"นะ นี่มัน!" ความยิ่งใหญ่อลังการเกินจะกล่าวของสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าทำเอาหว่านหว่านเข่าแทบทรุด ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ
"นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ"
สิ่งที่ปรากฏให้นางเห็นตรงหน้าก็คือห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีเงินทองกองอยู่เป็นภูเขา มากมายขนาดนี้ต่อให้ใช้ก่อตั้งราชวงศ์ก็คงจะร่ำรวยไปอีกหลายร้อยปี หว่านหว่านลองหยิบก้อนทองร้อยตำลึงขึ้นมา ก่อนที่นางจะใช้ฟันหน้าของนางลองกัดดูเพื่อพิสูจน์ในขณะที่ก้อนทองคำถูกหยิบออกจากหีบมาอยู่ในมือของนาง ทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่ หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะลองพิสูจน์ด้วยการหยิบทองขึ้นมาสองก้อนเพียงไม่นานทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่! ดวงตาของนางเบิกกว้างแล้วคิดในใจว่า นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วจริง ๆ
"ให้ตายเถอะ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ใช้ไปอีกสิบชาติก็คงไม่มีทางหมดแน่"
ระหว่างนั้นก็ปรากฏภูตตัวน้อย ขนาดเท่ากับฝ่ามือของนางโผล่ออกมา ภูตน้อยมีปีกคล้ายผีเสื้อทั้งยังบินได้
"เจ้าเป็นใครน่ะ!" หว่านหว่านถึงกับสะดุ้งก่อนจะเอ่ยถามไปด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ
"ข้าคือภูตผู้ดูแลความลับของตระกูลเมิ่ง เจ้าคือเมิ่งจิ่วซือ ไม่ใช่สิ! ร่างคือเมิ่งจิ่วซือแต่วิญญาณนั้นไม่ใช่"
"เจ้ารู้!"
"ข้าต้องรู้อยู่แล้วเพราะข้าเป็นคนนำเจ้ามายังที่แห่งนี้"
"เพราะเหตุใด? เหตุใดต้องพาข้ามาที่นี่"
"เป็นเพราะคำขอสุดท้ายของทายาทตระกูลเมิ่ง เมิ่งจิ่วซือได้ขอพรหนึ่งข้อแลกกับชีวิตของนางเพื่อปกป้องตู๋กูรั่วหวา ประจวบเหมาะกับเจ้าที่มีดวงชะตาต้องกันกับนาง เจ้าตายเพราะปกป้องเด็กผู้หนึ่งเช่นกัน ข้าก็เลยเลือกเจ้า"
เลือกง่าย ๆ แบบนี้เลย อย่างกับจิ้มข้อสอบแน่ะ หว่านหว่านได้แต่แอบบ่นในใจ
"เจ้าได้โอกาสมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ส่วนเมิ่งจิ่วซือก็ได้รับพรสมดั่งปรารถนา"
"อ่อ... นับว่าไม่ผิด" หญิงสาวเอ่ยออกมา ที่ภูตตนนี้กล่าวมานับว่าไม่ผิดนัก
"ต่อจากนี้ ตู๋กูรั่วหวาคือทายาทตระกูลเมิ่ง นางจะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถใช้งานหยกประดับและกำไลหยกคู่นี้ได้ ส่วนเจ้าสามารถใช้เงินทองเหล่านี้ได้เพียงอย่างเดียว"
"ยังสามารถทำอย่างอื่นได้อีกหรือ เช่นอะไรบ้างเล่า? เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่" หว่านหว่านแกล้งถามออกไป
"ไม่ได้! เรื่องนี้จะต้องเป็นความลับระหว่างข้าภูตผู้ดูแลกับทายาทที่แท้จริงเท่านั้น เดิมทีหากมีการส่งต่อกุญแจแล้วละก็ทายาทผู้ส่งต่อจะต้องตาย เพียงแต่ในกรณีนี้ค่อนข้างพิเศษและเดิมทีเมิ่งจิ่วซือตัวจริงก็ตายจากไปแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็มีหน้าที่ไม่ต่างจากข้านั่นคือการดูแลทายาทที่แท้จริงของตระกูลเมิ่ง"
"ข้า เอ่อ ข้าใช้เงินทองของพวกนี้ได้จริงหรือ?"
"แน่นอนว่าจริงและเจ้าจะใช้มากเท่าใดก็ย่อมได้ เพราะมันจะไม่มีวันหมดไป"
"เจ๋งโคตร ๆ"
"เจ้ากำลังว่ากระไรนะ!"
