรวินทร์ เจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ที่กำลังย้ายฐานจากเพิร์ทมาตั้งที่เชียงราช” เขาหลุบตามองภาพในมือถือ ปลายนิ้วยังแตะหน้าจอ เลื่อนดูต่อไปเรื่อยๆ “พวกนายเข้าใกล้จนได้ภาพชัดเจนหลายช็อต ยากที่นายไรวินทร์จะไม่รู้ตัว”“ผมสังเกตอยู่ตลอด เขานั่งคุยกับคุณพราวพิชชา ไม่มีท่าทีผิดปกติเลยนะครับ”“นายจับสังเกตไรวินทร์คนเด
คนพูดตัดสายไปแล้ว รัชภาคย์ดึงมือถือมามอง หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ประเมินคำพูดและน้ำเสียงของพี่ชายฝาแฝดนายไม่ยุ่ง...ไม่ยุ่งให้ตลอดรอดฝั่งแหละดี เพราะทีตอนเรื่องของนาย ฉันก็ไม่แตะเหมือนกัน ใกล้ค่ำแล้ว อากาศยิ่งหนาวเย็นกว่าเดิม พราวพิชชาห่อกายเมื่อสายลมเย็นกระโชกมาหา สายตาทอดตามท้ายรถยุโรปคันใหญ่ที่ปิ่นลดานั่งอยู่ตอนท้ายซึ่งกำลังเคลื่อนจาก เธอมองจนรถคันนั้นลับหายแล้วจึงหันกายกลับเข้าที่พักพราวพิชชาไม่อาจตัดเรื่องของน้องเขยกับผู้หญิงที่เห็นเมื่อวานออกจากใจได้จริงๆ ยิ่งวันนี้เห็นภาพของน้องสาวที่สวยงามและมีความสุข เธอก็ยิ่งคิดหนักกว่าเดิมปิ่นลดามีรอยยิ้ม ความสดใสจากการมองโลกในแง่ดีมักเปล่งประกายจากดวงตาให้เห็น แม้ชีวิตจะผ่านเรื่องเลวร้ายสักกี่หน แต่ก็ไม่เคยทำลายลูกแก้วจรัสงามให้มองหม่นไปได้ลดาคงยังไม่รู้ว่าคุณใหญ่มีผู้หญิงอื่น คุยกันก็ได้ยินพูดถึงแต่คุณใหญ่ คำก็คุณใหญ่ สองคำก็คุณใหญ่ ชีวิตของลดามีแต่คุณใหญ่ แต่เขาก็ยังใจร้าย นอกใจไปมีผู้หญิงอื่นจนได้ ผู้ชายอะไร มักง่ายสิ้นดี พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะรักและดูแลลดาตลอดไป...ที่แท้ก็โกหก แล้วตัดสินใจได้ว่าช่วงลาพักร้อนนี้ เธอจะทำการตัดไฟแ
“ครับ...ครับนาย” แล้วเลขทะเบียนรถก็ถูกรายงานมาตามสาย รัชภาคย์จับจ้องไปยังรถที่มาจอดใหม่ จากตำแหน่งโต๊ะที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้กับลานจอดรถมากที่สุดแล้ว ทำให้เห็นเลขทะเบียนของรถเก๋งคันสีดำคันนั้นชัด... “พวกนายกลับไปได้แล้ว ไม่ต้องตาม”สั่งแค่นั้นก็ตัดสาย โดยไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก เพราะคำสั่งของเจ้านายอย่างเขาถือเป็นคำเด็ดขาดที่ลูกน้องทุกคนต้องปฏิบัติตามรัชภาคย์ยกแก้วเบียร์เย็นเฉียบขึ้นจิบเมื่อเห็นทุกอย่างจนมั่นใจแล้ว ใบหน้าคมสันเกลื่อนด้วยรอยยิ้มกริ่ม จนคนสนิทที่นั่งร่วมโต๊ะต้องเลิกคิ้วแปลกใจ เพราะเห็นทุกอย่างที่ลานจอดพร้อมกัน และรู้ว่าผู้หญิงสาวที่ลงจากรถเก๋งคันสีดำพร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางลงมาด้วยนั้นเป็นคนที่นายให้เฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวอยู่นั่นเอง เขากำลังรอดูว่าเจ้านายหนุ่มจะทำอะไรต่อไป แล้วดวงตาก็ปรายมองรอยแผลตรงขมับด้านซ้าย แทบจะส่ายหน้าในทันทีคิดว่าไม่ติดใจเอาเรื่อง เห็นเมื่อคืนยังเงียบ ที่ไหนได้ สั่งพวกนั้นตามเฝ้าทั้งวันอยู่นี่เอง แล้วมานั่งดักรอเองที่รีสอร์ตนี่...งานนี้ท่าจะแค้นฝังหุ่นรัชภาคย์ขยับกายลุกขึ้น ไม่อยากสนใจธนัท ลูกน้องคนสนิทหรือจะเรียกว่ามือขวาก็คงได้ที่กำลังม
