แชร์

ตอนที่ 51 อย่าผลักไสข้า

ผู้เขียน: MACARONI/1Millionmilesaway
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-23 20:58:39

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น คนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง

“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”

กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป

“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมารจะเป็นอย่างไรต่อ “ชีวิตของนางในชาตินั้นจบสิ้นลงไปแล้ว ตัวตนที่เจ้าเคยพบเจอย่อมไม่มีอีก มารร้ายอย่างเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”

“ข้าบอกพวกเจ้าไปแล้วมิใช่หรือว่าข้าต้องการตัวนาง” เขายังยืนยันคำเดิม “แค่ส่งนางมาให้ข้า ถือว่าจบกัน”

เหล่าเทพเซียนที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ แค่เขาได้ตัวเทพดาราทุกอย่างก็จะจบอย่างนั้นหรือ

ทว่า ภพสวรรค์คงไม่อาจส่งตัวนางให้กงจื่อเย่ได้ ในเมื่อนางคือความหวังหนึ่งที่จะทำลายจอมมาร

ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังโต้เถียงกันไปมาเพราะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา ข่าวคราวด้านล่างก็แพร่สะพัดไปถึงลานลงทัณฑ์ด้านบนยอดเขาอย่างเสียมิได้

สวีลู่ชิงถอนหายใจไม่คิดว่าเวลานั้นจะมาถึงเร็วเพียงนี้ เดิมทีคิดว่าจะค่อย ๆ รับอสนีบาตทีละครั้งสะสมเรื่อย ๆ แต่ในเมื่อจอมมารปรากฏตัวคงไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป

นางหันไปทางเทพสายฟ้าที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ประสานสายตาอย่างรู้กันว่าใครต้องทำเช่นไรพลันเมฆครึ้มเปลี่ยนสีหมุนวนราวกับพายุเหนือยอดเขา

เสียงคำรามและสายฟ้าทะลุเมฆหนาพุ่งผ่านร่างเทพดารา แม้จะเม้มปากกัดฟันไว้แน่นแต่ความเจ็บนั้นทำให้นางสั่นสะท้าน แก่นวิญญาณที่กำลังจะปริแตกทำให้ความทรมานเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

ดวงตาสีม่วงแดงจ้องขึ้นไปยังด้านบน กระวนกระวายโดยไม่รู้สาเหตุเรียกอาวุธประจำกายออกมาถือ แววตาน่ากลัวระคนร้อนรนฉายออกมา

“ถอยไป!” เขาตวาดเสียงดังก้อง ทำทีจะพุ่งเข้ามายังเขตแดนสวรรค์ด้านในแต่ถูกเทพปฐพียิงธนูสกัดเอาไว้ห้ามไม่ให้เขาย่างกรายแม้แต่ก้าวเดียว

เวลานั้น เสียงกระหึ่มของฟ้าด้านบนยังคงไม่หยุดลงง่าย ๆ กงจื่อเย่มองเห็นแสงสว่างที่ใครบางคนกำลังปั่นป่วนเมฆหนาในวงพายุเพื่อเร่งให้ฟ้าพิโรธ

“ข้าบอกให้ถอยไป” เขาโพล่งออกมาราวกับย้ำเตือนเทพเซียนเหล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย ใจล่องลอยไปถึงที่หมายแต่กายยังอยู่ที่เดิมไปไหนไม่ได้

“ถ้าไม่อยากตายก็ถอยไป!”

“...” ทุกคนมองหน้ากันไม่รู้ว่าจอมมารเล่นเล่ห์อันใด “เจ้าน่ะหรือจะปล่อยให้ผู้ใดรอดชีวิต” หนึ่งในนั้นแสยะยิ้ม

“...” คิ้วหนาขมวดไม่สบอารมณ์ นึกอยากจะเปลี่ยนใจแล้วจัดการสิ่งกีดขวางให้สิ้นซาก

“เจ้าสังหารนางในชาติก่อน ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้” เทพวายุออกมายืนขวางทางเอาไว้

คำพูดของเขาทำให้กงจื่อเย่ชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเขาเสมอมา อีกทั้งยังรู้ด้วยว่านางเจ็บปวดมากเพียงไร

เปรี้ยง!

