ย้อนกลับไปยังต้นตระกูลเมิ่งในกาลก่อน
นับตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อนบรรพชนตระกูลเมิ่งได้มีบุญคุณต่อผู้เป็นใหญ่ผู้หนึ่งเมื่อรักษาอีกฝ่ายจนกระทั่งหายดี ของวิเศษนี้จึงถูกมอบให้แก่บรรพชนตระกูลเมิ่ง หากแต่ต้องแลกมาด้วยสัญญาเลือดที่ความลับนี้จะต้องมีเพียงทายาทที่แท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกใช้งานของวิเศษได้ และหาก ว่าต้องการส่งต่อของวิเศษนี้แก่ทายาทรุ่นต่อไป หลังจากที่ส่งมอบแล้วผู้ส่งมอบจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของตนเองและความลับนี้จะต้องกลายเป็นความลับตลอดกาล
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความลับของตระกูลเมิ่งนั้นคือสิ่งใด หากแต่มันก็กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินเกิดความหวาดระแวงไม่น้อย คนตระกูลเมิ่งราวกับต้องคำสาป ในทุก ๆ รุ่นจะมีทายาทที่เกิดขึ้นนั้นน้อยลงเรื่อย ๆ จนแทบเรียกได้ว่าเกือบจะสิ้นตระกูล จนกระทั่งหลายปีก่อนที่นายท่านผู้เฒ่าเมิ่งผู้เป็นท่านปู่ของเมิ่งจิ่วซือได้จากไป ตระกูลเมิ่งก็หลงเหลือนางเป็นทายาทเพียงคนเดียวสิ้นสุดนับจากนี้
เมิ่งจิ่วซือได้รับราชโองการให้แต่งงานกับตู๋กูหรงเซ่อพระโอรสองค์โตของฮ่องเต้แคว้นต้าซ่ง แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าตระกูลเมิ่งนั้นมีความลับใดซ่อนอยู่และถึงแม้ว่าจะเหลือเมิ่งจิ่วซือเป็นทายาทคนสุดท้ายทั้งยังเป็นสตรี แต่พวกเขาก็ยังคงหวาดระแวง
เมิ่งจิ่วซือมิอาจทอดทิ้งคนของนางได้จึงต้องยอมรับราชโองการนี้อย่างไม่เต็มใจ แต่ถึงไม่เต็มใจแต่ก็ไม่อาจแสดงออก แม้ว่าจะไม่มีเก้าชั่วโคตรให้ประหารหากแต่คนใต้บัญชาของนางนับร้อยนับพันจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในคืนเข้าหอนางนั้นรู้ดีว่าเขาฝืนใจมากเพียงใดแม้ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างไม่ได้รุนแรงมากนักหากแต่ราวกับเขากำลังปฏิบัติอยู่กับก้อนหินต้นไม้ ช่างไร้หัวใจสิ้นดี ที่ทำเช่นนี้ก็มิใช่ว่าต้องการให้นางมีทายาทหรอกหรือ ความลับของตระกูลเมิ่งจำเป็นต้องถูกส่งต่อให้กับทายาทและเขารู้ว่านางจะไม่มีวันมอบมันให้กับเขาแต่นางจะต้องมอบของสิ่งนั้นส่งต่อให้กับบุตรของนางอย่างแน่นอน
ตู๋กูหรงเซ่อคาดการณ์ได้แม่นยำนักและที่เมิ่งจิ่วซือยินยอมให้เป็นไปตามแผนการของเขาก็เพราะนางเองก็รู้สึกเหงามาก ตระกูลเมิ่งควรมีทายาทสักคนจริง ๆ ถึงอย่างไรนางก็ต้องขอบคุณเขาไม่น้อยที่ได้มอบตู๋กูรั่วหวาที่เป็นดั่งดวงใจมาให้นาง เพราะเด็กน้อยคือเหตุผลเดียวที่ทำให้นางอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้
จะเรียกว่าเขาหลอกใช้นางเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนักเพราะนางเองก็หลอกใช้เขาเพื่อทำให้มีทายาทให้กับตระกูลเมิ่งเช่นเดียวกัน นับว่าทั้งสองได้บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว
ในวันหนึ่งที่นางดูแลบุตรอยู่ในเรือน อยู่ ๆ ก็ได้รับรายงานว่ามีนักฆ่าต้องการจัดการเอาชีวิตนาง คนเหล่านั้นคงจะอดรนทนไม่ได้เสียแล้วกระมังจึงคิดที่จะกำจัดนางเพื่อแย่งชิงเอาของวิเศษชิ้นนั้นไปให้ได้ แต่พวกเขาไม่เคยรู้ว่าสัญญาเลือดจะเป็นผลมีเพียงทายาทที่แท้จริงที่ถูกส่งมอบของวิเศษโดยทายาทคนก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งานมันได้ พวกเขาคิดว่าหากนางตายของวิเศษชิ้นนั้นจะต้องตกเป็นของพวกเขาอย่างง่ายดาย ช่างน่าขันยิ่งนัก!