“เอ่อ...ไม่...” รัชภาคย์อึกอัก ทำท่าจะปฏิเสธด้วยการบอกความจริงว่าตามใครมา แต่เพิ่งเห็นว่า ‘คุณป้า’ ของหลานชายที่ใกล้จะออกมาลืมตามองโลกนั้นกำลังอ้าปากหวอ มองเขาตาค้างอยู่ จึงต้องเบนความสนใจไปทางอื่นก่อน “ผมกับลูกน้องมากินเบียร์ แล้วหนูมาอยู่นี่ได้ไง”ถึงคราวที่แม่สาวแต่งหน้าจัดใส่เดรสสีเทารัดติ้วสั้นแค่โคนขาจะอ้ำอึ้งบ้าง หลังจากเป็นฝ่ายรุกผู้ชายที่ยืนเป็นเสาหินให้หล่อนกอดรัดจนแทบจะสิงอยู่“หนู หนู...เอ่อ” ผู้หญิงคนนี้ดูชอบกล จนพราวพิชชาที่คิดเสมอว่าไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น เพราะแค่เรื่องของตัวเองก็แทบเอาตัวไม่รอดอยู่แล้วนั้นต้องเพ่งมอง รอฟังคำตอบด้วยคน...ด้วยความลืมตัวส่วนรัชภาคย์เพิ่งได้นึกระแวงตามคำขู่ของธนัท ว่าการมายุ่งกับมินตรา เดี๋ยวก็ถูกพันเลื้อยจนแกะไม่หลุดอย่างที่เคยได้ยินกิตติศัพท์อยู่หรอก“แล้วคุณ เอ่อ...คืนนี้ว่างใช่ไหมคะ หนูจะขอแก้ตัวจากเมื่อคืน” หล่อนเชิญชวน แต่น้ำเสียงร้อนรน...คนลอบฟังสังเกตได้“ไม่เป็นไร เรื่องมันแล้วก็แล้วไป” “แต่หนูรู้สึกไม่ดี ให้หนูแก้ตัวคืนนี้นะคะ นะคะ”“ไม่ครับ ผมไม่สะดวก”รัชภาคย์กำลังทำตัวลำบาก แต่ก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไม เขาเคยปฏิเสธผู้หญิง
พราวพิชชามองตามไฟส่องด้านหน้ารถที่แล่นออกฝ่าความมืด เธอรู้ด้วยสัญชาตญาณว่ารถแล่นออกนอกเมือง จากความโกรธที่อัดเต็มหัวใจ ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกใหม่ขึ้นมาแทนหญิงสาวค่อยๆ เบือนหน้ามองผู้ชายที่นั่งประกบคู่กับเธอทางตอนหลัง ตั้งแต่ขึ้นรถมาเขายังปิดปากเงียบ บางอย่างทำให้เธอสะกิดใจ แต่ไม่กล้าถาม...เพราะกลัวคำตอบความหวาดหวั่นเริ่มเข้ามาแทนที่ พราวพิชชาหยิบกระเป๋าสะพายที่ถูกโยนตามเข้ามาหลังจากตัวเธอถูกจับยัดมานั่งบนเบาะรถทางตอนหลังเรียบร้อยแล้ว ก้มมองมันในอ้อมกอดอย่างอุ่นใจ อย่างน้อยสัมภาระกับเอกสารต่างๆ ก็ยังติดตัวอยู่แล้วแสงไฟลิบๆ ก็ปรากฏขึ้น หญิงสาวก้มมองตาม เห็นเป็นบ้านเรือนปลูกสร้างอยู่ห่างๆ สองข้างทาง เธอรู้สึกใจชื้น แรกทีเดียวคิดว่ารถจะแล่นเข้ากลางป่าลึกเสียอีกเธอคงเพลินอยู่กับการสังเกตบ้านเรือนข้างทางสลับกับมองด้านหลังด้วยอยากจดจำเส้นทางมากไป จึงไม่ทันเห็นว่ารถได้ชะลอความเร็วลง ต่อเมื่อหันกลับมามอง ก็เห็นว่าด้านหน้ายังมีกลุ่มแสงไฟสว่างอยู่เช่นกันรถแล่นตรงไปจนรู้ว่าเป็นเป้าหมายของการมาครั้งนี้ แค่มาใกล้กำแพงสูง ประตูรั้วใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างอัต
