LOGINหลายวันหลังจากคืนนั้นนางอยู่นิ่งไม่ได้อีกแล้ว เวลาเหมือนคมมีดค่อย ๆ เฉือนโอกาสไปทีละน้อย ในช่วงเช้านางฝึกร่างกายให้แข็งแรงขึ้นจนเหงื่อออกก็เข้ามาล้างตัวและให้ซูม่านลอบส่งจดหมายถึงเขาที่น่าจะพำนักอยู่ตระกูลไป๋ว่า ต้องการพบคุณชายรองไป๋เจี้ยนหง เพื่อสนทนาเรื่องที่เราทั้งคู่ไม่ปรารถนา
วันแล้ววันเล่ากลับไร้วี่แววตอบรับ ทุกเช้าเมื่อไก่ขัน นางยังเงี่ยหูฟังเสียงผู้ส่งข่าวที่ไม่เคยมาถึง ใครจะคิดว่าสิ่งที่เดาไว้ว่าเขาน่าจะเกลียดร่างนี้จะใช่เรื่องจริงเล่า
ชีวิตอวี้เซียนดีขึ้นบ้างแล้ว ได้ย้ายจากเรือนเก่าท้ายจวนมายังเรือนเดิมสมฐานะคุณหนูรอง ทว่าแม้บ่าวขานรับสุภาพแต่ก็มีแววตาสื่อบอกว่าไม่เต็มใจ อาหารดีขึ้น ห้องสะอาดกว่าเดิม แต่หากเทียบชีวิตคุณหนูทั่วไปก็น่าจะถือว่าต่ำกว่ามาตราฐานมากโข
ยังไม่ทันวางแผนใหม่ว่าจะติดต่อเจี้ยนหงอย่างไรก็มีลู่ทางมาให้ใช้เสียแล้ว ในวันนี้ตระกูลหลินจัดการฉลองที่บิดาได้เลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นสามขึ้นเป็นขั้นสอง
ยามนี้เสียงฆ้องกลองจากหน้าจวนตั้งแต่ยามเฉิน (7.00 – 8.59 น.) บ่าวสาวจากเรือนหลักลากนางมานั่งหน้ากระจกตั้งแต่เช้าเลือกเกล้าผมเป็นมวยเรียบ ประดับเพียงปิ่นเงินที่มีก็ทำให้พอดูดีมีราศีคนรวยขึ้นมา
“วันนี้คุณหนูต้องวางตัวให้เหมาะสมหน่อยนะเจ้าค่ะ ฮูหยินกำชับว่าสำคัญคืออย่าให้แขกเอ่ยเรื่องเก่าได้”
นางมองเงาในกระจก ดวงตานิ่งราวผืนน้ำ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดพูดสิ่งใดให้น่าจดจำ”
...แต่คนอื่นจะพูดไหมนางก็ห้ามไม่ได้อ่ะนะ
ทันทีที่นางก้าวเข้าศาลา เสียงพูดคุยของเหล่าแขกเหรื่อก็ขาดหายเหมือนใครดับไฟ ก่อนคลื่นซุบซิบรอบใหม่จะซัดกลับมา อวี้เซียนนั้นเดินผ่านหน้าทุกคนไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน
... ในกระดานหมากนี้ ผู้ที่รู้สึกคือผู้ที่แพ้
งานวันนี้ไม่ต่างจากงานกุศลที่ตนต้องเข้าร่วมบ้างสมัยเป็นมาเฟีย ชุดและเครื่องประดับสตรีชั้นสูงส่องประกายเงินทอง จนแสบตา ขุนนางแต่งเต็มยศยืนคุยปั้นหน้าสานสัมพันธ์ กลิ่นคำว่ามารยาทถูกขัดจนมันวับ
“เชิญตระกูลไป๋”บ่าวที่มีหน้าที่ต้อนรับแขกที่หน้าจวนเอ่ยขึ้น
บุรุษร่างสูงในอาภรณ์น้ำเงินเข้มก้าวนำมา เขาคือไป๋อี้เหวิน บุรุษผู้ใบหน้าคมเข้ม ท่วงท่าดุดันแผ่อำนาจท่วมท้น ดวงตาคมกวาดทั่วห้องโถงก่อนหยุดที่หญิงในชุดขาวอมชมพู หลินอวี้เยี่ยน...
