หลังจากการเดินโชว์สิ้นสุดลง ในงานก็มีการจัดปาร์ตี้และคอนเสิร์ตเล็กๆ โดยวงที่ได้รับการโหวตจากเหล่านักศึกษาในช่วงก่อนที่จะจัดงานขึ้นมา รวมทั้งจะมีการอนุญาตให้นักศึกษาดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานของมหา’ลัยเป็นครั้งแรก ตอนนี้ทั้งเพื่อนๆ และเหล่ารุ่นน้องของฉันต่างก็พากันดื่มและโยกย้ายไปตามจังหวะของเสียงเพลง บ้างก็ควงแขนกันออกจากงานไปเป็นคู่ๆ แต่ฉันนี่สิ แค่เหล้าแก้วเดียวยังไม่กล้าดื่มเลย
ถ้าเกิดว่าไอ้หมอนั่นมันทำเรื่องใหญ่ขึ้นมาล่ะ ถ้าเกิดว่าเขาฆ่าคนอีกโดยที่ฉันรู้ว่าตัวเองมีโอกาสหยุดมันแต่ไม่ยอมทำ หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือคนที่โดนคือเพื่อนฉัน
“ญ่า”
ทันใดนั้นเสียงของเคทก็แทรกเสียงดนตรี EDM ที่ดังกระหึ่มเข้ามากระทบหูของฉัน พอหันไปมองก็พบกับเคทลินที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสาวแซ่บซี้ดด้วยเดรสยาวสีแดงสุดโดดเด่น บอกเลยว่าคืนนี้เพื่อนฉันไม่ได้มาเล่นๆ แต่ฉันนี่สิ ยังใส่ชุดเดิมชุดเดียวกับในงานอยู่เลย
แล้วสายตาฉันก็เหลือบไปเห็นบางอย่างในมือของเธอ เป็นเหล้าขวดสวยๆ คล้ายๆ กับที่ฉันเคยเห็นในหนังฝรั่งไม่มีผิด
“นี่อะไร?”
“เอามาให้”
“หา?”
“ไม่ต้องหาแล้ว นี่เหล้าที่ดีที่สุดของเรือนี้เลยนะขอบอก ฤทธิ์แรง เมาง่าย แต่ไม่ขมบาดคอเลย แล้วที่สำคัญตื่นมาไม่แฮ้งด้วยนะ”
เธอร่ายสรรพคุณของมันยาวเหยียดเสียจนฉันคิดว่าเป็นพรีเซนเตอร์ซะอีก หน้าตาท่าทางที่ดูคาดหวังเหลือเกินว่าฉันจะเอาไอ้น้ำใสๆ ทว่าฤทธิ์แรงประหนึ่งเหล้าขาวแถวบ้านเข้าปาก มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่ามันมีแผนอะไรหรือเปล่า
“อย่ามาทำหน้าเหมือนฉันเป็นอาชญากรแบบนั้นสิ นี่ก็แค่เหล้าฉลองเรียนจบเองนะ”
ไม่พูดเปล่า ยัยเพื่อนรักยังไปหยิบเอาแก้วแชมเปญจากบริกรมากระดกเข้าปากทีเดียวหมดแก้ว ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทั้งฉันและบริกรคนนั้น
“ของอย่างนี้มันต้องฉลอง แด่เพื่อนที่ไม่เคยผ่านมือชายของฉัน”
เธอว่าจบก็เปิดขวดเหล้าในมือตัวเองแล้วรินใส่แก้วเดียวกันนั้น ก่อนยื่นให้ฉันด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงก่ำด้วยความรวดเร็ว
“อ้าว ดื่ม!”