“คุณเล็ก พอค่ะ...พอแล้ว”พราวพิชชาครวญแทบขาดใจเมื่อร่างของตนที่เอนราบบนแผ่นหินเรียบชื้นในซอกมุมที่ดูมิดชิดถูกร่างหนาใหญ่เข้ามาคลุกเคล้า ทั้งที่เพิ่งจบเกมพิศวาสกันไปหมาดๆ ยังไม่นับรวมถึงการโรมรันในลำธารท่ามกลางสายน้ำไหลรินอยู่หลายรอบ“ไม่เอาแล้ว แหววเหนื่อยจะขาดใจ แหววโกรธคุณเล็กแล้วนะ”หล่อนต่อว่าเสียงหงุงหงิง รัชภาคย์หัวเราะอย่างนึกขันระคนเอ็นดูเธอนัก มองเนื้อกายขาวผ่องที่แดงช้ำเป็นจ้ำๆ ด้วยฝีมือเขาด้วยเคล้นคลึงหนักมือไปหน่อย ชายหนุ่มยื่นใบหน้ามาจุมพิตร่องรอยเหล่านั้นอย่างปลอบประโลมเขาไม่ได้ตั้งใจจะเลยเถิดกับเธอ แค่จะชวนลงเล่นน้ำในลำธาร เพราะพราวพิชชาไม่เคยสัมผัสกับชีวิตลุยๆ เช่นนี้นัก จึงอยากให้เธอได้ลองทุกอย่างที่เป็นตัวเขา แต่พอเห็นเงือกสาวเริงร่าอยู่กลางสายน้ำ เสื้อผ้าเปียกลู่กับเรือนร่างเต็มตึงอรชร อารมณ์หนุ่มจึงคุโชนอย่างไม่อาจห้ามมันไว้ สุดท้ายพราวพิชชาเลยได้ประสบการณ์กลางแจ้งร่วมกับเขาเร็วกว่าที่คิดรัชภาคย์จับหญิงสาวลุกนั่ง ส่วนตัวเขาลงไปยืนแช่อยู่ในน้ำ เรือนกายล่ำสันมีกางเกงยีนส์เกาะเกี่ยวสะโพกเพรีย
นายวัฒนะขยับตัวเมื่อสำเหนียกถึงบางอย่างที่ดูผิดปกติอยู่บนรถลีมูซีนคันยาวเฟื้อยที่ไปรับเขามาจากสนามบินนานาชาติเชียงราชตั้งแต่อยู่บนเครื่องก็มีพนักงานต้อนรับของสายการบินคอยเดินมาถามไถ่ว่าเขาและภรรยาต้องการอะไร คอยดูแลอย่างไม่พร่อง จนเครื่องบินลงจอดเทียบท่าก็ยังมีพนักงานของท่าอากาศยานสนามบินพาไปยังห้องรับรองพิเศษ นั่งอยู่สักห้านาทีก็มีผู้ชายใส่สูทสีดำสองคนตรงมาค้อมตัวแล้วบอกว่ามีหน้าที่คอยบริการเขา และจะพาไปยังห้องพักของโรงแรมหรูที่สุดของเมืองเชียงราชนายวัฒนะนึกชอบใจ ลำพองตนอยู่ว่าคนพวกนั้นคงเห็นบางสิ่งในตัวเขาฉายชัดออกมา จึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ...แต่พอตอนนี้กลับฉุกคิดระแวงขึ้นเป็นครั้งแรกเชียงราช ถิ่นของรัชตะเจ้าหนี้เก่า รวมถึงรัชภาคย์ที่เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาแต่หนหลัง แถมเมื่อวานซืนเขาเพิ่งรู้จากภรรยาว่ารัชภาคย์ได้ทำเรื่องที่เรียกว่าขยี้หัวใจของเขาจนแหลกไปแล้วนายคนป่าเถื่อนคนนั้นล่อลวงลูกสาวที่แสนดีของเขาไปพราวพิชชาเป็นเด็กดีเสมอมา ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย ไม่เคยคบหาเพศตรงข้ามมาก่อน เขารู้ทุกเรื่องของลูกสาวผ่านภรรยา อีกทั้งยังติดตามสอบถามจากคนที่