"เปล่า ไม่มีอะไร เช่นนั้นข้าจะทำหน้าที่เก็บกุญแจนี้เอาไว้ให้หวาหวาจนกว่านางจะโตก็แล้วกัน"
"อื้ม ก็ตามนั้นแหละ" ภูตตัวน้อยกล่าว
หลังจากบทสนทนาจบลงหญิงสาวก็กลับออกมาในโลกความจริงอีกครั้ง แม้จะงุนงงสับสนไปบ้างแต่ก็ตามที่ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนี้นางไม่มีสิทธิ์ได้รู้หรือได้ใช้งาน มีเพียงตู๋กูรั่วหวาเท่านั้นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ได้รับสิทธิ์ได้ใช้เงินทองเหล่านั้นละนะ แต่เงินทองมากมายกับโลกยุคนี้มันช่างขัดใจนางจริง ๆ แล้วนางจะไปซื้ออะไรได้ เฮ้อ! นี่มันทำร้ายกันทางอ้อมชัด ๆ ตอนนี้หว่านหว่านเริ่มรู้ซึ้งแล้วว่าการมีเงินมากมายแต่ไม่รู้จะซื้ออะไรนั้นมีความรู้สึกเช่นไร ความลำบากใจของคนรวยมันเป็นแบบนี้นี่เอง
แอ้! แอ้!
เสียงร้องเรียกดังขึ้นเบา ๆ เจ้าตัวเปี๊ยกได้เวลาตื่นแล้ว หญิงสาวก้าวเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงก่อนจะพบสีหน้าไม่ค่อยดีของเด็กน้อย ใบหน้าบิดเบี้ยวบึ้งตึงที่นางเห็นแล้วรู้สึกใจละลาย ก่อนจะคลำดูแล้วพบว่าผ้าอ้อมเปียกชื้นไปหมด นางเดินไปที่หีบใส่เสื้อผ้าก่อนจะนำชุดใหม่ออกมา จากนั้นก็พาร่างเล็กหายไปที่หลังฉากกั้น เด็กน้อยถูกจับวางลงในถังไม้ขนาดพอดีตัวโดยมีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะถูกจับพลิกซ้ายพลิกขวาเพื่อชำระล้างร่างกายจนทั่ว แล้วถูกจับยกขึ้นก่อนที่หว่านหว่านจะกลั่นแกล้งนางด้วยการทำท่าทางสะบัดสลัด เด็กน้อยหัวเราะร่าเสียงดังแล้วถูกพันร่างจนคล้ายมัมมี่ก่อนจะเดินออกมาจากหลังฉากกั้น
"นายหญิงอาบน้ำให้คุณหนูหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่เรียกบ่าว" ไห่ หมัวมัวที่ได้ยินเสียงหัวเราะของตู๋กูรั่วหวาจึงได้รีบเดินจากโรงครัวมาที่ห้อง แล้วพบว่านายหญิงกำลังอาบน้ำให้คุณหนูอยู่
"ไม่เป็นไร เจ้ามีอันใดก็ไปทำเถิดเรื่องของหวาหวาเดี๋ยวข้าจัดการเอง"
"เจ้าค่ะ เอ่อ... คุณหนูยังเล็กอาจยังต้องดื่มนม แต่ที่เรือนไม่มีแม่นม นายหญิงจะให้บ่าวหาแม่นมสักคนเอาไว้ช่วยเลี้ยงดูคุณหนูหรือไม่เจ้าคะ ก่อนหน้านี้ที่นายหญิงยังหมดสติอยู่บ่าวใช้นมแพะดูแลนางชั่วคราว แต่เด็กเล็ก ๆ ควรต้องดื่มนมแม่จึงจะเป็นการดีต่อคุณหนูเจ้าค่ะ" หว่านหว่านหน้าตึงขึ้นมาทันที นางหลงลืมไปเลยว่าเจ้าตัวเปี๊ยกพึ่งจะหกเดือนเท่านั้น เด็กน้อยยังต้องดื่มนมอยู่ คิดเช่นนั้นก็ได้แต่ก้มลงมองดูร่างของเมิ่งจิ่วซือ มิน่าเล่านางจึงรู้สึกคัดที่หน้าอกเป็นอย่างมากเพราะถึงเวลาดื่มนมของเด็กน้อยแล้วนี่เอง จากที่สังเกตน้ำนมของหญิงสาวมีค่อนข้างมากและตลอดมาเนื่องจากป้องกันการถูกวางยาพิษ เมิ่งจิ่วซือจึงได้ให้นมบุตรเองมาโดยตลอด
"ไม่ต้องหรอก ข้าจะให้นางดื่มนมของข้าเอง"
"เจ้าค่ะ เช่นนั้นบ่าวขอตัวไปทำอาหารที่โรงครัวก่อน"
"อื้ม ไปเถอะ"