“ไม่ดื่มย่ะ แกเป็นบ้าอะไรของแกเนี่ยเคท แค่เมาเรือยังไม่พอใช่ไหมยังต้องมาทำให้ฉันเมาเพิ่มอีกเนี่ย”
ฉันรีบรับแก้วและเหล้าขวดนั้นมาไว้กับตัว ก่อนจะพยุงเพื่อนกลับห้องด้วยสภาพที่บอกเลยว่าทุลักทุเลแบบสุดๆ
“แกคออ่อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ นี่แสดงว่าก่อนจะเดินมาหาฉันก็แอบดื่มมาแล้วใช่ไหม แกอยู่บนเรือนะอย่าลืมสิ เกิดว่าพรุ่งนี้ตื่นไม่ทันแล้วลงจากเรือไม่ไหวใครจะแบกแกลง อับอายขายขี้หน้าจริงๆ เลย”
ระหว่างที่แบกมันเดินผ่านโถงทางเดินออกจากงานฉันก็บ่นกระปอดกระแปดไปด้วย ไม่ว่าเมื่อไหร่ยัยเพื่อนคนนี้ก็ชอบทำตัวเป็นภาระฉันเสมอเลย กินแหลกไม่สนว่าตัวเองจะกลับไหวไหม ส่วนคนที่ต้องทำตัวเองไม่ให้เมา นี่ไง ฉันค่า ตัวก็ไม่ใช่ว่าจะเบาๆ ด้วยความที่ฉันเป็นสาวไทยแท้ที่ตัวเล็กกว่าเธอมากเลยทำให้แบกน้ำหนักสาวสูงยาวเข่าดีแทบไม่ไหว แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังมาถึงห้องพักจนได้
“ฮึบ”
ตัวหนักๆ ของเคทลินถูกพาขึ้นเตียงด้วยความทุลักทุเล ฉันได้แต่ยืนปาดเหงื่อหายใจหอบถี่อยู่ที่ปลายเตียงในขณะที่มองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิจฉา
เกิดมาเป็นเคทลินก็ดี เธอเหมือนเป็นคนที่ไม่ต้องพบเจอกับความเครียดอะไรเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้จักกันเธอก็เป็นคนที่มีอิสระอยู่เสมอ ไม่ว่าจะการแต่งตัว ความคิด การใช้ชีวิต อยากกิน ดื่ม เที่ยว ก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ หลายครั้งที่เธอหายออกไปจากหอพักหลายวันหลายคืนไม่มาเรียนติดต่อก็ไม่ได้ แต่วันต่อมาเธอก็กลับมาโดยที่ทำเหมือนไม่มีอะไร ซ้ำครอบครัวยังไม่ดุด่าว่ากล่าวอะไร ขนาดที่ว่าเกรดแย่จนเกือบเรียนไม่จบยังไม่มีใครมากดดัน
เทียบกับฉันที่ต้องเป็นเลิศทุกอย่าง บางทีฉันก็รู้สึกว่าชีวิตเพื่อนคนนี้น่าอิจฉาจริงๆ
อ่า...ฉันยังไม่ได้เล่าชีวิตตัวเองเลยใช่ไหม จริงๆ ก็ไม่มีอะไรน่าเล่าหรอก พ่อแม่ตายตั้งแต่อายุ 15 ยายที่เป็นที่พึ่งเดียวก็ตายตอนฉันอายุ 20 ตอนนี้อาศัยอยู่กับน้าที่ก็...โอ๋ลูกตัวเองมากกว่าหลาน แล้วมากดดันให้ฉันเป็นเลิศทุกอย่างเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ครอบครัวเพราะว่าลูกตัวเองเรียนไม่เก่ง แต่นั่นคงจะเป็นเรื่องปกติของครอบครัวแบบนี้ละมั้งเนอะ
“ฮิฮิ ยัยกากติญ่ายี่สิบกว่าแล้วยังซิง...”
ทันใดนั้นคนเมาที่ไม่ได้สติอยู่บนเตียงก็พูดขึ้นมา คำพูดของเธอที่เอาแต่ย้ำเรื่องนั้นไม่เลิกมันทำให้ฉันเท้าเอวมองหล่อนด้วยความไม่พอใจ
“คนที่ใช้ชีวิตเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้อย่างเธอมีสิทธิ์มาว่าฉันอย่างนั้นด้วยหรือไง ร่างกายตัวเองก็หัดรักมันซะบ้างสิ”
ถึงฉันจะพูดไปเธอก็ไม่ได้ยินหรอก หรือถ้าได้ยินก็คงไม่มีความคิดที่จะฟังด้วยซ้ำ ฉันได้แต่เดินไปนั่งข้างๆ เธอบนเตียงนอนคิงไซซ์สีขาวสะอาดแล้วถอนหายใจไล่ความหนักอึ้งที่อยู่ในอกออกไป
“พูดไปเธอก็คงไม่เข้าใจหรอก คนรักสนุกแบบเธอน่ะ”
“งืมๆ”
เสียงครางน้อยๆ ที่เหมือนจะตอบรับยิ่งทำให้ฉันอยากระบายความรู้สึกออกมา ตั้งแต่พรุ่งนี้เราก็จะไม่ได้มีสถานะเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยนี้อีกต่อไปแล้ว ชีวิตผู้ใหญ่ที่น่าใจหายจะทำให้เราลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยทำตามความฝันตัวเองอย่างมีความสุขอยู่ตั้งหลายปี
“บางทีฉันก็อยากเป็นเหมือนเธอบ้างสักครั้งจังนะ ใช้ชีวิตแบบสุดกู่ ไม่ต้องคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง”
“อือ เหล้าจะตอบคำถามทุกอย่าง...”