อสนีบาตครั้งที่สองเพิ่งสาดลงมาจากเบื้องบนอย่างรุนแรง คราวนี้เสียงร้องของสวีลู่ชิงสะท้อนมาถึงข้างล่างเขตแดนศักดิ์สิทธิ์จนทำให้หัวใจของจอมมารสั่นระริกไปด้วย

สุดท้ายแล้ว เขาจึงร่ายอาคมเปิดภพมารพร้อมสั่งการปีศาจใต้อาณัติให้ถล่มใครก็ตามที่คิดขวางทางโดยไม่ไว้หน้า ในขณะที่สายตาเหลือบมองไปยังที่แห่งนั้นตลอดเวลา มือข้างหนึ่งร่ายอาคมสู้กับเทพปฐพี ส่วนอีกข้างตวัดดาบเขี้ยวอสูรบังคับให้มันทำลายม่านเขตแดนสวรรค์

เขาเร่งมือโดยไม่สนว่าจะต้องผลาญพลังมารปีศาจของตนไปเท่าไหร่เพราะทนรอไม่ไหว ท่าทางของเขาอยู่ในสายตาของเทพวายุที่รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล

ครั้งแรกที่ปะทะกัน แววตาของจอมมารเย็นชาถึงขนาดที่ฆ่าผู้ใดไปก็ไม่รู้สึกอันใดจึงมักจะได้เห็นรอยยิ้มสนุกสนานของเขาเวลาที่เลือดของเหล่าเทพเซียนสาดกระเซ็น

ครั้งนี้เขาตั้งสมาธิจดจ่อกับการทำลายม่านเขตแดนเพียงอย่างเดียว ไม่สนใจว่าคมหอกสามง่ามของเทพปฐพีจะบาดร่างกายของเขามากเท่าใด

เปรี๊ยะ!

ครั้นได้ยินเสียงม่านเขตแดนปริร้าว จอมมารยิ้มกว้างแล้วรวบรวมพลังไว้ในมือทั้งสองข้างเล็งเป้าหมายไว้เป็นอย่างดีแล้วปล่อยพลังมารออกมา

ทำลายปราการที่กั้นไม่ให้เขาเข้าไปข้างในจนราบในคราวเดียวแล้วใช้ช่วงเวลาชุลมุนนั้นหายตัวไป เหลือทิ้งไว้ก็เพียงแต่ลูกสมุนปีศาจที่กำลังกรูเข้ามาปะทะกับกองทัพสวรรค์อย่างหิวกระหาย

ก่อนที่อสนีบาตครั้งที่สามจะถล่มลงมา กงจื่อเย่ฝืนแทรกร่างมารปีศาจเข้าไปอยู่ใจกลางลานลงทัณฑ์โดยไม่สนสายตาของผู้ใดที่กำลังตกตะลึงไม่คิดว่ามารอย่างเขาจะเข้ามาถึงที่แห่งนี้ได้ มิหนำซ้ำยังกล้านำพาตัวเองเข้าสู่แดนประหารราวกับคนโง่เขลา

เทพวายุตามหลังมาทันทีจึงได้เห็นว่าจอมมารไร้ใจกำลังกอดร่างของสวีลู่ชิงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย อีกทั้งยังใช้พลังมารห่อล้อมตัวนางเอาไว้ สายตาลึกล้ำที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทำให้เทพวายุแทบไม่เชื่อเลยว่า “เขาเป็นห่วงนางอย่างนั้นหรือ”

สวีต้าเฟิงพยายามฝ่าเข้าไปใจกลางลานแต่กลับถูกเหล่าเทพอื่น ๆ ห้ามเอาไว้ก่อนเพราะอสนีบาตไม่ใช่สิ่งที่ควรมองข้าม หากไม่ใช่เวลาผ่านด่านเคราะห์ สุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปเวลานี้มีแต่จะเร่งเวลาตายมากขึ้น

ไม่ทันที่จะได้ทำอันใด ฟ้าร้องคำรามลั่นก่อนจะเกิดแสงแปลบปลาบและสายฟ้าครั้งที่สามฟาดลงมาอย่างแรง

เปรี้ยง!