เพียงเสี้ยวเดียว แววตาเย็นเมื่อครู่แปรเป็นอ่อนละมุนเหมือนแดดในช่วงใบไม้ผลิ เขาเดินตรงไปหาอวี้เยี่ยน ไม่สนเสียงคำนับของใครระหว่างทาง รอยยิ้มบางของเขาทำให้ซุบซิบระลอกใหม่ผุดขึ้น
...ชายที่นำนางไปทิ้งที่ประตูเมืองกลับมอบความอ่อนโยนให้กับคนที่รักเพียงผู้เดียว ช่างสมกับเป็นนิยายรักโรแมนติกยิ่งนัก
ไม่นาน เสียงฝีเท้าอีกคู่ดังขึ้น ช้ากว่าแต่มั่นคง...
เขาคือ ไป๋เจี้ยนหงในชุดเทาเข้มเรียบ ตราสำนักตรวจการสะท้อนแสงไฟ เขาไม่เปล่งรัศมีดุดันดังพี่ชาย ทว่ามีพลังเงียบที่ทำให้ผู้คนลดเสียงเอง เหล่าขุนนางเข้ามาทักทาย เขาเพียงพยักหน้า ใบหน้าว่างเปล่า ไม่วายมีเสียงกระซิบยามเจ้าตัวเดินผ่านไปแล้ว
“ความสามารถมากก็จริง แต่ยังเทียบพี่ชายไม่ได้หรอก”
“นั่นสิ หากเทียบได้คุณหนูสามหลินจะไม่เลือกได้อย่างไร”
ขณะที่ผู้คนล้วนสนทนาถึงผู้มาใหม่ทั้งหลายแต่อวี้เซียนนั้นยืนแข็งค้างใบหน้าหน้าแข็งทื่อไปแล้ว!
ที่แท้ชายที่ขี่ม้าผ่านในคราวคืนวันฝนตกก็คือว่าที่สามีของนาง ไป๋เจี้ยนหงเองหรือ
ไม่แปลกเลยที่เขาจะเย็นชาใส่นางในวันนั้น แต่จากที่เขายอมช่วยไล่พวกอันธพาลไปแม้จะรู้ว่านางคือใครก็พิสูจน์ได้ว่าเขายังมีความเมตตาอยู่บ้าง เช่นนั้นแผนในวันนี้ต้องดำเนินการต่อ!
เมื่อเสียงขลุ่ยท่อนสุดท้ายที่บรรเลงยามแขกร่วมทานมื้ออาหารจบลงรอบข้างก็สู่ความเงียบ แขกเริ่มทยอยลุก แสงโคมที่ถูกจัดเพราะด้วยว่าเข้าสู่พลบค่ำแล้ว อวี้เซียนก็เหลือบตามองซูม่านเพื่อให้ทำตามที่นางสั่งไว้ ซูม่านเดินไปหาเป้าหมายแล้วสอดกระดาษสีขาวแผ่นเล็กลงข้างถ้วยชาขณะรินชาให้เจี้ยนหง
ในนั้นมีข้อความพาดสั้น ๆ
หลังเลิกงาน พบกันที่สวนท้ายจวนหลิน เรามีเรื่องต้องคุยกัน
...
