“ตกลงนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” ฉันอดไม่ได้ที่จะถาม และคิดว่าคนที่ยังนั่งอยู่กับฉันนี่แหละที่น่าจะตอบคำถามฉันได้ดีที่สุด“ฉันไม่รู้”“ไม่จริง เธอต้องรู้สิ ไม่อย่างนั้นเธอจะรับปากผู้ชายคนนั้นได้ยังไง ไหนจะยังเรื่องที่เธอรายงานผู้ชายคนนั่นว่าฉันละเมออีกล่ะ บอกฉันมานะ”“อย่ามาเสียงดังใส่ฉันนะ ฉันบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ หน้าที่ของฉันก็คือมาเฝ้าเธอจนกว่าเธอจะฟื้น แล้วก็รายงานให้คุณคิราวะรู้เท่านั้นเอง” ผู้หญิงคนนั่นอธิบายเสียงเรียบ“ใครคือคิราวะ”“ก็บอดี้การ์ดคนสนิทของคุณโอยามะคนเมื่อกี้นี้ยังไงล่ะ”บอดี้การ์ดของโอยามะงั้นเหรอ“รีบๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ มัวนั่งอึ้งอยู่ทำไมล่ะ”“ปะ...เปลี่ยนทำไม” ฉันถามเสียงสั่น พูดไปมองหน้าเธอคนนั้นสลับกับถุงกระดาษไปอย่างนึกกลัว“ฉันไม่รู้หรอกว่าเปลี่ยนทำไม รู้แต่ว่าคุณคิราวะสั่งให้เปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน หรือเธออยากรอให้เขามาเปลี่ยนให้ก็ตามใจ”คำขู่จากผู้หญิงแปลกหน้าทำให้ฉันเม้มริมฝีปากแน่น กลืนทุกคำปฏิเสธลงไปอย่างไม่มีทางเลือก ภาพในคืนก่อนตอนที่ถูกจับถอดเสื้อผ้าฉายชัดเข้ามาในหัวราวกับถูกตั้งเวลาเอาไว้“มองทำไม หรือเธอคิดว่าฉันโกหก พวกเขาน่ะทำได้ทุกอย่างที่คุณโอ
“ฉันสัญญาว่าฉันจะกลับมา”“อย่าไปนะ”“รอฉันนะฮานะ ฉันจะกลับมารับเธอ”“ไม่ อย่าไป อย่าทิ้งฉันไปนะริว อย่าไป!” ฉันตะโกนร้องเรียกเด็กผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่บนกำแพงสูงจนท่วมหัว แต่ไม่ว่าจะพยายามร้องเรียกเขาเท่าไหร่ เขาก็ไม่ฟังเสียงของฉันเลยริวส่งยิ้มให้ฉันพร้อมกับโบกมือลา เขาย้ำกับฉันว่าเขาจะกลับมาหาฉัน สัญญาเอาไว้ว่าจะไม่ทิ้งฉัน แต่สุดท้าย…หลังจากที่เขาเลือกจะกระโดดลงไปที่อีกฟากหนึ่งของกำแพง เขาก็ไม่เคยกลับมาหาฉันอีกเลย“ริว อย่าทิ้งฉันไป อย่าไปนะ ข้างนอกมันอันตราย”“รอฉันนะ ฮานะ”“ริว กลับมา กลับมาหาฉัน กลับมา!” เสียงของฉันค่อยๆ หายไปในอากาศเมื่อริวไม่กลับมาอีกแล้ว“นี่ ตื่นได้แล้ว ฝันบ้าอะไรของเธอ”ฝัน! บ้าจริง ฉันฝันไปเหรอเนี่ย!สองตาเบิกโพลงขึ้นมาโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงของใครสักคนที่กำลังเรียกฉันพร้อมกับที่เขย่าเพื่อให้ฉันรู้สึกตัว อาการมึนหัวเข้าจู่โจมทันทีที่ฉันลืมตาจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ เสียงลมหายใจดังจนน่ากลัวแถมยังร้อนผ่าวจนรู้สึกได้“ตื่นสักทีเถอะ ฉันคิดว่าเธอจะตายไปแล้วซะอีก” ผู้หญิงคนนั้นรำพึงรำพันพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เตียงใช่! เตียง ฉันนอนอยู่บนเตียงจริงๆ แถมยั
