เมื่อได้ยินดังนั้นหลินซีเวยจึงถามต่ออีกว่า “หากนางรักข้า ข้าควรทำเช่นไรให้นางรักจนยอมตายเพื่อข้าได้เล่า”
เรียวคิ้วของเฉินซือหยางขมวดชนกัน “ข้าเป็นปีศาจอาจจะไม่สามารถล่วงรู้ความรู้สึกของมนุษย์ได้แน่ชัด นายท่านลองอ่านหนังสือพวกนั้นดูเถิดขอรับ”
เขาชี้ไปที่ตู้ไม้มุมห้อง ในนั้นมีหนังสือเขียนเกี่ยวกับมนุษย์มากมายให้ค้นหา หลินซีเวยกวาดสายตามองแต่ไกลเพื่อเลือกหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง
“ไม่เห็นจะมีอันใดน่าสนใจ” เขาส่ายหน้าแล้วร่ายพลังเผามันทิ้งอย่างไม่ใยดี
เฉินซือหยางคิดหนักกว่าเดิมแล้วบอกให้เจ้านายรออยู่ครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมหนังสือกองใหญ่ “นายท่านลองอ่านพวกนี้ดูก่อนขอรับ ข้าเห็นมนุษย์หลายคนชอบอ่านยิ่งนัก”
จอมมารผู้อ่อนต่อโลกสุ่มหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน ในเวลาหนึ่งก้านธูปเขากลับอ่านหนังสือเล่มหนาได้จนจบเล่ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงผุดขึ้นมาในทันทีแล้วหยิบหนังสือเล่มอื่น ๆ มาอ่านต่อโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
คืนนั้น จอมมารอ่านหนังสือกองพะเนินจนครบทุกเล่มโดยไม่หลับไม่นอนพลันได้ยินเสียงกุกกักเปิดประตูเบา ๆ จึงหันไปมองตามเสียงนั้น
“กลับมาแล้วหรือ” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยจนอู๋เยว่ชิงที่เพิ่งกลับจากจวนแม่ทัพรู้สึกแปลกใจ
“เพคะ” นางตอบรับเขา “องค์ชายยังไม่เข้าบรรทมอีกหรือ”
“ข้ารอเจ้าอยู่”
“ทรงรอหม่อมฉันหรือเพคะ” นางเลิกคิ้วเพราะได้ยินคำพูดและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
“อืม...” เขาพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี หลินซีเวยรอนางเพราะตั้งใจว่าจะเล่นละครฉากใหญ่อย่างที่ได้ศึกษาในหนังสือของมนุษย์
“องค์ชาย พระองค์ทรงประชวรที่ใดหรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงกังวลใจจนเผลอแตะที่หน้าผากของเขา “พระวรกายไม่ร้อน ไม่มีไข้ ทรงเจ็บที่ใดหรือไม่”
“ทำอันใดของเจ้า” สีหน้าของเขางุนงงพลันนึกขึ้นมาได้ว่าต้องทำเช่นไร “ข้าเจ็บที่ตรงนี้ รู้สึกเหมือนมีเข็มนับร้อยทิ่มแทง”
“ตรงนี้หรือเพคะ” คิ้วสวยของนางขมวดชนกัน นางไม่อาจเก็บสีหน้าของความเป็นห่วงได้มิด “หม่อมฉันจะไปตามหมอหลวงมาดูพระอาการ องค์ชายทรงอดทนรอได้หรือไม่”
ครั้นอู๋เยว่ชิงหันหลังจะเดินไปตามหมอหลวงอย่างที่ว่าไว้ หลินซีเวยจึงคว้าข้อมือของนางแล้วเอ่ยกระซิบว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าโรคของข้า หมอหลวงมิอาจรักษาให้หายได้”
“เช่นนั้นหม่อมฉันควรทำเช่นไรดีเพคะ”
“นักพรตชราบอกว่าเพียงมีเจ้าอยู่ข้างกาย อาการของข้าจะเริ่มหายเป็นปลิดทิ้งมิใช่หรือ” ดวงตาสีม่วงแดงลึกลับมองตาคนตรงหน้ารอคำตอบของนาง “ดึกแล้ว อย่าออกไปที่ใดเลย”
เขาพูดแล้วส่งสายตาบอกให้อู๋เยว่ชิงขึ้นมาบนเตียง
“คืนนี้อากาศหนาวเย็น หากเจ้าไม่สบายจะทำเช่นไร” หลินซีเวยตบที่นอนเบา ๆ แล้วบอกอีกว่า “นอนตรงนี้เถอะ”
“องค์ชาย มารปีศาจเข้าสิงพระองค์หรือ” อู๋เยว่ชิงทนไม่ได้เพราะได้ยินคำเลี่ยนหู จึงคว้าอะไรบางอย่างออกมาแล้วแปะบนหน้าผากของหลินซีเวย
เสียงฝ่ามือกระทบกับหน้าผากของหลินซีเวยดังปั๊ก!