ในวันที่นักฆ่ากว่าร้อยคนปะทะกับคนของนางนั้น นางเองก็สูญเสียมือดีไปไม่น้อย ก่อนจะตัดสินใจกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วควบหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่สองมือหรือจะสู้หลายมือ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะลงมือปกป้องตนเองได้ไม่ยากแต่ในตอนนี้ในอ้อมแขนของนางมีบุตรสาวอยู่ นางไม่อาจเสี่ยงให้เด็กน้อยบาดเจ็บ แม้ในตอนสุดท้ายที่จะต้องเลือกนางก็มิอาจทำให้บุตรสาวของนางเกิดรอยขีดข่วนได้แม้เพียงปลายเล็บ ก่อนจะตัดสินใจกระโดดลงจากหน้าผาที่สูงชันทั้งด้านล่างก็เป็นแม่น้ำลึก เมิ่งจิ่วซือรู้ว่านางสามารถขอพรกับของวิเศษได้และการส่งมอบนี้จะทำให้บุตรสาวของนางรอดชีวิต บุตรสาวของนางจะไม่ตายแม้ว่าต้องแลกกับชีวิตของเมิ่งจิ่วซือเองก็ตาม
ภายหลังจากที่สองแม่ลูกนั้นกระโดดลงจากหน้าผาแล้ว ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งควบม้ามาแล้วจัดการสังหารนักฆ่าเหล่านั้นทั้งหมด ก่อนจะเหลือไว้เพียงคนเดียวเพื่อใช้สอบสวน แววตาของเขาดำมืดลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าชายหนุ่มกำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ ภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นรอบกายของเขามักจะมีไอสังหารแผ่ออกมาอยู่เสมอ แต่กระนั้นความหล่อเหลาที่ราวกับหยกสลักชั้นเลิศก็มักทำให้เหล่าบุปผาต้องการเข้าใกล้เขา แม้จะต้องเสี่ยงชีวิตแต่ดูเหมือนว่าใบหน้านี้จะหลอกล่อให้ผู้คนเหล่านั้นถึงกับยอมตายได้เพื่อมัน
"นายท่านจะให้คนของเราตามลงไปดูหรือไม่ขอรับ"
"ไม่ต้อง! นางเลือกแล้วเช่นนั้นก็ปล่อยนางไปเถิด"
"แต่ท่านหญิงน้อย..."
"นางไม่มีวันปล่อยให้เด็กคนนั้นตาย" เหล่าองครักษ์ต่างเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดอีก นายท่านของพวกเขาเป็นคนไร้หัวใจเพียงใดเรื่องนี้พวกเขาต่างรู้ดี แม้ตลอดมาจะปฏิบัติต่อพระชายาเป็นอย่างดีหากแต่หาได้มีความรู้สึกร่วมด้วยไม่
พระชายากับท่านหญิงน้อยตกลงไปยังเบื้องล่างจากที่สูงถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่อยากจะจินตนาการต่อเลยแม้แต่น้อยว่าทั้งคู่จะตกอยู่ในสภาพใด ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก!
และด้วยพลังความรักของผู้เป็นมารดาแม้ว่าวิญญาณจะมอดม้วยหากแต่สุดท้ายตายเหมือนกับไม่ตาย ชีวิตที่ราวกับได้เกิดใหม่ของหว่านหว่านวิญญาณของนางได้เข้ามาแทนที่ร่างนี้อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่รุ่นบรรพชนของตระกูลเมิ่งยังไม่เคยเกิดกรณีนี้ขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว นับว่าสวรรค์ยังเมตตาหรืออาจจะเป็นเพราะต้องการให้นางหยุดยั้งเหตุการณ์ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าด้วยน้ำมือของนางร้ายอันดับหนึ่ง
จิตใจที่ตายด้านของหญิงสาวทั้งยังถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ไร้รัก ไร้คนห่วงใยที่แท้จริง ก่อนที่นางจะลงมือสังหารคนทั้งหมดบนโลกใบนี้ด้วยพรข้อสุดท้ายของนางแม้แต่ดวงจิตเพียงเสี้ยวก็ยังแตกดับ
หว่านหว่านคือผู้ที่จะมาเปลี่ยนแปลงความเลวร้ายนั้นมิให้เกิดขึ้น นางจะต้องกล่อมเกลาเด็กน้อยผู้ใสซื่อให้เติบโตมาเป็นเด็กสาวที่จิตใจดี
ณ ค่ายพยัคฆ์คำราม
"คารวะท่านอ๋อง"
"รายงานมา"
"มีคนช่วยเหลือพระชายาและท่านหญิงน้อยขอรับ"
"ผู้ใดงั้นหรือ?"