สีหน้าจอมมารยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้รับผลกระทบอันใดแต่แววตากลับไม่อาจปิดบังได้ น้ำเสียงเอ่ยถามคนในอ้อมกอดที่เพิ่งได้กลับมาพบกันอีกครั้งในรอบหนึ่งร้อยปี

“เยว่ชิง เจ็บที่ใดหรือไม่” เสียงกระซิบแผ่วเบาด้วยความห่วงใยทำให้สวีลู่ชิงงงงวยว่าเขาคือผู้ใด แต่เพราะเห็นพลังมารมืดดำแผ่ออกมารอบตัวจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงตรงหน้าคือมารผู้นั้นอย่างแน่นอน

“ปล่อยข้า!” นางผลักอกเขาด้วยแรงทั้งหมดที่มี สีหน้าและแววตายามนี้ทำราวกับเขาคือศัตรูของนาง

“เยว่ชิง” กงจื่อเย่เรียกนางเหมือนอย่างเคยพลางจับมือที่พยายามดันตัวเขาเอาไว้ “เหตุใดจึงมีท่าทีห่างเหินเพียงนี้”

“...” นางขมวดคิ้วเรียวดิ้นรนจะหนีจากอ้อมแขนจอมมารแต่ทำไม่ได้เพราะเรี่ยวแรงถูกสายฟ้ากลืนกินไปหลายส่วน

กงจื่อเย่ยังกอดรัดร่างบางเอาไว้เหมือนอย่างเดิม ในใจคิดแต่เพียงว่าเทพดาราคงจะกลับมายังลานลงทัณฑ์อีกครั้งเพื่อรับอสนีบาตให้ครบ

ดังนั้นแล้ว เขาจึงไม่อาจปล่อยให้นางหนีไปได้และถ้าเป้าหมายของนางคือการกำจัดมารปีศาจอย่างเขา เห็นทีวิธีที่เขาตัดสินใจคงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์หยั่งรากลึกกว่าเดิมหรืออย่างไร กงจื่อเย่จึงสัมผัสได้ว่าแก่นวิญญาณของนางกำลังจะสลายหายไปก่อนที่จะรับสายฟ้าครบสิบเก้าครั้ง

หากเป็นเช่นนั้น จอมมารคงจะยอมไม่ได้ ร้อยปีที่ผ่านมาไม่อาจสัมผัสได้ว่านางอยู่แห่งหนใดก็ทรมานแทบขาดใจ ถ้าแก่นวิญญาณนางแหลกสลายไป เขาจะอยู่ได้อย่างไร

“เยว่ชิง หน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเจ้า ข้าจะทำให้มันสำเร็จเองเพราะฉะนั้นแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งผลักไสข้าเลยนะ อย่างน้อยให้ข้าได้กอดเจ้านานกว่านี้ก็ยังดี อสนีบาตพาดผ่านร่างข้าครบเมื่อใด ข้าจะไม่มาก่อกวนเจ้าอีก” เขาหยุดพูดฝืนยิ้มออกมาเพราะรู้ดีแก่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น “หากข้าจะต้องหายไปก็ขอให้เจ้ายังคงอยู่”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • มารเร้นกายดับแสงดารา   ตอนที่ 77 ไม่ต้องกลัว