แสงโคมจากเรือนใหญ่ลอยริบหรี่เหนือปลายสวน เสียงขับกล่อมในงานเลี้ยงค่อย ๆ จาง เหลือเพียงเสียงลมพัดกอไผ่ไหวเบา ๆ
อวี้เซียนยืนนิ่งใต้ศาลาไม้ไผ่สถานที่นัดหมาย นางรู้ว่าเขาต้องมาแน่ เพราะเขาคงกลัวว่าสตรีชั่วร้ายเช่นนางจะวางแผนทำลายน้องสาวอย่างนางเอกในนิยายอีก
และไม่นาน เงาร่างสูงก็ปรากฏขึ้นจากความมืด แสงโคมกระทบชุดคลุมสีเทาเข้มจนดูเย็นเหมือนเหล็กเปียกฝน
“เจ้ากล้าส่งจดหมายถึงข้ากลางงานเลี้ยง” เสียงของเขาราบเรียบแต่มีแรงกดในทุกคำ “เจ้าคิดจะก่อเรื่องอะไรอีก”
...นั่นปะไร มาถึงก็กล่าวหานางเลย
“ข้าไม่ได้จะก่อเรื่องใด” นางตอบ “เพียงแค่ต้องการคุยเรื่องที่ท่านเองก็น่าจะไม่พอใจเช่นเดียวกัน เรื่องพระราชโอ--”
“ข้าไม่มีเรื่องไหนที่ควรพูดกับคนอย่างเจ้า” เขามองตรงมา ดวงตาไร้อารมณ์ไม่เปิดโอกาสให้นางพูดให้จบ
“ราชโองการนั้นไม่ใช่พระเมตตาท่านก็น่าจะพอมองออกอยู่บ้าง” เสียงนางเรียบเฉียบ “และเรากำลังอยู่ในกระดานเดียวกัน”
เจี้ยนหงหัวเราะสั้น ๆทันใด “หมากกระดานเดียวกับเจ้าข้าไม่อยากเป็น”
อวี้เซียนยิ้มบางผ่อนลมหายใจยาวระอากับความอคติของเขาที่บดบังดวงตาให้มืดบอดไม่ต่างจากคนอื่น หากเป็นอวี้เยี่ยนพูดพวกเขาคงเก็บไปคิดไม่ปฏิเสธเช่นนั้นกระมัง
“ข้าเข้าใจว่าท่านไม่ฟังข้า แต่อย่าได้นำอดีตที่แก้ไม่ได้มาบดบังปัจจุบันและอนาคตได้หรือไม่”
“เพียงอดีต?” น้ำเสียงเขาเย็นลง “เจ้าลืมหรือว่าเจ้าทำอะไรไว้กับน้องสาวผู้มีสายเลือดเดียวกับเจ้า!”
คำพูดนั้นกระแทกกลางอก แต่สีหน้าอวี้เซียนยังสงบนิ่ง ได้เพราะนางไม่ใช่คนทำเสียหน่อย แต่ก็ไม่อาจบอกตามตรงได้ เพราะเดี๋ยวจะเปลี่ยนจากสตรีชั่วร้ายเป็นสตรีผีสางเอา
“ข้าไม่ลืม แต่บัดนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้ว”
“เจ้าคิดว่าพูดว่าเปลี่ยน ก็เปลี่ยนสิ่งที่เจ้าทำได้หรือ?” เขาถามเสียงต่ำ
“ไม่” นางตอบ “แต่การกระทำของข้าจะเปลี่ยนสิ่งที่จะเกิดขึ้น”
เขามองนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนพยายามหาความโกหกในดวงตา ทว่ามีเพียงความนิ่งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ
“เจ้าคิดจะพิสูจน์อะไรก็เชิญ” เขากล่าวในที่สุด “แต่ไม่ต้องลากข้าเข้าไปด้วยก็พอ”
เขาหันหลังจะก้าวจากไป แต่หยุดเพียงชั่วลมหายใจก่อนเอ่ยเสียงเรียบทิ้งท้าย
“ไม่ว่าเจ้าจะเสแสร้งแกล้งทำอย่างไร…ก็ไม่มีใครหลงกลเจ้าแล้ว หลินอวี้เซียน!”