“เฮ้ย! ชิบหายแล้วไง นายใหญ่จะตายไหมวะนั่น”แค่ได้ยินเสียงของพี่ชายที่ลอดออกมาหลังสิ้นเสียงหัวเราะนั้น รัชภาคย์ก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเป็นเยี่ยม เขาจึงตัดสายฉับไว ปล่อยหน้าที่เอาตัวรอดให้เป็นของพี่ชายคนเดียวนายเก่งอยู่แล้ว ฉันยกนายให้เป็นฮีโร่เลยนะโว้ย หาทางเอาเองแล้วกัน อย่าให้สิ้นชื่อเพราะโดยเมียข่วนล่ะอวยพรพี่ชายอยู่ในใจ รัชภาคย์ก็ค่อยๆ เบือนหน้ามองรอบ พอเห็นว่าตนยังคงอยู่ตามลำพังก็พ่นลมหายใจพรูออกมา...รู้สึกโล่งใจเป็นที่สุดร่างสูงใหญ่ทอดฝีเท้าด้วยท่วงท่ามั่นอกมั่นใจกลับเข้าบ้านทางประตูด้านข้างที่เชื่อมกับห้องรับประทานอาหาร หลังจากบอกพราวพิชชาที่นั่งร่วมโต๊ะว่าจะออกไปคุยงานสำคัญเป็นการส่วนตัวและเมื่อกลับมาถึงจึงเห็นเธอนั่งรอเขาอยู่ ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยน แล้วพาเธอมาทางด้านหน้าของบ้าน ตั้งใจว่าวันนี้จะกระเตงหล่อนเข้าเหมืองด้วยกันระยะนี้เขาต้องพาพราวพิชชาติดตัวด้วยตลอดเวลา ลองปิ่นลดามาได้ยินเรื่องที่รัชตะพูดกับเขาแล้ว เธอคงไม่อยู่เฉยอย่างกับนัดกันไว้ พ่อตาแม่ยายก็มา แถมน้องเมียหรืออีกนัยคือพี่สะใภ้มา
เมื่องานของพราวพิชชาเป็นตามแผนที่รัชภาคย์คุยกับไรวินทร์ จึงไม่มีอะไรให้ห่วง ส่วนหญิงสาวที่ตั้งหน้าตั้งตารอโทรศัพท์จากมารดา อยากรู้ความคืบหน้าที่บอกว่าจะคุยกับบิดาให้เองนั้นผลจะเป็นอย่างไร แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ“อย่าคิดมาก คุณแม่คุณรู้เรื่องของเราแล้ว ถือว่าผู้ใหญ่รับรู้ ท่านบอกจะคุยกับคุณพ่อของคุณให้ คุณก็รออีกหน่อย เดี๋ยวก็ติดต่อกันมาเอง”รัชภาคย์บอกเสียงเรียบ แม้จะคิดว่าสาเหตุที่แม่ของพราวพิชชาเงียบไปแบบข้ามวัน เพราะยังไม่อาจทำใจมากกว่า เรื่องมันคงปุบปับเกินไป อีกอย่างพ่อกับแม่เธอจะหายเงียบไปได้อย่างไร ทางนี้ก็ลูกสาวคนเดียวทั้งคนแต่เขาก็ไม่ได้บอกเหตุผลนี้กับเธอ เพราะเชื่อว่าหญิงสาวคิดอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่อยากย้ำให้คิดมากขึ้นไปอีก“ผมว่าไหนๆ คุณต้องอยู่เชียงราชอยู่แล้ว...บอกน้องสาวสักทีดีไหม”รัชภาคย์หยั่งเสียงถาม รู้ทันว่าหล่อนกำลังลืมเรื่องที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันบางอย่าง และเป็นจริง พอได้ยินพราวพิชชาถึงกับออกอาการตกใจ“ตายจริง แหววลืมลดาไปเลย โอ๊ย! ปวดหัวจัง แหววไม่น่าโกหกน้องบ้าๆ แบบนี้เลย&rdq
“งั้นตามใจคุณ แต่สัญญานะว่าถ้ามีอะไร อย่าเก็บไปคิดหาทางออกคนเดียวอีก มีผัวก็รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์บ้าง”“คุณนี่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ให้พูดแบบนี้อีกนะ”ดูเขาพยายามยัดเยียดตัวเองเหลือเกิน จนพราวพิชชาเหนื่อยใจที่จะปราม“ถ้าอย่างนั้นคุณก็อย่าทำให้ผมขัดใจ”“คุณนั่นแหละที่ทำให้แหววเป็นแบบนี้ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”“โอเค ผมยอมรับ อย่างที่คุณว่า ผมไม่ยอมพูดเรื่องของเราให้เคลียร์ตั้งแต่ต้น เลยทำให้คุณไม่มั่นใจ”“ยังมีอีก”หล่อนสวนทันควัน รัชภาคย์หรี่ตามองสงสัย แล้วถามอย่างไม่อยากให้คาใจนาน“เรื่องอะไร”“แหววจะบอกคุณเรื่องงานที่โทร.