“ฉันคิดว่าเธอจะนอนในนั้นซะอีก”“พวกนาย!”สองตาของฉันเบิกโพลงขึ้นมาทันทีเมื่อได้เผชิญหน้ากับชายชุดดำสองคน ที่เหมือนจะมาดักรอฉันอยู่ตรงนี้นานแล้ว“จะไปด้วยกันดีๆ หรือจะให้ฉันใช้กำลัง”“ไม่ ถอยไปนะ ช่วย...”อุ่ก!เสียงของฉันจุกอยู่ในลำคอเพราะทันทีที่ฉันพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ หนึ่งในพวกมันก็ตรงเข้ามาชกท้องของฉันอย่างรวดเร็ว และรุนแรงมากพอจะทำให้ฉันล้มทั้งยืนเป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเฉียดเข้าใกล้ความตายขึ้นเรื่อยๆ สองขาของฉันทรุดลงไปกับพื้น แต่ยังไม่ทันจะล้มลงไปก็กลับถูกอุ้มขึ้นมา“พูดง่ายๆ แต่แรกก็จบ”“ปล่อยเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้นะ!”สิ้นเสียงนั้นร่างกายของฉันก็โงนเงนไปมาเหมือนกำลังถูกยื้อแย่งไปมา“ยูริ”“อดทนไว้ฮานะ โอ๊ย!” เสียงร้องของยูริดังมากจนฉันตกใจ แต่ฉันจะช่วยเธอได้ยังไงในเมื่อฉันยังเอาตัวเองไม่รอดเลย“ตายซะเถอะไอ้พวกสารเลว!”พลั่ก!เสียงเหมือนของแข็งกระทบกัน ซึ่งทันทีที่ได้ยิน ร่างกายของฉันก็ถูกทิ้งลงกับพื้น แรงกระแทกทำให้ฉันรู้สึกจุกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า“ยูริ หนีไป!”“พี่ยูตะ ช่วยยูริกับฮานะ โอ๊ย!” ยูริร้องเสียงดังเมื่อเส้นผมของเธอถูกกระชาก ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวเพราะอา
ฟุ่บ!“บ้าจริง ทำไมพวกมันถึงได้มารวดเร็วแบบนี้ล่ะ!” ฉันรีบถอยกลับมายืนหลบอยู่ในตรอกแคบๆ ก่อนถึงทางเข้าหอพักทางด้านหลังเมื่อกี้นี้เหมือนฉันจะเห็นผู้ชายสองคนมีท่าทีแปลกๆ เดินไปเดินมาอยู่ด้านใน แม้จะไม่แน่ใจนักว่าสองคนที่เห็นจะใช่คนของโอยามะหรือเปล่า แต่เท่าที่ดูจากเสื้อผ้า แว่นดำ รวมถึงบุคลิกที่ดูสง่าผ่าเผยแบบนั้นไม่มีทางใช่ยามประจำหอพักแน่ๆฉันพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ แล้วชะโงกหน้าออกไปแอบมองให้แน่ใจอีกครั้ง ซึ่งเมื่อพบว่าผู้ชายสองคนที่เห็นเมื่อครู่ยังยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกำลังรอใครสักคน ฉันก็ยกโทรศัพท์ในมือขึ้นมากดโทรหาพี่ยูตะทันทีโทรศัพท์ในมือของฉันคือโทรศัพท์ของยูริ เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะโทรส่งข่าวให้สองคนที่กำลังรอฉันอยู่รู้ ฉันก็ต้องโทรหาพี่ยูตะนั่นแหละ“ฮัลโหลพี่ยูตะ” ฉันรีบกรอกเสียงลงไปเมื่อพี่ยูตะกดรับแทบจะในทันที เพราะว่าเขาเองก็คงกำลังลุ้นและรออยู่เหมือนกัน[มีอะไร หรือว่าเจอคนของโอยามะแล้ว]“ไม่แน่ใจค่ะ แต่มีผู้ชายท่าทางแปลกๆ สองคนยืนแถวๆ หอพักทางด้านหลัง ฮานะไม่รู้ว่าใช่คนของโอยามะรึเปล่า”[พวกมันเห็นเธอรึยัง]“ยังค่ะ ฮานะเห็นพวกมันก่อน ก็เลยหลบอยู่ ยังไม่ได้เดินออกไปค่ะ”[ต