คำพูดของเจี้ยนหงทำให้นางระลึกได้ถึงเสียงเย็นชาที่วนเวียนในความฝันในช่วงแรก ขมับเต้นตุบเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นไวกว่าปกติ เงาโคมเคลื่อนไหวบนใบหน้า นางยกมือแตะขมับกดนวดให้แรงขึ้น
ที่แท้คำพูดในความฝันนั่นก็มาจากเจี้ยนหงนั่นเอง หมายความว่านางกำลังจะต้องแต่งงานไปกับชายที่ทำให้ร่างเดิมถึงกลับยอมแพ้ในชะตาและฆ่าตัวตายหรือนี่
ชีวิตหลังนิยายจบเช่นนี้ช่างใจร้ายต่อตัวละครนางร้ายเสียจริง... ยังมีใครให้มากกว่านี้ไหมนะ
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว ไม่มีใครหลงกลเจ้าหรอก”
อวี้เซียนหันกลับไปช้า ๆ เห็นชายในชุดขุนนางสีน้ำตาลยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ดวงตาเย็นเยียบ ชายที่พูดเมื่อครู่เขาคือพี่ใหญ่หรือหลินเจิ้งหลิง พี่ชายที่เคยรักน้องสาวเท่ากันทั้งหมดแต่ถูกนางร้ายร่างเดิมทำลายความสัมพันธ์นั้นลงนั่นเอง...
“เจ้าคิดจะทำอะไรอีก อวี้เซียน จะใช้เรื่องแต่งงานนี้ไปก่อปัญหาให้เยี่ยนเอ๋อร์อีกหรือ”
อวี้เซียนจ้องเขากลับริมฝีปากขยับเพียงเล็กน้อย “ท่านก็เป็นอีกคนที่คิดว่าข้าจะทำร้ายผู้อื่นสินะ...อวี้เซียนผู้นี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก”
“เจ้าทำตัวเจ้าเอง”
หลินเจิ้งหลิงมองนางเหมือนเห็นคนแปลกหน้าเป็นคราสุดท้ายก่อนหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่เหลียว
ฝนเริ่มตกอีกครั้ง น้ำฝนเย็นเฉียบซึมผ่านชายเสื้อ นางยืนนิ่งไม่ขยับ สายตาแน่วแน่แม้อยู่ในความมืด วันนี้ก็เป็นอีกวันที่นางได้รับรู้ความเจ็บปวดของการถูกตัดสิน
หลังจากนี้อวี้เซียนคงไม่คิดจะหาพรรคพวกแล้ว ชีวิตนี้คงต้องพึ่งสองมือและสองเท้าของนางเท่านั้น...
บทที่ 5เลิกเสแสร้งได้แล้วหลายวันหลังจากคืนนั้นนางอยู่นิ่งไม่ได้อีกแล้ว เวลาเหมือนคมมีดค่อย ๆ เฉือนโอกาสไปทีละน้อย ในช่วงเช้านางฝึกร่างกายให้แข็งแรงขึ้นจนเหงื่อออกก็เข้ามาล้างตัวและให้ซูม่านลอบส่งจดหมายถึงเขาที่น่าจะพำนักอยู่ตระกูลไป๋ว่า ต้องการพบคุณชายรองไป๋เจี้ยนหง เพื่อสนทนาเรื่องที่เราทั้งคู่ไม่ปรารถนาวันแล้ววันเล่ากลับไร้วี่แววตอบรับ ทุกเช้าเมื่อไก่ขัน นางยังเงี่ยหูฟังเสียงผู้ส่งข่าวที่ไม่เคยมาถึง ใครจะคิดว่าสิ่งที่เดาไว้ว่าเขาน่าจะเกลียดร่างนี้จะใช่เรื่องจริงเล่าชีวิตอวี้เซียนดีขึ้นบ้างแล้ว ได้ย้ายจากเรือนเก่าท้ายจวนมายังเรือนเดิมสมฐานะคุณหนูรอง