หว่านหว่านจับเด็กน้อยแต่งตัวก่อนจะอุ้มนางเพื่อเข้าเต้าแม้จะดูเงอะงะอยู่บ้างในตอนแรกแต่เพราะเคยทำงานพิเศษช่วงปิดเทอมในแผนกเด็กเล็กทำให้พอจะคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย มือน้อย ๆ ปัดป่ายที่หน้าอกของนางพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตากินไม่หยุด กินจุแบบนี้นี่เองถึงได้ตัวกลมดิ๊กเชียว หญิงสาวได้แต่คิดในใจอย่างเอ็นดู แก้มป่อง ๆ ในยามที่ดูดนมนั้นทำเอานางรู้สึกเห็นแล้วใจละลายเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะนึกไปถึงผู้เป็นบิดาที่แท้จริงหากชายหนุ่มได้มาเห็นความน่ารักน่าเอ็นดูของบุตรสาว เขาจะรักนางขึ้นมาบ้างหรือไม่นะ?
คนเขียนเองก็ใจร้ายยิ่งนัก บทพิสูจน์ของนางร้ายในเรื่องนี้นั้นหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับเด็กน้อยคนหนึ่ง นางไม่ควรจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เด็กน่ารักเช่นรั่วหวาควรจะได้เติบโตขึ้นมามีชีวิตที่สดใสต่างหากจึงจะถูกต้อง
"ต่อจากนี้ข้าจะดูแลเจ้า จะเป็นมารดาให้กับเจ้าเองเจ้าตัวเปี๊ยก"
นานกว่าสองเค่อที่เด็กน้อยกินนมจนกระทั่งอิ่ม ดวงตากลมโตฉ่ำปรือจนกระทั่งหลับไปในที่สุด หญิงสาวค่อย ๆ วางเด็กน้อยลงบนเตียงพร้อมกับปูผ้าเพิ่มอีกชั้น ก่อนจะห่มผ้าให้นางแล้วหันกลับมาดูแลตนเองหลังอาบน้ำเสร็จ ไห่หมัวมัวก็ตั้งสำรับเสร็จพอดี อาหารมีเพียงสองอย่างเป็นน้ำแกงเห็ดและผัดขิงใส่เห็ดเพื่อบำรุงเลือดลมของมารดาเช่นนาง
"นายหญิงจะทานเลยหรือไม่เจ้าคะ"
"กินเลยก็แล้วกันจะได้พักผ่อน"
"คืนนี้ให้บ่าวพาคุณหนูไปดูแลดีหรือไม่เจ้าคะ นางจะได้ไม่กวนท่านกลางดึก"
"ไม่เป็นไร ให้นางนอนกับข้านี่ละ เจ้าเองก็ควรพักผ่อนบ้างขอบคุณที่ดูแลพวกเราสองแม่ลูกมาหลายวัน คงจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย"
"มิได้เจ้าค่ะ เป็นหน้าที่ของบ่าว"
หว่านหว่านเป็นคนที่ทานอาหารเร็วเพียงเค่อนางก็กินข้าวเสร็จ ไห่หมัวมัวทำหน้าที่เก็บสำรับออกไปก่อนจะปล่อยให้หญิงสาวได้พักผ่อน
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหญิงสาวก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด นางอยากจะทำโน่นทำนี่ เพียงแต่ความสว่างจากเทียนไขช่วยอะไรไม่ได้มาก ทำได้เพียงรอให้ถึงตอนเช้าเสียก่อน ค่อยอาศัยแสงสว่างในตอนกลางวันลงมือทำในสิ่งที่อยากจะทำ
พรุ่งนี้นางคงจะต้องเริ่มทักทายเพื่อนบ้านและหัวหน้าหมู่บ้านของที่นี่เสียหน่อย ในยามมีปัญหาจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ย่อมต้องทำความรู้จักคุ้นเคยเอาไว้บ้าง
ร่างบางล้มตัวลงนอนข้าง ๆ เด็กน้อย ชีวิตใหม่ได้เริ่มต้นจริง ๆ แล้วสินะ บททดสอบต่อไปจะต้องพบเจอกับสิ่งใดบ้างนางก็สุดจะรู้ได้
ทางด้านหรูเจิ้งหยวนและซิ่วจื่อหลิงก็เดินมาถึงตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้โดยที่มีคนของเขาที่ปลอมเป็นขันทีอยู่ที่ตำหนักรอต้อนรับอยู่ ทั้งคู่เพียงส่งสัญญาณด้วยสายตาก็เป็นที่รับรู้ได้ในทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะแสร้งทำเป็นให้คนมาคอยควบคุมโดยรอบตำหนักในทันที ซึ่งคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนของหรูเจิ้งหยวนทั้งหมด