"เป็นคนตระกูลเสิ่นขอรับ"
"รายงานทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาง อย่าได้ตกหล่นแม้เพียงเรื่องเดียว"
"แล้วพระชายากับท่านหญิงน้อย..."
"ให้คนคอยจับตามองอยู่ห่าง ๆ ก็พอ อย่าให้คนของนางรู้ตัว" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ขอรับ"
"พวกมันสารภาพแล้วหรือยัง?"
"ยังขอรับ"
"เช่นนั้นก็ทรมานพวกมันต่อไปจนกว่ามันจะพูดออกมา อย่าให้มันตายเด็ดขาด หาหมอเข้าไปรักษาพวกมัน"
"ข้าน้อยทราบแล้ว" ขณะที่หวั่นอี้กำลังจะหันหลังจากไป
"ช้าก่อน!"
"ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะกล่าวหรือขอรับ" ตู๋กูหรงเซ่อชะงักเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลังเลไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยออกไปหรือไม่ ก่อนจะถอนหายใจแล้วโบกมือไล่อีกฝ่าย
หวั่นอี้ที่เห็นนายท่านของตนทำเหมือนอยากจะกล่าวบางอย่างหากแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยออกมาจึงได้ถือวิสาสะรายงาน
"พระชายาและท่านหญิงน้อยสบายดีขอรับ ดูเหมือนจะดีกว่าตอนที่อยู่ในตำหนักอ๋องเสียอีก"
"ผู้ใดอยากจะรู้กัน! เปิ่นหวางสั่งให้เจ้ารายงานแล้วงั้นหรือ? แล้วที่นั่นมีอันใดดีกว่าตำหนักอ๋องของเปิ่นหวางหรือเจ้าคิดว่าเปิ่นหวางดูแลนางไม่ดีเท่ากับเจ้าหนุ่มหน้าเหม็นตระกูลเสิ่นนั่น เช่นนั้นหรือ?"
"ข้าน้อยมิกล้า! เพียงแต่..."
"ช่างเถอะ เจ้าไปได้แล้ว!"
"ขอรับ" หวั่นอี้รู้สึกหนาวที่สันหลังอย่างบอกไม่ถูก เห็นอยู่ว่าท่านอ๋องอยากจะรู้เพียงแต่ไม่อยากจะถามหากว่าเขาทำเกินหน้าที่จริง ๆ ป่านนี้ถูกลากออกไปโบยตั้งนานแล้ว
"พวกเจ้าจัดกลุ่มออกไปคุ้มกันพระชายาและท่านหญิงน้อยอยู่ห่าง ๆ อย่าให้ถูกจับได้เด็ดขาด หากมีความคืบหน้าใดให้รีบรายงานห้ามปล่อยผ่านแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าใจหรือไม่?"
"ข้าน้อยทราบแล้ว!"