องค์ชายสามกรอกตามองอย่างคาดไม่ถึงเพราะสิ่งที่นางทำไม่มีบรรยายในหนังสือที่ได้อ่านตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นยังคงรักษาระดับเสียงไม่ให้เกรี้ยวกราด “ทำอันใดของเจ้า”
เมื่อตอนกลับจวนอู๋เยว่ชิงบังเอิญได้ยันต์ไล่มารปีศาจมาจำนวนหนึ่ง นางจึงตั้งใจว่าจะเอามาติดที่ตำหนักแต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเห็นอาการที่แปลกประหลาดขององค์ชายผู้เย็นชากับนางอย่างสม่ำเสมอจนคิดว่าพลังมารปีศาจในร่างกายของเขาคงจะกำลังควบคุมให้เขาทำอะไรไม่เหมือนเดิม
อู๋เยว่ชิงตัดสินใจแปะยันต์นั้นกลางหน้าผากเพื่อไล่มันออกไป ทว่า องค์ชายกลับไม่แสดงอาการอื่นใดอย่างคนที่ถูกเข้าสิงจริง ๆ
“จู่ ๆ องค์ชายทรงทำดีกับหม่อมฉัน ก็เลยคิดไปว่าพระองค์โดนของ” นางอธิบายพลางค่อย ๆ แกะยันต์นั้นออกจากหน้าผากของเขา “ทรงประทานอภัยที่หม่อมฉันล่วงเกินด้วยเพคะ”
“เช่นนั้น เจ้าชอบอย่างใดมากกว่ากัน” เขาเอ่ยถามเพื่อจะได้เตรียมการแสดงได้ถูก “ดีกับเจ้าหรือร้ายกับเจ้า...”
“...”
“หรือว่ารักเจ้า” ดวงตาสีม่วงแดงสอดประสานแววตาของคนตรงหน้าที่กำลังเขินอายเพราะคำพูดสุดท้ายของเขา
“ขอแค่เพียงพระองค์ไม่ทรงเบือนพระพักตร์หนีก็ดีมากแล้วเพคะ”
“แค่นั้นคงไม่เพียงพอหรอก” เขากระซิบข้างหูของนาง ยิ่งได้เห็นทีท่าที่เหมือนกับหนังสือบรรยายยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่คิดในใจว่า มนุษย์นั้นหลอกง่ายเสียจริง
“...”
“ในเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว เช่นนั้นเราสองคนควรมีความรู้สึกเช่นไรดีเล่า” เขาแกล้งถามเพื่อรอฟังคำตอบของนาง
“องค์ชาย มิได้ทรงถูกมารปีศาจเข้าสิงจริง ๆ หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงถามให้แน่ใจ “หม่อมฉันไม่กล้าหวังจะได้รับความรักจากพระองค์หรอกเพคะ”
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อพลางหลบสายตาไม่กล้ามองหลินซีเวยตรง ๆ
“เจ้ารักข้าหรือ อู๋เยว่ชิง”
“...”
