หลายวันต่อมา
จู่ ๆ หลินซีเวยอารมณ์ดีนึกชวนอู๋เยว่ซินไปขอพรที่วัดบนเขา ทั้งสองจึงตระเตรียมข้าวของไปสักการะตามธรรมเนียม
“เสด็จพี่ ทรงคิดถึงสิ่งใดอยู่หรือเพคะ” นางเอ่ยปากถามคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลินซีเวยหลับตาคิ้วขมวดราวกับครุ่นคิดบางอย่างพลันรอยยิ้มมุมปากเชิดขึ้นเพราะได้ยินนางเรียกเขาเช่นนั้น
“ขอพรให้มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับเราสองคนอย่างไรเล่า” เขากระซิบข้างหู “หากมีเจ้าตัวเล็กวิ่งเล่นอยู่ในตำหนักจันทราคงจะดีไม่น้อย”
แก้มสองข้างของอู๋เยว่ชิงแดงระเรื่อรู้ดีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด ครั้นนึกถึงช่วงเวลาที่จะทำให้เกิดเจ้าตัวเล็กอย่างที่ว่าก็ไม่วายเขินอายอยู่ร่ำไปจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เขาจะแกล้งนางไปมากกว่านี้
หลังจากใช้เวลาอันสงบนิ่งบนเขาอยู่พักหนึ่ง เจ้าอาวาสประจำวัดก็เดินออกมาพบทั้งคู่ สายตามองหลินซีเวยราวกับค้นหาบางอย่างที่ซ่อนอยู่แล้วถอนหายใจ
ฝ่ายองค์ชายสามเห็นดังนั้นรู้ดีว่าคนตรงหน้ามองเห็นไอมารจาง ๆ ในตัวเขาจึงกล่าวไม่ให้ผู้ใดคลางแคลงใจ มารโดยกำเนิดอย่างเขาไม่ว
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้
คืนนั้น เรื่องราวการประลองรวมถึงผลแพ้ชนะถูกเล่าลือไปทั่วทั้งเมืองแต่ละคนกระจายข่าวได้เร็วยิ่งกว่าสิ่งใด อีกทั้งยังพูดคุยถึงเหตุการณ์เหล่านี้อย่างสนุกสนานอีกด้วยสวีลู่ชิงพาคุณชายที่ช่วยชีวิตนางเข้าไปทำแผลที่ห้อง เมื่อเห็นว่าเป็นแค่เพียงรอยบาดเล็กน้อยจึงโล่งใจเอ่ยกล่าวขอบคุณยกใหญ่“ข้าแวะมาค้าขายที่เมืองนี้ หน้าที่การงานยุ่งเหยิงจนไม่มีเวลาดูแลเขา จะฝากเจ้าไว้ได้หรือไม่” สวีต้าเฟิงเอ่ยปากขอร้อง“เรื่องแค่นี้ ไม่เป็นอันใดหรอกเจ้าค่ะ เทียบกับสิ่งที่คุณชายทำให้ ข้าตอบแทนทั้งชีวิตก็คงไม่มีวันหมด” นางครุ่นคิดด้วยความหนักใจ “แต่ว่าคุณชายจะลงหลักปักฐานที่นี่จริงหรือเจ้าคะ”“ขอรับ” อีนั่วตอบแทนผู้เป็นลุง “ข้าไม่อ
เดิมทีกงจื่อเย่มักคอยจับตามองสวีลู่ชิงและบุตรชายทุกค่ำคืนอยู่แล้วพอได้เห็นนางกับลูกชายจึงนึกถึงวันวานที่ผ่านมา แม้อยากเข้าไปกอดทั้งคู่มากแค่ไหนกลับต้องอดใจไว้คนหนึ่งจำเรื่องราวพวกเขาไม่ได้ ส่วนอีกคนยังคงโกรธเขาอยู่ แต่จะมีบางคราที่อีนั่วยอมให้เขาเข้าใกล้เพราะเห็นว่ามารดามีความสุขยิ่งนักเวลาได้อยู่ด้วยกันสามคนแทนที่จะได้พูดคุยสนทนาตามประสาคนในครอบครัวเดียวกันเหมือนอย่างทุกวัน เวลานี้กลับถูกมนุษย์หน้าเดิมขัดขวางทำให้เสียเวลามากนัก“เจ้าพูดว่าอันใดนะ ไม่รู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด” คุณชายสกุลลั่วโพล่งออกมาเพราะรู้ว่าอำนาจของเขาในเมืองนี้ไม่เป็นรองใคร แต่กระนั้น สวีต้าเฟิงผู้นี้ไม่เคยสนใจตำแหน่งลาภยศของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าอันใดเลยในสายตาของเขา&
หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันน่าเศร้าสลดของกงอีนั่วแล้วสวีลู่ชิงเกิดความสงสารคุณชายตัวน้อยขึ้นมาทันใดที่เขาสูญเสียทั้งมารดาและบิดาไปตั้งแต่อายุยังน้อยเวลานี้อาศัยอยู่กับลุงที่เข้มงวด แต่ละวันต้องคอยเล่าเรียนอักษร อ่านตำรา อยู่ในกฎระเบียบจนอึดอัดใจไปหมด พอเห็นนางที่ตลาดจึงคิดถึงมารดาที่ล่วงลับไปจนอดใจไม่ไหว รบเร้าให้บ่าวรับใช้คนสนิททั้งสองปลอมตัวพาเข้ามาหานางที่หอเยว่ส่างครั้นพูดเรื่องที่ต้องพูดจบแล้ว บ่าวสองคนปล่อยให้คุณชายกงได้อยู่ตามลำพังกับนาง หวังว่าเขาจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง คิดว่าอย่างน้อยการได้อยู่กับสวีลู่ชิงจะทำให้ลืมชีวิตโดดเดี่ยวไปได้บ้าง“คุณชายกงเจ้าคะ” นางเอ่ยเรียกคนตรงหน้าพลันได้เห็นว่าคุณชายตัวน้อยทำหน้ามุ่ยไม่พอใจที่นางเรียกเขาห่างเหิน
ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใดกงจื่อเย่บอกข่าวดีกับนางว่าครอบครัวของนางปลอดภัยแล้วและเวลานี้หลบซ่อนอยู่ที่ใด“เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่ จื่อเย่” สวีลู่ชิงรีบถามด้วยความดีใจ ไม่คิดว่ากงจื่อเย่จะพูดเช่นนี้เพื่อปลอบใจนาง“ข้าไม่โป้ปดหรอกขอรับ” เขายืนยันว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง เพราะนำคำพูดของคุณชายสวีมาบอกนางด้วย“ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่เป็นอันใดมากใช่หรือไม่ ตอนนั้น ข้าเห็นพวกเขา...” นางหยุดชะงักเพราะนึกถึงช่วงที่เห็นสภาพคนที่รักถูกวางยาพิษ“คุณหนู ใจเย็น ๆ ก่อนนะขอรับ” ทาสหนุ่มปลอบโยนพลางเล่าให้ฟังว่าเขาช่วยทั้งสามคนมาได้อย่างไร ไม่รวมถึงเสี่ยวมู่ บ่าวคนสนิทของนางที่ตอนนี้คอยดูแลเจ้านายทั้งสามเพียงลำพัง “คุณชายสวีฝา