ทว่าแม้บ่าวขานรับสุภาพแต่ก็มีแววตาสื่อบอกว่าไม่เต็มใจ อาหารดีขึ้น ห้องสะอาดกว่าเดิม แต่หากเทียบชีวิตคุณหนูทั่วไปก็น่าจะถือว่าต่ำกว่ามาตราฐานมากโขยังไม่ทันวางแผนใหม่ว่าจะติดต่อเจี้ยนหงอย่างไรก็มีลู่ทางมาให้ใช้เสียแล้ว ในวันนี้ตระกูลหลินจัดการฉลองที่บิดาได้เลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นสามขึ้นเป็นขั้นสองยามนี้เสียงฆ้องกลองจากหน้าจวนตั้งแต่ยามเฉิน (7.00 – 8.59 น.) บ่าวสาวจากเรือนหลักลากนางมานั่งหน้ากระจกตั้งแต่เช้าเลือกเกล้าผมเป็นมวยเรียบ ประ
บทที่ 4พระรองกับนางร้าย“พระราชโองการนี้...ช่างประหลาดนัก”คำพูดของอวี้ซินเฉือนผ่านความเงียบอย่างเฉียบคม ทุกสายตาเงยขึ้นแทบพร้อมกัน เหมือนถูกแรงบางอย่างดึงไว้“ฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสให้ข้าที่ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ทั้งที่หากจะให้สองตระกูลเชื่อมสัมพันธ์กันไว้อย่างที่ว่าก็มีน้องสามที่หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่อี้เหวินอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งข้าก็ยังเป็นคนตระกูลเดียวกัน เหตุใดต้องให้ข้าแต่งอีก การให้ตระกูลไป๋รับสะใภ้จากตระกูลหลินถึงสองคน...ไม่ชวนให้สงสัยอย่างนั้นหรือ?”น้ำเสียงของนางนิ่งราวน้ำในบ่อลึก แต่แรงสะท้อนกลับหนักพอจะทำให้คนฟังหายใจติดขัดอนุฮวาเสียนที่ขวัญอ่อนจากการเห็นดาบทาบคอเมื่อครู่สีหน้าเปลี่ยนวูบก่อนโพล่งเสียงสูงอย่างอดไม่อยู่ทันใด“คุณหนูรองช่างกล้าสงสัยและลบหลู่ราชโองการเช่นนี้หรือ! พูดสามหาวถึงเพียงนั้นได้อย่างไรจะให้ตระกูลเราตายตกไปตามเจ้าหรือ!”อวี้เซียนปรายตามองช้า ๆ แววตาเย็นจนคนถูกมองหดคอถอยล่นไม่กล้าดังเดิม“ข้าเพียงสังสัยเท่านั้น หากไม่คิดอันใดเลยตระกูลหลินมีหรือจะรอดชะ--”“เงียบ!” หลินเจิ้งหาวตวาดเขาลุกขึ้นยืนหันหลังให้กับอวี้เซียน “จวนหลินจะไม่ขัดราชโองการ!”อวี้เซี
บทที่ 3พระราชโองการที่นางไม่อยากได้บุรุษที่ลงมาจากหลังม้ายืดตัวตรง เส้นผมดำเปียกแนบข้างแก้มแต่เจ้าตัวก็ยังคงดูดี หยดน้ำฝนไหลจากขมับผ่านแนวกรามคม ริมฝีปากบีบแน่น เงียบ บรรยากาศรอบข้างแผ่กำจายเต็มไปด้วยอำนาจจนแม้แต่อวี้เซียนยังเผลอกลั้นหายใจชั่วขณะแสงไฟส่องผ่านม่านฝนกระทบใบหน้าคม ดวงตาของเขาเยือกเย็น...