    ร่างของคนสกุลสวีถูกทหารนำใส่รถเข็นไม้ลากเลื่อนมาทิ้งไว้ในป่าลึกเพื่อให้สัตว์ที่อาศัยอยู่มากินถือเป็นการทำประโยชน์อย่างหนึ่งครั้งสุดท้ายในชีวิตทหารนายหนึ่งเหงื่อผุดเต็มใบหน้ารู้สึกว่ามีลางสังหรณ์แปลก ๆ จึงรีบบอกให้เพื่อนที่มาด้วยกันรีบขนศพพวกเขาลงไปกองไว้ที่พื้น“จะเร่งข้าทำไมนักเล่า” เขาบ่นหงุดหงิดที่ถูกรบเร้าให้รีบทำรีบเสร็จ“ไอ้นี่ เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าป่าลึกข้างหน้าชอบมีพวกปีศาจมาเพ่นพ่าน” ทหารคนเดิมพูดพร่ำเพ้อถึงข่าวลือที่ได้ยินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ส่วนคนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วย หากไม่จำเป็นจะไม่มาเหยียบพื้นที่ตรงนี้เด็ดขาด“กลัวอะไรไม่เข้าเรื่อง ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปฟังเรื่องเล่าจากปากคนขี้เมานัก” เขาส่ายหน้าแล้วหันรถเข็นกลับไปที่ทางออกพลันได้ยินเสียงส

  • มารเร้นกายดับแสงดารา   ตอนที่ 76 หญิงคณิกา

    คุณหนูสกุลสวีตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะได้ยินเสียงร้องของพวกเขาภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูก หันไปดูบิดาทางซ้าย กวาดตามองไล่เลี่ยมาทางขวา มารดาและพี่ชายกลับอยู่ในอาการไม่ต่างกัน“ท่านพ่อ ท่านแม่” นางตะโกนเสียงดังเรียกสติพวกเขา พยายามประคองใครคนหนึ่งขึ้นมา ร้องเรียกทหารนอกคุกที่ยืนเฝ้าเวรยามด้วยความกลัวสุดขีดทุกคนที่มาถึงต่างมองหน้ากันเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักโทษชั้นสูง หากแต่ประเมินแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาเหมือนโดนพิษอะไรสักอย่างจึงทำท่าครุ่นคิดขึ้นมาทันใด“ข้าขอร้อง ตามหมอมารักษาครอบครัวข้าได้หรือไม่” นางอ้อนวอนคนตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอเบ้า“แต่ว่า...” หนึ่งในนั้นลังเลเพราะไม่รู้ว่าคนสกุลสวีถูกใบสั่งจากผู

  • มารเร้นกายดับแสงดารา   ตอนที่ 75 สอบเค้น

    หลังจากถูกจับตัวไปครบเจ็ดวันทางการยังคงไม่ได้ข้อมูลใดเพิ่มเติมจากคนสกุลสวี พวกเขายืนยันอย่างเดิมเหมือนทุกครั้งว่าตนเองบริสุทธิ์ใจ ไม่เคยคิดร่วมมือกับผู้ใดก่อกบฏอย่างที่ถูกกล่าวหา แต่คำพูดของพวกเขาเป็นเพียงลมปากไร้หลักฐานใด ๆ จึงไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งคนเหล่านั้นยังทำหูทวนลมเพราะเป็นพวกเดียวกันกับขุนนางชั่วคืนนั้น“ท่านพ่อ ท่านพี่” สวีลู่ชิงกระซิบเรียกคนทั้งสองที่นิ่งงันสลบไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าและลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเสื้อผ้าเป็นทางคุณชายสวีลืมตามองผู้เป็นน้องสาว นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่เป็นต้นเหตุทำให้ครอบครัวต้องมาผจญความลำบากเช่นนี้ เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะตกหลุมพรางง่ายดายเพียงนั้น“พวกเขาทำอันใดเจ้าหรือไม่