ก่อนที่ตนจะเป็นผู้นำทางชายหนุ่มเข้าไปยังด้านในเสวียนอู่ฮ่องเต้ทรงบรรทมอยู่บนเตียงโดยที่ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เป็นซิ่วจื่อหลิงที่เดินเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าเตียงก่อนที่จะหยิบเข็มเงินของนางออกมาจากห่อผ้าพร้อมกับจิ้มลงไปบนหน้าของของเขาแล้วค่อย ๆ ดึงออกมาแล้วพบว่าเข็มเงินของนางได้เปลี่ยนเป็นสีดำในเวลาต่อมา"จะ เจ้าเป็นผู้ใด" เสียงแหบแห้งของเสวียนอู่ฮ่องเต้ที่ในตอนแรกนอนนิ่งเป็นผักอยู่นั้นดังขึ้นเบา ๆ"เสด็จพ่อ... " หรูเจิ้งหยวนก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียง และเมื่อเสวียนอู่ฮ่องเต้ได้เห็นหน้าโอรสของเขาอีกครั้งก็ได้แต่หลั่งน้ำตาออกมา"หยวนเอ๋อ...""เสด็จพ่อนางเป็นคนรักของลูกเอง องค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงที่ลูกเคยเล่าให้ท่านฟัง" เสวียนอู่ฮ่องเต้หันไปมองหน้าซิ่วจื่อหล
หลายวันต่อมาซิ่วจื่อหลิงลุกขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นางได้เตรียมมาด้วย นางตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะปลอมตัวเป็นสาวใช้ของหรูเจิ้งหยวน เมื่อตอนที่ยังเล็กมารดามักชอบเล่านิทานประโลมโลกให้นางกับน้องชายฟัง เคยมีเรื่องราวของคุณหนูผู้ร่ำรวยคนหนึ่งต้องการตามหารักแท้จึงได้ปลอมตัวเป็นสาวใช้หน้าตาอัปลักษณ์เข้าไปอยู่ในจวนท่านแม่ทัพผู้หนึ่ง นางเองก็อยากจะลองเล่นสนุกเช่นนั้นดูบ้าง ครั้งนี้ก็นับว่าได้มีโอกาสแล้วหญิงสาวลงทุนทาตัวด้วยยางไม้ชนิดหนึ่งเพื่อให้สีผิวที่ขาวนวลกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ ก่อนที่จะทาไปบนใบหน้าและติดเม็ดไฝสักสองสามเม็ดบนหน้าของนางให้ดูสมจริงมากขึ้น เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของสาวใช้ สำเนียงที่พูดก็เปลี่ยนให้เหน่อเล็กน้อย เมื่อแต่งตัวเสร็จจึงได้เดินออกมาจากห้องในขณะที่ชายหนุ่มเองก็นั่งรออยู่เมื่อเห็นซิ่วจื่อหลิงที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างชัดเจน หรูเจิ้งหยวนที่กำลังยกชาขึ้นดื่มก็ถึงกับสำลักและไอออกมาเสียงดังแค่ก ! แค่ก ! แค่ก !"นี่ข้างามมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ย
หลังจากที่พูดคุยกันแล้วซิ่วจื่อหลิงก็ลงมือรักษาชายหนุ่มในทันที ฝีมือการรักษาพิษแม้ว่านางจะไม่เก่งกาจเท่ากับมารดาหากแต่เมื่อเทียบกับหมอหลวงโดยทั่วไปย่อมเหนือชั้นกว่า อีกอย่างนางมีของวิเศษและการมาในครั้งนี้ก็พาเจ้าจิ้งจอกน้อยมาด้วย ซิ่วจื่อหลิงนำเจ้าจิ้งจอกน้อยออกมาจากช่องว่างในมิติของวิเศษก่อนจะให้มันดูดซับพลังไม่ดีจากร่างกายเขา ก่อนที่นางจะลงมือฝังเข็มนับร้อยเล่มบนร่างกายของชายหนุ่มพิษที่ชายหนุ่มได้รับนั้นเป็นพิษของทางชนเผ่าหน้าด่านที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนัก ทำให้หมอทั่วไปมิอาจรักษาได้ หากแต่ไม่ใช่กับวิชาเข็มพิฆาตพิษที่เป็นวิชาตกทอดมาจากท่านตาทวดของนางอย่างแน่นอนในยามที่ฝีเข็มถูกทิ่มแทงลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังเพียงไม่กี่อึดใจก็มีเลือดสีดำซึมออกมาในทุกรูขุมขนที