คำพูดของคนเมาที่พูดออกมาอย่างไม่คิดด้วยซ้ำมันทำให้ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง สายตามองไปยังขวดเหล้าที่บรรจุน้ำสีใสเช่นเดียวกันเอาไว้ มันถูกวางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ เยื้องกับที่นอน ซึ่งก้าวไปแค่ไม่กี่ก้าวฉันก็จะเอามันมาอยู่ในมือได้อย่างง่ายดาย
เหล้าจะตอบคำถามทุกอย่าง อย่างนั้นสินะ...
ที่ผ่านมาฉันไม่เคยแม้แต่จะดื่มจนเมาปลิ้นอย่างไร้สติ เพียงเพราะต้องรักษาภาพลักษณ์คุณหนูคนเล็กของบ้านเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองต้องดื่มเหล้านี่
ฉันต้องดื่ม...อย่างน้อยก็ครั้งแรกในชีวิตที่จะได้ทำอะไรตามใจตัวเอง และมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ในฐานะวัยรุ่น
ความคิดนั้นทำให้ฉันหยิบมันขึ้นมากระดกเข้าปากอย่างไม่คิดมาก รสชาติของมันทั้งหวานฉ่ำและดื่มง่ายอย่างที่เคทลินว่าเอาไว้ไม่มีผิด ทว่าในตอนที่น้ำสีใสไหลลงผ่านลำคอ รสขมปร่าที่ปลายลิ้นก็เข้ามาพร้อมกลิ่นฉุนกึกที่ทำให้ร่างกายร้อนรุ่มไปหมด
มันเป็นความร้อนรุ่มที่แปลกประหลาด เพราะยิ่งร่างกายฉันมันร้อนฉันก็ยิ่งอยากดื่ม รู้ตัวอีกครั้งก็กระดกไปจนหมดขวดซะแล้ว
“เอิ้ก ก็ไม่...เท่าไร”
จะว่าไปฉันจะต้องโดนยัยเคทต้มเอาแน่ๆ ดื่มเข้าไปขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกเมาเลยสักนิดเดียว หรือจริงๆ ฉันอาจจะเป็นคนคอแข็งกว่าที่คิดก็ได้
แต่ว่า...ทำไมยิ่งดื่มร่างกายฉันมันยิ่งร้อนขึ้นล่ะ ร้อน...ร้อนเหมือนร่างกายจะละลายให้ได้ ตรงส่วนนั้นของฉันมันก็ปวดหนึบไปหมด อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นมันทำให้ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้
ฉันกำลังเดิน...เดินโดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังไปที่ไหน รู้ตัวอีกทีก็เห็นร่างสูงของใครบางคนอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาที่ยืนพิงกำแพงอยู่นั้นไม่ได้สนใจฉัน และฉันเองก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน
ฉันสนใจเพียงริมฝีปากของเขาต่างหาก
“ทำอะไรของเธอเนี่ย?”
ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มือทั้งสองข้างได้เอื้อมไปจับใบหน้าของชายหนุ่มเอาไว้ สายตาของฉันมันพร่าเบลอจนมองภาพตรงหน้าไม่ชัด แต่กลับเห็นริมฝีปากอมชมพูของเขาอย่างชัดเจน
“ยัยบ้า เธออยากให้ฉันฆ่าเธอจริงๆ ใช่ไหม...”
คำพูดนั้นหายไปเพราะฉันยื่นหน้าเข้าไปจูบเขา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอย่างนั้นไปทำไม แต่ร่างกายของฉันมันต้องการ...ต้องการมากๆ เลย
“คุณ...มาเป็นของฉันได้ไหมคะ?”
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