  • มารเร้นกายดับแสงดารา   ตอนที่ 74 ถูกใส่ร้าย

    จากนั้นไม่นานใต้เท้าสวี ฮูหยินและสวีลู่ชิงถูกนำตัวออกมาจากจวน นางหันมองบ้านที่เคยอยู่ เวลานี้ผู้คนในนั้น บ่าวรับใช้ เสี่ยวมู่กำลังดิ้นรนบอกว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นระหว่างถูกควบคุมตัวไปสอบสวน พวกเขาต้องเดินผ่านตลาดและหมู่บ้าน แม้จะเป็นสถานที่คุ้นเคยแต่ครั้งนี้ความรู้สึกนั้นกลับไม่เหมือนเดิมเพราะแววตาที่ชาวบ้านมองมากำลังกล่าวโทษว่าพวกเขาเป็นคนทรยศต่อบ้านเมืองสวีลู่ชิงเดินรั้งท้ายขบวนจึงตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายเมื่อชาวบ้านคนหนึ่งขว้างสิ่งของเพื่อจะลงโทษนางให้สมกับความผิดที่ได้ทำทว่า ใครบางคนกลับพุ่งตัวเข้ามาโอบกอดนางไว้ไม่ยอมให้ของเหล่านั้นเฉียดร่างกายแม้เพียงเสี้ยว“คุณหนู” น้ำเสียงห่วงใยทำให้สวีรู้ชิงรู้สึกตัวว่าไม่ได้อยู่ในความฝัน &ldquo

  • มารเร้นกายดับแสงดารา   ตอนที่ 73 เอ่ยคำรัก

    ปิ่นหยกลายดอกโบตั๋นจึงปรากฏบนเรือนผมของคุณหนูสกุลสวีนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเจ้าของดวงตาสีม่วงแดงมองคนตรงหน้าไม่วาง ยิ้มกว้างปลื้มใจที่นางรับของขวัญจากเขาไปราวกับรับความรักที่เขามีให้ไปด้วยสวีลู่ชิงรู้สึกได้ว่าคนผู้นั้นจริงใจกับนางมากแค่ไหน แม้จะให้สถานะเป็นเพียงสหายแต่ก็ยอมปักปิ่นให้เขาได้ชื่นใจเวลานี้นางไม่เคยได้ออกไปเยี่ยมเขาที่นอกหมู่บ้านอีกเลย เพราะกงจื่อเย่มักแอบมาหานางในยามซวีทุก ๆ สองหรือสามวันเพื่อนำดอกซือเมิ่งสีฟ้าที่นางโปรดปรานมาให้“ทำงานทั้งวันไม่เหนื่อยหรืออย่างไรจึงมาหาข้าถึงจวน” สวีลู่ชิงเอ่ยถามคนข้างกาย รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำงานมากแค่ไหนและพยายามมาหานางถึงที่นี่ทั้ง ๆ ที่เดินทางมายากลำบากนัก“ไม่เหนื่อยเลยขอรับ” เ

  • มารเร้นกายดับแสงดารา   ตอนที่ 72 ยกเลิกหมั้นหมาย

    สวีต้าเฟิงไม่ได้ลงมาตามจับหลานชายของตัวเองเพียงเท่านั้นแต่ยังมาเตือนกงจื่อเย่ผู้เป็นบิดาของมารน้อยด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนทุกครั้งจอมมารนิ่งเฉยเพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่มักทำหูทวนลมอยู่ร่ำไป คิดอยากทำตามใจตัวเองตามประสาเป็นทุนเดิม“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับโชคชะตาของนาง เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังข้าบ้างเล่า” เทพวายุพยายามข่มใจลดน้ำเสียงลงราวกับวอนขอให้อีกฝ่ายทำตามที่เขาบอก“เจ้ามาโทษข้าเรื่องอันใด ไม่เห็นหรือว่าข้าอยู่ในสภาพแทบพิการ ต่ำต้อย ไม่มีชื่อเสียงเงินทอง มิหนำซ้ำสุขภาพยังย่ำแย่ทรุดโทรมจะมีเวลาไปสร้างเรื่องอันใดให้เจ้าหนักใจอีก” กงจื่อเย่นิ่วหน้าพูดตามความจริง“ดาบเขี้ยวอสูรของเจ้าบินว่อนภพสวรรค์สร้างความแตกตื่นให้ผู้คนบนนั้นคิดว่าเจ้าจะยึดคร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status