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน"อาเป่า ช่วงนี้ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับคุณชายเสิ่นส่งกลับมาบ้างเลยหรือ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิท"ไม่มีเลยเพคะ จะว่าไปก็แปลกยิ่งนักเหตุใดจึงได้เงียบไปเช่นนี้""นั่นสิ แล้วข่าวเกี่ยวกับวังหลวงแคว้นหนานเฉินเล่า ?""ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะคุกรุ่นอยู่ไม่น้อยเลยเพคะ"
วังหลวงแคว้นหนานเฉินกำลังจะลุกเป็นไฟหลังจากที่คนของตระกูลหวังของหวังฮองเฮาถูกคนเล่นงานอยู่หลายครั้งจนกระทั่งอำนาจเริ่มเสื่อมถอย เสวียนอู่ฮ่องเต้เองก็ป่วยกระเสาะกระแสะมานานหลายเดือน ในยามที่หรูเจิ้งหยวนส่งคนของเขาไปตรวจร่างกายพระองค์ก็ดูเหมือนจะปกติ เพียงแต่อาการนั้นไม่ปกติยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ต้องไม่เป็นการดีแน่ในขณะที่ในช่วงค่ำคืนหนึ่งที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบสงบอย่างผิดปกติ อยู่ ๆ ตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้ก็ถูกล้อมด้วยคนของไท่จื่อหรูโจว แน่นอนว่าการก่อกบฏในครั้งนี้มีคนที่ร่วมมือกับเขาอยู่ไม่มาก ขุนนางเหล่านั้นอยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลหวังทั้งยังสนับสนุนให้ไท่จื่อหรูโจวกระทำการช่วงชิงราชบัลลังก์จากเสวียนอู่ฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าฝ่าบาทมิอาจออกว่าราชกิจได้เนื่องจากทรงพระชวรหนัก จึงจำเป็นจะต้องให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเช่นองค์รัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์แทนหลังจากที่พวกเขาบุกยึดวังหลวงได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังฮองเฮาที่สวมอาภรณ์สีแดงงดงามก็เดินเข้ามาในห้องบรรทมของผู้เป็นสามี นางมองเสวียนอู่ฮ่องเต้ด้วยแววตาสมเพช เดิมทีนางนั้นหลงรักเขาหมดหัวใจ เพียงแต่อีกฝ่า
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นด้วยความดุเดือด ก่อนที่ซิ่วจื่อหลิงจะหันไปเห็นหลิวอี้หลันที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณสนามฝึกแห่งนี้ ได้ข่าวว่านางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปได้ไม่นานก็รีบออกมาแสดงตัวเสียแล้วหลิวอี้หลันเดินมาพร้อมกับท่านหญิงซูฉี ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมากกว่าที่เคย อาจเพราะพระชายาเจิ้งอ๋องผู้เป็นมารดาของหลิวอี้หลันได้แต่งเข้าตำหนักเจิ้งอ๋องทำให้หลิวอี้หลันเองก็เปรียบเป็นคนในราชวงศ์กึ่งหนึ่ง เพราะเจิ้งอ๋องนั้นรับนางและน้องชายเป็นบุตรบุญธรรม แต่จะชูคอได้นานอีกสักเท่าใดก็ต้องคอยดูกันต่อไป ทั้งคู่เดินเข้ามาในกระโจมที่นางและน้องชายนั่งอยู่ก่อนทั้งสองจะยอบกายคารวะนางและน้องชายแล้วหันไปมองจินเยว่ที่นั่งข้าง ๆ"เหตุใดคุณหนูจินจึงมานั่งในกระโจมนี้ได้เล่า" เป็นท่า