“หากไม่รักข้า เช่นนั้นมีเหตุอันใดต้องทนดูแลข้า เจ้าต้องการสิ่งใด” คำถามของหลินซีเวยไม่ทำให้นางต้องคิดนานนัก
“หม่อมฉันไม่ได้ต้องการสิ่งใดนอกจากหวังว่าพระองค์จะทรงหายประชวรโดยเร็ววันเพคะ”
“แค่นั้นน่ะหรือ” น้ำเสียงของเขาเหมือนผิดหวังเล็กน้อยจนอู๋เยว่ชิงสีหน้าเลิ่กลั่ก
“นอกจากนั้นก็เป็นเพราะหม่อมฉัน...” นางหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อบอกความรู้สึกของตนเอง “รักพระองค์เพคะ”
หลินซีเวยหัวเราะลั่นเพราะทุกอย่างเข้าแผนของตัวเอง “รักมากเพียงใดหรือ อู๋เยว่ชิง”
“มากกว่าตัวหม่อมฉันเพคะ” หัวใจของนางเต้นรัว ท่าทางเขินอายราวกับว่าเพิ่งเคยสารภาพรักใครเป็นครั้งแรกจึงทำให้จอมมารเจ้าเล่ห์ยิ้มมุมปากเพราะแผนหลอกให้นางรักเข้าทางพอดิบพอดีโดยที่ไม่ต้องพยายามอันใดมาก
อีกไม่นาน ข้าจะให้เจ้าได้รู้ซึ้งถึงความทรมาน อู๋เยว่ชิง เขาคิดในใจแล้วดึงให้นางเอนตัวลงนอนที่ฝั่งข้างกาย
หญิงสาวกลั้นใจแล้วรีบหยิบผ้ามาปูคั่นกลางเอาไว้ “คืนนี้หม่อมฉันยังไม่พร้อมเพคะ”
“พร้อมอันใด” หลินซีเวยเอียงคอ “เจ้าคิดว่าข้าจะทำอันใดกับเจ้า”
“คือเรื่องนั้น...”
คิ้วหนาขมวดเป็นปมพยายามเข้าใจความคิดของมนุษย์ตรงหน้า “เรื่องใด...อ้อ เรื่องที่สามีกับภรรยาจะทำร่วมกันน่ะหรือ”
“เพคะ” แก้มสองข้างของอู๋เยว่ชิงแดงเป็นลูกตำลึง
“ไม่นึกว่าเจ้าก็คิดเรื่องเช่นนี้เหมือนคนอื่นเขา แต่ว่าข้าน่ะยังไม่หายป่วยไข้คงจะทำอย่างนั้นกับเจ้าเวลานี้ไม่ได้หรอก” หลินซีเวยมีข้ออ้างอีกมากมายที่จะไม่แตะต้องนางเพราะแค่เล่นละครหยอดคำหวานก็แทบจะคลื่นไส้อาเจียนด้วยความรังเกียจเกินทน
“องค์ชาย แค่พระองค์ทรงปฏิบัติกับหม่อมฉันอย่างดีในเวลานี้ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้วเพคะ” ความสุขเล็ก ๆ ที่รอคอยมาเนิ่นนานเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของอู๋เยว่ชิง
บุตรสาวแม่ทัพเฝ้ามองแต่เพียงองค์ชายสามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะโดนดูถูก คำกล่าวเหยียดหยาม การกระทำกลั่นแกล้งจากหลินซีเวย นางยังคงมองเขาเช่นเดิมไม่เปลี่ยนราวกับว่าโชคชะตาลิขิตให้นางเป็นฝ่ายเฝ้ามองรอความรักจากเขาอยู่ฝ่ายเดียว
หากแต่วันนี้ อู๋เยว่ชิงรู้สึกว่าในที่สุดรักข้างเดียวของนางได้สมหวังเป็นจริงแล้ว “ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย” น้ำตากลมใสเอ่อคลอดวงตากลมโตงดงามเพราะความรู้สึกยินดีเปี่ยมล้น
ผ่านไปสามวันหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดีขึ้นจากแต่เดิมอยู่มาก แม้กระทั่งฮ่องเต้และฮองเฮายังรู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ บุตรชายเปลี่ยนไปมากเพียงนั้นกระนั้นก็ทำให้พวกเขาทั้งคู่พอจะวางใจไปได้บ้างเพราะสุดท้ายแล้วการแต่งงานแก้เคล็ดในครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่าแรกเริ่มที่พวกเขาได้ยินจากปากของอู๋ฮูหยินว่าบุตรสาวของนางแอบรักองค์ชายสามมานานแล้วก็ได้แต่คิดว่าอู๋เยว่ชิงช่างน่าสงสารที่ถูกบุตรชายของตนผลักไสไล่ส่งยิ่งต้องให้นางช่วยผูกดวงชะตาเพื่อรักษาอาการของเขาแล้วก็ยังรู้สึกว่าละอายใจไม่น้อยที่ต้องขอให้ช่วยเช่นนี้ แต่อู๋เยว่ชิงกลับรับปากและบอกว่านางจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาอย่างสุดความสามารถคราวนี้ได้เห็นว่าความรักของนางได้รับการตอบแทนกลับมาบ้างแล้วจึงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกหากแต่เรื่องราวลับคมคมในนี้มีเพียงแค่ฝ่ายจอมมารเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่สักวันหลินซีเวยจะหักหลังอู๋เยว่ชิงและสังหารนางอย่างเจ็บปวดการถูกหักหลังจากคนที่รักและไว้ใจที่สุดจะเป็นอย่างไร หลินซีเวยแทบรอที่จะได้เห็นสี
หนึ่งเดือนผ่านไปราวกับว่ากำลังใจจากอู๋เยว่ชิงเป็นโอสถชั้นดี ร่างกายของหลินซีเวยจึงดีขึ้นเป็นลำดับแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เวลานี้จึงพอที่จะเดินเล่นนอกตำหนักได้บ้างแล้วนับเป็นครั้งแรกที่เหล่าขันทีและนางในได้เห็นองค์ชายสามและชายาประทับอยู่ในสวนดอกไม้ สายตาทุกคู่เห็นพ้องต้องกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาราวกับคนรักกันก็มิปานการกระทำของหลินซีเวยไม่มีปิดบัง การแสดงออกของเขาทำให้หลายคนได้ตระหนักว่าองค์ชายสามผู้นี้ก็มีด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนเช่นกัน“เทศกาลชมจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยากไปเที่ยวชมหรือไม่เยว่ชิง” หลินซีเวยเอ่ยปากชวนนาง สีหน้าคาดคั้นหวังว่านางจะตอบรับคำขอ“เพคะ” รอยยิ้มบางของนางถือเป็นคำตอบ อู๋เยว่ชิงไม่เคยปฏิเสธคำขอของเขาสักครั้ง“เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดีเถิด” เขาบอกกล่าวอย่างมีเลศนัยพลางเอื้อมมือมากุมมือสองข้างของนางไว้ “ขอบคุณที่ดูแลข้ามาตลอด”“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มให้เขา “หม่อมฉันไม่หวังสิ่งใดไปมากกว่านี้แ
หลายวันต่อมาจู่ ๆ หลินซีเวยอารมณ์ดีนึกชวนอู๋เยว่ซินไปขอพรที่วัดบนเขา ทั้งสองจึงตระเตรียมข้าวของไปสักการะตามธรรมเนียม“เสด็จพี่ ทรงคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือเพคะ” นางเอ่ยปากถามคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลินซีเวยหลับตาคิ้วขมวดราวกับครุ่นคิดบางอย่างพลันรอยยิ้มมุมปากเชิดขึ้นเพราะได้ยินนางเรียกเขาเช่นนั้น“ขอพรให้มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเราสองคนอย่างไรเล่า” เขากระซิบข้างหู “หากมีเจ้าตัวเล็กวิ่งเล่นอยู่ในตำหนักจันทราคงจะดีไม่น้อย”แก้มสองข้างของอู๋เยว่ชิงแดงระเรื่อรู้ดีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด ครั้นนึกถึงช่วงเวลาที่จะทำให้เกิดเจ้าตัวเล็กอย่างที่ว่าก็ไม่วายเขินอายอยู่ร่ำไปจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เขาจะแกล้งนางไปมากกว่านี้หลังจากใช้เวลาอันสงบนิ่งบนเขาอยู่พักหนึ่ง เจ้าอาวาสประจำวัดก็เดินออกมาพบทั้งคู่ สายตามองหลินซีเวยราวกับค้นหาบางอย่างที่ซ่อนอยู่แล้วถอนหายใจฝ่ายองค์ชายสามเห็นดังนั้นรู้ดีว่าคนตรงหน้ามองเห็นไอมารจาง ๆ ในตัวเขาจึงกล่าวไม่ให้ผู้ใดคลางแคลงใจ มารโดยกำเนิดอย่างเขาไม่ว