เย็นเสียจนคล้ายมองสิ่งที่เขารังเกียจมากที่สุดอวี้เซียนเปลี่ยนจากสีหน้าดีใจฉายความไม่เข้าใจชั่วครู่ที่เห็นว่าแววตาเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้ไม่มีเวลาให้ไขข้อสงสัยอวี้เซียนต้องรับขอความช่วยเหลือเสียก่อน“ท่าน...” อวี้เซียนขยับปากน้ำเสียงแผ่วไปบ้างเพราะหอบเหนื่อยแต่ชัดถ้อยพร้อมระบุชี้ไปทางที่ตนจากมา “ช่วยข้าไล่คนพวกนั้นไปทีพวกนั้นจะทำร้ายข้า”ทว่าบุรุษตรงหน้ากลับไม่ขยับ ไม่พูดใดใด เพียงยังมองนางนิ่ง สายตานั้นเย็นราวคมมีด เดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวกัดฟันแน่น“ได้ยินหรือไม่ ข้าขอแค่ให้ช่วยที ข้าจะถูกพวกมันทำร้ายแล้ว ชะ--”พูดยังไม่ทันจบเขาขยับออกไปเหวี่ยงตนเองขึ้นบังคับม้า แล้วก็ทำท่าจะจากไปด้วยซ้ำหากไม่เพราะเขาเปลี่ยนท่าทำให้ม้าตัวโตยกสองขาขึ้นขู่ไปจากพวกอันธพาลจากวิ่งจากไปแทบมาทันแทน คว
บทที่ 2ใครบ้างไม่เกลียดชังนางยามเซิน(15.00 – 16.59 น.) ท้องทั่วฟ้าเมืองหลวงยังไม่มืดนัก แสงแดดปลายวันลอดผ่านเมฆหม่นเป็นริ้วอ่อนหลินอวี้เซียนผลักบานประตูไม้หลังเรือนท้ายจวนออก ลมชื้นอ้าวพัดปลายผมให้ไหวเบาทำให้รู้ได้เลยว่าหากนางไม่รีบไปรีบกลับอาจต้องเจอกันฝนที่สาดเทแน่ อวี้เซียนอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบ ใบหน้าคลุมผ้าบางปิดครึ่งล่าง มีเพียงดวงตาคมที่สะท้อนแสงอ่อนจากฟ้าวันนี้ทั้งจวนมัวอยู่กับงานเลี้ยงหลังพิธีบรรพชน ไม่มีใครทันเห็นว่านางออกมาหรอก นางใช้ทางลับที่สำรวจและเจอได้จากวันก่อน ลัดเลาะเงียบสู่ถนนด้านนอกลมหอบกลิ่นขนมนึ่งมายังปลายจมูก ทำให้หัวใจที่นิ่งมานานกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย คล้ายได้หายใจคล่องอีกครั้งในโลกที่ไม่คุ้นเคยตลาดบนถนวนพลันคึกคัก ผู้คนขวักไขว่ เสียงเร่ขายสินค้าปะทะกันเป็นจังหวะ ชา เครื่องหอม ผ้าแพร เครื่องประดับ ละลานตาไปหมด นางก้าวช้า ๆ ทอดสายตามองรอบด้าน ใบหน้าหลังผ้าคลุมซ่อนรอยยิ้มบาง ๆอวี้เซียนหยุดหน้าร้านสมุนไพร กลิ่นรากแห้งและใบยาที่ตากแดดจนควันอุ่นอบอวลอยู่เต็มอากาศ“แม่นาง สนใจยาชนิดใดหรือ?” พ่อค้าชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร“ขอดูก่อน” เสียงนางเรียบ “ร้
บทที่ 1วันไหว้บรรพบุรุษที่ไม่จำเป็นต้องมีนางเช้าวันนี้อากาศสดใส แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านกิ่งเหมยที่ผลิบานผ่านหน้าต่างเข้ามา อวี้เซียนยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองออกไปยังลานที่ไร้ผู้คน เข้าวันที่สามแล้วแต่วันนี้ไม่เหมือนเคย เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากหย้าประตูเรือน บ่าวสาวนางหนึ่งก็มาถึงพร้อมถาดมื้อเช้า ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนถูกบังคับเต็มหน้า“คุณหนูรอง...บ่าวนำอาหารเช้ามาให้เจ้าค่ะ”น้ำเสียงนั้นทั้งเกรงกลัวทั้งรังเกียจในคราวเดียวคงเพราะภาพจำเมื่อวานที่นางจงใจแสดงอำนาจอย่างน้อยก็ได้ผลอวี้เซียนปรายตามอง “บ่าวส่วนตัวข้าไปไหน ทำไมไม่มาทำหน้าที่?”บ่าวผู้นั้นชะงัก มือสั่นจนเกือบทำถาดหล่น “หมายถึง...ซูม่านหรือเจ้าคะ ก็ยังอยู่ แต่ตอนนี้ไปอยู่ฝ่ายซักล้างแล้วเจ้าค่ะ...บ่าวเช่นนั้นมีบุญแล้วที่ไม่ถูกตีตาย มะ--”“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปได้ตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่”คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงแรงกดดันจนอีกฝ่ายกลืนคำที่จะพูดต่อลงคอ รีบวางถาดแล้วเผ่นออกไปแทบไม่ทันอวี้เซียนมองชามข้าวในถาด ข้าวขาวกับผักต้มไม่กี่ชิ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจจะปรุงให้นางกินจริง ๆ ไว้เดี๋ยวไปหากินที่ครัวเองจะดีกว่าบัดนี้บ่าวส่วนตัวขอ
บทนำ“ไม่ว่าเจ้าจะเสแสร้งแกล้งทำอย่างไร…ก็ไม่มีใครหลงกลเจ้าแล้ว หลินอวี้เซียน!”คำพูดนั้นราวกับฟ้าผ่า กลืนหายไปพร้อมสายฝนและลมกรรโชกที่พัดซัดปลายผมให้เปียกชื้น ความหนาวชอนไชถึงกระดูก นิ้วเรียวบนเตียงเก่ายกขึ้นคว้าอากาศราวกับไขว่หาความจริง แต่ก่อนจะคว้าได้ ลมหายใจกระตุกวูบก่อนร่างบนเตียงนั้นสะดุ้งตื่นโดยพลันแสงเช้าสางส่องลอดช่องฝาไม้ผุ กลิ่นฝุ่นและความชื้นตีจมูก นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนหายใจยาว กลืนแรงสะท้านจากฝันร้ายให้จมหาย หัวใจยังเต้นแรงจนรู้สึกถึงจังหวะในอกที่สั่นระรัว ผ้าห่มขาดวิ่นโอบกายไม่มิด ลมเย็นแทรกเข้าทุกช่องไม้ ไม่มีสิ่งใดในเรือนนี้บ่งบอกว่าเป็นถึงชีวิตของคุณหนูรองเลยวันนี้คือวันที่สองที่จีน่า เหวิน ลืมตาในร่างหลินอวี้เซียน ตั้งแต่เมื่อวานไม่มีบ่าวแม้คนเดียวมาเหยียบเรือนนี้ เสียงท้องร้องทักเตือนยิ่งชัด นางกัดฟันสูดลมหายใจลึก กลืนความหิวลงคออย่างคนที่รู้ดีว่าไม่มีทางเลือกอื่นครั้งแรกที่ตื่นขึ้น นางยังหลงคิดว่าตนอยู่ในฉากถ่ายละคร ทุกสิ่งดูสมจริงเกินไป จนได้พบหีบข้างหมอนและสมุดบันทึกเล่มนั้น เมื่อเปิดอ่านทีละหน้า หัวใจกลับหนักขึ้นทุกบรรทัด เสียงสาปแช่งและแค้นเคืองของหลินอว