ฉันตัดสินใจจะก้าวต่อไปเพราระไม่ว่าจะช้าจะเร็วยังไงฉันก็ต้องตายอยู่ดี และไม่ต้องการรอให้โอยามะลงมือ ฉันจะไม่ยอมให้เขาลากฉันกลับไปเป็นสินค้าเด็ดขาด ฉันไม่อยากตกนรกทั้งเป็นแบบนั้นจ๋อม~เมื่อก้าวแรกที่เท้าได้สัมผัสกับน้ำเย็นเฉียบทำเอาฉันสั่นสะท้าน แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ฉันยังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนระดับน้ำจากตาตุ่มไต่ระดับสูงขึ้นมาถึงหน้าแข้ง หัวเข่า ต้นขา เอว จนกระทั่งถึงหน้าอก“ฮานะ!”ใครสักคนตะโกนเรียกชื่อฉันดังมาจากด้านหลัง ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้คิดจะหันหลังกลับไป ข้างหลังไม่มีพื้นที่สำหรับฉันอีกแล้ว ไม่มีที่ให้ฉันยืน ไม่มีใครสักคนต้องการฉัน ไม่มีเลย...“ฮานะ กลับมานะ!”เสียงตะโกนเหมือนจะดังขึ้น แต่เพียงไม่นานมันก็ถูกสายลมพัดให้เลือนหายไป“ฮานะ ทำบ้าอะไรของเธอ!” ต้นแขนของฉันถูกกระชากไว้ สายตาของคนที่วิ่งตามลงมาดูกรุ่นโกรธ“ปล่อยฮานะนะ!”“หยุดบ้าสักที เธอกำลังทำให้คนอื่นเขาแตกตื่น ไม่รู้รึไง!” พี่ยูตะตะคอกบอกพร้อมกับเขย่าตัวฉันแรงๆ เพื่อเตือนสติ พอได้มองไปรอบตัวฉันถึงได้รู้ว่าทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังมองฉันด้วยแววตาตื่นตกใจจริงๆขนาดอยากตาย ฉันยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลย…“
“โอ๊ย! เบาๆ สิยูริ”ปัง!นอกจากยูริจะไม่ฟังเสียงร้องของฉันแล้ว เธอยังปิดประตูบ้านเสียงดังจนฉันสะดุ้งตกใจ“เธอกลับมาทำไม”คำถามจากเพื่อนสนิททำฉันเบิกตาโพลง หน้าอกร้อนวูบเพราะถ้าดูจากสภาพของฉันตอนนี้ มีใครบ้างที่ดูไม่ออกว่าฉันกำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่คนที่ฉันเรียกว่าเพื่อนกลับทำหน้าตาเหมือนไม่ยินดีต้อนรับ“ทำไมเธอถามฉันแบบนั้นล่ะ”ใครจะว่าถามโง่ๆ ฉันก็ยอมรับ เพราะตอนนี้ในสมองของฉันไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากความกลัว“กะ ก็แค่แปลกใจน่ะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะปล่อยเธอมา”“เธอแปลกใจที่ฉันรอดมาได้ หรือกลัวว่าฉันจะกลับมาทำให้เธอเดือดร้อนกันแน่”“หยุดพูดนะฮานะ”ริมฝีปากของฉันถูกยูริปิดเอาไว้จนแน่น หนำซ้ำยังทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าฉันให้ตาย“ออกไปจากบ้านของฉันซะ เธอไม่ควรมาที่นี่” ยูริตะโกนไล่อย่างไม่ไยดี สะบัดนิ้วพรึ่บไปที่ประตูทำราวกับว่าฉันเป็นตัวน่ารังเกียจ“เธอแค่หลอกใช้ฉันสินะ” ฉันถามเสียงสั่นเพราะอยากจะได้ยินมันจากปากของผู้หญิงที่ฉันเรียกว่าเพื่อนมาตลอดสามปี“อย่ามาโทษฉันนะ เธอเต็มใจไปเองต่างหาก”“ฉันน่ะเหรอเต็มใจ”“ก็ใช่น่ะสิ หรือจะปฏิเสธว่าเธอไม่รู้ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมา” ยูริถามเหมือนไม่ร