ผ่านไปสองเดือนฮ่องเต้เมืองไท่หยางได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองการอภิเษกขององค์ชายสามกับบุตรสาวแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่เพื่อแสดงความยินดีกับทั้งคู่อย่างเป็นทางการเจ็ดวันเจ็ดคืนนอกจากนั้นยังเป็นการจัดงานรื่นเริงอวยพรให้องค์ชายสามมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกด้วยวังหลวงถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าหลากสีสัน ห้อยโยงระย้าสวยงาม ทั้งยังมีโคมไฟลวดลายต่าง ๆ ห้อยไว้อยู่ทุกหนแห่ง ยามค่ำคืนดวงไฟนั้นจะส่องแสงสว่างสะท้อนภาพบนกระดาษที่ใช้ทำโคมไฟสิ่งที่ทำให้อู๋เยว่ชิงตื่นเต้นมากที่สุดคือการมาเยือนของหลินมู่หลงสหายรักของนางที่เดินทางกลับมายังเมืองไท่หยางพร้อมชายาของตนครั้นได้พบหน้ากัน อู๋เยว่ชิงจึงอดไม่ได้ที่จะรีบวิ่งไปหาเขาด้วยความคิดถึง รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นมา ทั้งยังท่าทางสนิทสนมระหว่างคนทั้งคู่ก็ทำให้ใครบางคนนิ่วหน้าในทันที“องค์หญิงสือหลิว ยินดีด้วยเพคะ” อู๋เยว่ชิงกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเป็นกันเองก่อนหน้านี้ได้อ่านจดหมายจากองค์ชายเจ็ดจึงพอได้รู้แล้วว่าองค์หญิงสือหลิวกำลังทรงพระครรภ์ นางจึงพลอยดีใจ
เสด็จพี่ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงถามหลินซีเวยทันทีที่เห็นหน้า“นั่นสิพี่สาม วังหลวงออกจะกว้างใหญ่ บังเอิญจริง ๆ ที่ได้เห็นท่านที่นี่” หลินมู่หลงพูดเบา ๆ แต่อีกฝ่ายกลับตอบว่า “บังเอิญอย่างยิ่งที่มืดค่ำป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่กลับตำหนักของตนแต่มาอยู่กับนาง”“พระพักตร์ไม่สบอารมณ์ พระสุรเสียงหงุดหงิด ท่าทางฉุนเฉียว” เสียงขององค์หญิงสือหลิวลอยมาแต่ไกลพลางมองคนของตนเองราวกับจะบอกว่า “เห็นไหมเล่า เป็นอย่างที่ข้าบอกจริง ๆ ด้วย”“เป็นอย่างไรหรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงถามนางบ้าง“การกระทำเช่นนี้ องค์ชายสามคงจะตกไหน้ำส้มกระมัง” องค์หญิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แล้วหันไปบอกกับหลินมู่หลงว่า “เราสองคนขอตัวกลับกันก่อนดีกว่า” แล้วคล้องแขนดึงคนข้าง ๆ ไปทันที“เอ่อ...” หลินมู่หลงกำลังจะเอ่ยปากแต่ทำได้แค่ยกมือโบกลาอู๋เยว่ชิงเท่านั้นดวงตาสีม่วงแดงของหลินซีเวยขุ่นเคืองไม่น้อยจนอู๋เยว่ชิงนึกถึงคำที่องค์หญิงบอกเมื่อครู่ “เสด็