หาคุณไรวินทร์อยู่หลายครั้ง แต่แค่คุณเห็นแหววคุยกับเขา คุณก็ไม่พอใจแล้ว ถึงคุณไม่พูดแต่แหววดูออก อย่างนี้แหววจะกล้าบอกคุณทุกเรื่องได้ยังไง”“คุณไม่กล้าบอกผมด้วยเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ”รัชภาคย์ทำเสียงประหลาดใจสุดฤทธิ์ แววตาบ่งบอกว่าไม่อยากเชื่อ จนคนตั้งใจบอกต้องพยักหน้าแรงๆ พร้อมยืนยันด้วยคำพ
“เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นแล้วค่อยว่ากัน”“ได้ค่ะแม่”ตัดสายจากกันแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะออกหัวหรือก้อย แต่พราวพิชชาก็รู้สึกดีที่ไม่ต้องเก็บเรื่องราวหนักอกให้อยู่แค่ในใจอีกหญิงสาวยกมือกอดอกเมื่อลมหนาวพัดผ่านมา เช้าวันนี้อากาศเย็นลงกว่าปกติ พราวพิชชามองรอบตัว เริ่มเคยชินกับการเห็นทิวเขาไกลๆ ที่โอบล้อม คุ้นกับบ้านหลังใหญ่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มองเห็นกำแพงสูงล้อมรอบไกลๆ ยังมีอีกหลายส่วนของบ้านที่หล่อนยังเดินไปไม่ถึง...วันนี้เกิดนึกอยากรู้ อยากรู้จักมันทุกตารางนิ้วความมั่นคงและความตรึงใจกำลังคืบคลานมาหาพราวพิชชา ต่อจากนี้เธอจะเดินหน้าในเส้นทางที่เลือกแล้วด้วยหัวใจ...หากสัญญากับตัวเองว่าถึงอย่างไรก็จะไม่ทิ้งหน้าที่ของลูกที่ดีเช่นกันหญิงสาวหันกายกลับ ชั่วขณะหนึ่งปรายตาไปยังมุมซึ่งอยู่เยื้องทางด้านหลังของบ้าน ด้วยรู้สึกเหมือนตนตกเป็นเป้าสายตาของใครอยู่ผู้ชายเรือนกายล่ำสันที่เปิดเปลือยเนื้อตัวท่อนบนจนเห็นกล้ามเนื้อหนั่นแน่นไกลๆ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องนอน...ห้องนอนที่เธอเพิ่งจากมา และเขากำลังทอดสายตามองเธออยู่พราว
น้ำเสียงห้าวแหบพร่าออกคำสั่งท่ามกลางอารมณ์พิศวาสที่ยังกรุ่นๆ พราวพิชชาปรือตามองแล้วแย้มรอยยิ้มอย่างยั่วยวน ทุกกิริยาเป็นไปตามอารมณ์ที่นำพา หากสำหรับหัวใจเธอรู้ตัวเองชัดเจนแล้ว“แหววรักคุณเล็ก”“ผมรักคุณ...คุณแหวว”เขาบอกก่อนจะซบกับซอกคอหอมกรุ่นของหญิงสาว แล้วพลิกร่างเธอขึ้นมานอนเกยบนกายของเขา กกกอดไว้อย่างแสนรักและหวงแหนพราวพิชชาตื่นนอนตั้งแต่เช้า หลบคนที่กกกอดเธออยู่ทั้งคืนเพื่อจะอยู่กับตัวเอง หลังจากมั่นคงในการตัดสินใจแล้ว เธอนึกหาทางออกที่สวยงาม ครอบครัว และคนสำคัญที่เปิดรับเข้ามา...คนคนนั้นก็คือรัชภาคย์เหลือเวลาอีกแค่สามวันก็ครบกำหนดลาพักร้อน พราวพิชชาไม่อาจยื้อเวลาอีก เมื่อตัดสินใจแล้วก็ควรเดินหน้าต่อ ความลังเลหวาดกลัวไม่เคยเกิดกับเธอมาก่อน จนกระทั่งเวลานี้ซึ่งนับเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต...พราวพิชชารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นกบฏอยู่กลายๆโทรศัพท์มือถือถูกยกมาดูอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ แล้วเลือกติดต่อไปยังเจ้าของเบอร์โทร.ที่คิดว่าจะเข้าใจเธอมากที่สุดเสียงตอบรับจากปลายสาย ถามว่าเธอจะกลับไฟล์ทไหนเพื่อจะเ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและง่ายดาย กว่าพราวพิชชาจะรู้ตัวก็พบว่าตนเปลือยเปล่าอวดสายตาเขาอยู่หญิงสาวร้องกรี๊ดเมื่อต้องรับมือกับอารมณ์พัดแรงปานพายุ เนื้อกายหนาหนั่นที่อุดมด้วยกล้ามเนื้อก็เปลือยเปล่า อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน เสื้อคลุมนอนตัวใหญ่ที่เห็นห่อหุ้มร่างกายเขาตกอยู่ปลายเตียง...ถ้าเป็นเวลาปกติเธอคงนึกทึ่งในฝีมือการกำจัดของเขาแล้ว“คุณเล็ก แหวว...อุ๊บ”คำพูดที่อยากบอกไม่สามารถหลุดออกมาจนเต็มประโยค ริมฝีปากหยักฉกหมับเข้ากับเรียวปากอิ่มสวย สอดเรียวลิ้นร้อนๆ สากระคายเข้าสู่โพรงปากเธอ ดูดดึงซอกซอนจนพราวพิชชาตัวสั่นระริก ได้แต่อึกอักแล้วครางอือในลำคอเขารุกประชิดอย่างไม่ยอมรามือ บดเบียดกายเข้าหาจนเธอร้อนราวจะลุกเป็นไฟไปทั้งร่าง...พราวพิชชาไม่มีสติเหลือให้สงสัยแล้วว่าอะไรทำให้รัชภาคย์ร้อนแรงดุดันได้ขนาดนี้ ร่างกายเธอยังถูกเขารุกเร้าในทุกทาง พราวพิชชาได้แต่คอยตามและตอบสนอง...สำหรับเธอเกิดด้วยความเต็มอกเต็มใจ นึกถึงแต่ความสุขและความต้องการทั้งตัวเขาและตัวเธอเองกระทั่งชายหนุ่มถอนจุมพิตออก พราวพิชชารู้สึกเรียวปากกำลังบวมเจ่อ ดวงตาหวานทอดมอง
“ผมอยากรู้มากกว่านี้”“คุณแหววสามารถย้ายมาทำงานที่เชียงราชโดยเป็นตัวแทนของบริษัทที่เธอสังกัดอยู่ ถ้าผมทำเรื่องขอตัวไป เพราะเราต้องมีฝ่ายบริการดูแลเรื่องซอฟต์แวร์ในบางโมดูลจากทางนั้นอยู่แล้ว และคุณแหววก็คุ้นเคยกับทีมงานเราดีเพราะเคยร่วมงานกัน”“แต่เท่าที่ผมรู้คุณแหววเป็นเลขา...งานพวกนี้เกี่ยวอะไรกับเธอ”“คุณแหววเป็นโปรแกรมเมอร์มือฉกาจ เธอเทกคอร์สเลขานุการเพิ่ม และเริ่มงานจริงจังในตำแหน่งเลขาของผู้บริหารในบริษัทซอฟต์แวร์ใหญ่ของเพิร์ท...คุณคงรู้แล้วว่าเธอเคยสมัครงานกับบริษัทผม เราอยากได้เธอมาร่วมงาน แต่จังหวะเวลาไม่ให้ ตอนนั้นเราขยายงานในออสเตรเลียอยู่ ถ้าได้คนที่คุ้นเคยและคล่องตัวในการประสานงานทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ก็จะดี ซึ่งคนที่ได้คะแนนเหนือกว่าเธอเป็นคนพื้นเพของเมืองนั้น”“ผมเข้าใจ...เธอก็เข้าใจดีด้วย”“ครับ คุณแหววเป็นคนทำงานมืออาชีพ เธอเข้าใจเรื่องพวกนี้ไม่ยาก ผมชื่นชมเธอ”“ถ้าคุณเห็นว่าคุณสมบัติของเธอเหมาะสมกับงานที่ว่า คุณพร้อมที่จะทำเรื่องไปยังต้นสังกัดเธอไหม