"ดี! ไปได้แล้ว"
หวั่นอี้เหลือบมองเข้าไปในกระโจมของนายท่านก่อนจะถอนหายใจ หากชายหนุ่มเอ่ยว่าแค่ดูแลพอเป็นพิธีนั่นย่อมหมายถึงหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับอีกฝ่ายพวกเขาย่อมต้องรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ เช่นที่เกิดเรื่องเมื่อครั้งก่อนองครักษ์ที่ละเลยเพราะไม่เข้าใจในคำสั่งถึงกับถูกลงโทษจนกระทั่งล้มหมอนนอนเสื่อจนบัดนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้
ย่อมต้องดูแลอย่างพอเป็นพิธีจริง ๆ สินะ
ทางด้านหรูเจิ้งหยวนและซิ่วจื่อหลิงก็เดินมาถึงตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้โดยที่มีคนของเขาที่ปลอมเป็นขันทีอยู่ที่ตำหนักรอต้อนรับอยู่ ทั้งคู่เพียงส่งสัญญาณด้วยสายตาก็เป็นที่รับรู้ได้ในทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะแสร้งทำเป็นให้คนมาคอยควบคุมโดยรอบตำหนักในทันที ซึ่งคนเหล่านั้นก็ล้วนเป็นคนของหรูเจิ้งหยวนทั้งหมด ก่อนที่ตนจะเป็นผู้นำทางชายหนุ่มเข้าไปยังด้านในเสวียนอู่ฮ่องเต้ทรงบรรทมอยู่บนเตียงโดยที่ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เป็นซิ่วจื่อหลิงที่เดินเข้าไปหยุดอยู่ที่หน้าเตียงก่อนที่จะหยิบเข็มเงินของนางออกมาจากห่อผ้าพร้อมกับจิ้มลงไปบนหน้าของของเขาแล้วค่อย ๆ ดึงออกมาแล้วพบว่าเข็มเงินของนางได้เปลี่ยนเป็นสีดำในเวลาต่อมา"จะ เจ้าเป็นผู้ใด" เสียงแหบแห้งของเสวียนอู่ฮ่องเต้ที่ในตอนแรกนอนนิ่งเป็นผักอยู่นั้นดังขึ้นเบา ๆ"เสด็จพ่อ... " หรูเจิ้งหยวนก้าวเข้ามาใกล้ ๆ เตียง และเมื่อเสวียนอู่ฮ่องเต้ได้เห็นหน้าโอรสของเขาอีกครั้งก็ได้แต่หลั่งน้ำตาออกมา"หยวนเอ๋อ...""เสด็จพ่อนางเป็นคนรักของลูกเอง องค์หญิงใหญ่ซิ่วจื่อหลิงที่ลูกเคยเล่าให้ท่านฟัง" เสวียนอู่ฮ่องเต้หันไปมองหน้าซิ่วจื่อหล
หลายวันต่อมาซิ่วจื่อหลิงลุกขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นางได้เตรียมมาด้วย นางตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะปลอมตัวเป็นสาวใช้ของหรูเจิ้งหยวน เมื่อตอนที่ยังเล็กมารดามักชอบเล่านิทานประโลมโลกให้นางกับน้องชายฟัง เคยมีเรื่องราวของคุณหนูผู้ร่ำรวยคนหนึ่งต้องการตามหารักแท้จึงได้ปลอมตัวเป็นสาวใช้หน้าตาอัปลักษณ์เข้าไปอยู่ในจวนท่านแม่ทัพผู้หนึ่ง นางเองก็อยากจะลองเล่นสนุกเช่นนั้นดูบ้าง ครั้งนี้ก็นับว่าได้มีโอกาสแล้วหญิงสาวลงทุนทาตัวด้วยยางไม้ชนิดหนึ่งเพื่อให้สีผิวที่ขาวนวลกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ ก่อนที่จะทาไปบนใบหน้าและติดเม็ดไฝสักสองสามเม็ดบนหน้าของนางให้ดูสมจริงมากขึ้น เสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของสาวใช้ สำเนียงที่พูดก็เปลี่ยนให้เหน่อเล็กน้อย เมื่อแต่งตัวเสร็จจึงได้เดินออกมาจากห้องในขณะที่ชายหนุ่มเองก็นั่งรออยู่เมื่อเห็นซิ่วจื่อหลิงที่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างชัดเจน หรูเจิ้งหยวนที่กำลังยกชาขึ้นดื่มก็ถึงกับสำลักและไอออกมาเสียงดังแค่ก ! แค่ก ! แค่ก !"นี่ข้างามมากถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ย
หลังจากที่พูดคุยกันแล้วซิ่วจื่อหลิงก็ลงมือรักษาชายหนุ่มในทันที ฝีมือการรักษาพิษแม้ว่านางจะไม่เก่งกาจเท่ากับมารดาหากแต่เมื่อเทียบกับหมอหลวงโดยทั่วไปย่อมเหนือชั้นกว่า อีกอย่างนางมีของวิเศษและการมาในครั้งนี้ก็พาเจ้าจิ้งจอกน้อยมาด้วย ซิ่วจื่อหลิงนำเจ้าจิ้งจอกน้อยออกมาจากช่องว่างในมิติของวิเศษก่อนจะให้มันดูดซับพลังไม่ดีจากร่างกายเขา ก่อนที่นางจะลงมือฝังเข็มนับร้อยเล่มบนร่างกายของชายหนุ่มพิษที่ชายหนุ่มได้รับนั้นเป็นพิษของทางชนเผ่าหน้าด่านที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนัก ทำให้หมอทั่วไปมิอาจรักษาได้ หากแต่ไม่ใช่กับวิชาเข็มพิฆาตพิษที่เป็นวิชาตกทอดมาจากท่านตาทวดของนางอย่างแน่นอนในยามที่ฝีเข็มถูกทิ่มแทงลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังเพียงไม่กี่อึดใจก็มีเลือดสีดำซึมออกมาในทุกรูขุมขนที
ย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน"อาเป่า ช่วงนี้ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับคุณชายเสิ่นส่งกลับมาบ้างเลยหรือ ?" ซิ่วจื่อหลิงเอ่ยกับนางกำนัลคนสนิท"ไม่มีเลยเพคะ จะว่าไปก็แปลกยิ่งนักเหตุใดจึงได้เงียบไปเช่นนี้""นั่นสิ แล้วข่าวเกี่ยวกับวังหลวงแคว้นหนานเฉินเล่า ?""ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะคุกรุ่นอยู่ไม่น้อยเลยเพคะ"
วังหลวงแคว้นหนานเฉินกำลังจะลุกเป็นไฟหลังจากที่คนของตระกูลหวังของหวังฮองเฮาถูกคนเล่นงานอยู่หลายครั้งจนกระทั่งอำนาจเริ่มเสื่อมถอย เสวียนอู่ฮ่องเต้เองก็ป่วยกระเสาะกระแสะมานานหลายเดือน ในยามที่หรูเจิ้งหยวนส่งคนของเขาไปตรวจร่างกายพระองค์ก็ดูเหมือนจะปกติ เพียงแต่อาการนั้นไม่ปกติยิ่งนัก หากเป็นเช่นนี้ต้องไม่เป็นการดีแน่ในขณะที่ในช่วงค่ำคืนหนึ่งที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเงียบสงบอย่างผิดปกติ อยู่ ๆ ตำหนักบรรทมของเสวียนอู่ฮ่องเต้ก็ถูกล้อมด้วยคนของไท่จื่อหรูโจว แน่นอนว่าการก่อกบฏในครั้งนี้มีคนที่ร่วมมือกับเขาอยู่ไม่มาก ขุนนางเหล่านั้นอยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลหวังทั้งยังสนับสนุนให้ไท่จื่อหรูโจวกระทำการช่วงชิงราชบัลลังก์จากเสวียนอู่ฮ่องเต้ โดยให้เหตุผลว่าฝ่าบาทมิอาจออกว่าราชกิจได้เนื่องจากทรงพระชวรหนัก จึงจำเป็นจะต้องให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเช่นองค์รัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์แทนหลังจากที่พวกเขาบุกยึดวังหลวงได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวังฮองเฮาที่สวมอาภรณ์สีแดงงดงามก็เดินเข้ามาในห้องบรรทมของผู้เป็นสามี นางมองเสวียนอู่ฮ่องเต้ด้วยแววตาสมเพช เดิมทีนางนั้นหลงรักเขาหมดหัวใจ เพียงแต่อีกฝ่า
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นด้วยความดุเดือด ก่อนที่ซิ่วจื่อหลิงจะหันไปเห็นหลิวอี้หลันที่กำลังเดินเข้ามาในบริเวณสนามฝึกแห่งนี้ ได้ข่าวว่านางเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปได้ไม่นานก็รีบออกมาแสดงตัวเสียแล้วหลิวอี้หลันเดินมาพร้อมกับท่านหญิงซูฉี ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมากกว่าที่เคย อาจเพราะพระชายาเจิ้งอ๋องผู้เป็นมารดาของหลิวอี้หลันได้แต่งเข้าตำหนักเจิ้งอ๋องทำให้หลิวอี้หลันเองก็เปรียบเป็นคนในราชวงศ์กึ่งหนึ่ง เพราะเจิ้งอ๋องนั้นรับนางและน้องชายเป็นบุตรบุญธรรม แต่จะชูคอได้นานอีกสักเท่าใดก็ต้องคอยดูกันต่อไป ทั้งคู่เดินเข้ามาในกระโจมที่นางและน้องชายนั่งอยู่ก่อนทั้งสองจะยอบกายคารวะนางและน้องชายแล้วหันไปมองจินเยว่ที่นั่งข้าง ๆ"เหตุใดคุณหนูจินจึงมานั่งในกระโจมนี้ได้เล่า" เป็นท่า