คืนนั้น ข่าวคราวของชายาองค์ชายสามแพร่สะพัดไปทั่ววังหลวง ปีนี้นับว่ามีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาจนใครหลายคนพากันขอบคุณสวรรค์หลังจากหมอหลวงกลับออกไป หลินซีเวยยิ่งตัวติดกับอู๋เยว่ชิงไม่ห่างมากกว่าเดิม คอยประคบประหงมดูแลยิ่งกว่าไข่ในหิน“หม่อมฉันดื่มเองได้เพคะ” นางรีบรับถ้วยยามาถือไว้เพราะเกรงใจคนตรงหน้าที่ไม่เคยต้องปรนนิบัติดูแลใครอย่างใกล้ชิดมาก่อน“ข้าอยากดูแลเจ้าเหมือนครานั้นที่เจ้าดูแลข้า ไม่ได้หรือ” หลินซีเวยไม่ยอมปล่อยถ้วยยานั้น อู๋เยว่ชิงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจึงได้แต่ทำตามโดยปริยายเช้าวันต่อมาฮ่องเต้และฮองเอาจึงมาแสดงความยินดีกับทั้งสองคนพร้อมอวยพรให้สุขภาพร่างกายของอู๋เยว่ชิงและเด็กน้อยในท้องแข็งแรง ไร้โรคภัยเบียดเบียนไท่จื่อกับชายารวมถึงหลินมู่หลงและองค์หญิงสือหลิวก็มาพร้อมหน้ากัน หากแต่ปฏิกิริยาของหลินซีเวยดูแตกต่างไปจากตอนที่บิดาของเขามาเยี่ยมนักบุรุษใดนอกเหนือจากที่เขาคิดอย่าได้ย่างกรายเข้ามาใกล้นางเป็นอันขาด“พี่สาม ข้าจะขอพบนางสักครู่ไม่ได้หรือ” หลินม
หนึ่งเดือนต่อมา ณ ตำหนักจันทรา“เยว่ชิง เจ้าดูนี่สิ วันนี้ข้าสั่งให้คนนำดอกไม้ที่เจ้าชอบมาปลูกในสวน ถึงวันที่เจ้าคลอดเมื่อใด ดอกไม้พวกนี้คงจะบานสะพรั่งพอดี” หลินซีเวยเอ่ยปากบอกพลางกุมมืออู๋เยว่ชิงที่กำลังลูบท้องของตนเอง“พระวรกายดีขึ้นแล้วหรือเพคะ ไม่กี่วันก่อนยังทรงพระอาเจียนอยู่เลย” นางยังคงนึกเป็นห่วงอาการแพ้ท้องแทนของหลินซีเวยเหมือนทุกครั้ง แต่คนข้าง ๆ ก็ยังตื่นเต้นกับการจะได้เป็นพ่อคนครั้งแรกจึงไม่สนใจร่างกายของตนเอง“เจ้าอย่าได้กังวลเรื่องนั้นเลย เห็นเจ้ากับลูกสบายดี ข้าก็โล่งใจมากแล้ว” มือหนาลูบเรือนผมของนางอย่างแผ่วเบา “ข้ามีของขวัญอีกหนึ่งชิ้นให้เจ้า”หลินซีเวยหยิบปิ่นหยกเขียวบริสุทธิ์ออกมาให้นางดู ตรงด้ามสลักคำว่า รักมั่นนิรันดร์ ก่อนจะปักปิ่นบนเรือนผมให้ชายาของตนเอง“ขอบพระทัยเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มกว้างและรู้สึกขอบคุณความเอาใจใส่ดูแลของหลินซีเวยยิ่งนัก หนึ่งเดือนมานี้เขาตั้งหน้าตั้งตาทำทุกอย่างให้นางจนนางแทบไม่ต้องแตะต้องอันใดเลย แม
วันต่อมาหลังจากฮ่องเต้ฟ่านเจียรุ่ยหารือกับเหล่าขุนนางในท้องพระโรงร่วมกับองค์ชายและคณะทูตเกือบทั้งวันจึงได้เชิญชวนให้ทุกคนอยู่ร่วมงานต้อนรับในค่ำคืนนั้นด้วยการแสดงร่ายรำจากสตรีงามดึงดูดใจคณะทูตต่างเมืองจนพากันพูดเป็นเสียงเดียวว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก นางกำนัลหลายร้อยคนนำเหล้าสุรารสเลิศที่หมักบ่มเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงอาหารพื้นเมืองประจำแคว้นทยอยออกมาวางบนโต๊ะยาวเพื่อรับรองแขกบรรยากาศรื่นเริงเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันเองเพราะคนในแคว้นอันซีต่างเป็นมิตรกันทั้งนั้นหลินมู่หลงมองไปยังฮ่องเต้และบรรดาชายาสนมเอกของเขาแล้วยิ้มออกมา “หากข้ามีสนมมากมายเช่นนั้น สือหลิวคงจะทุบหลังข้าหักเป็นสองท่อนแน่ ๆ เลยพี่สาม”“วันหนึ่งเจ้าต้องกลายเป็นฮ่องเต้เมืองหมิงเหวิน อย่าง
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง