(ตติญา)
รอดแล้วตติญา แกรอดแล้ว
ฉันรีบวิ่งกลับเข้ามาในงานอย่างไม่คิดชีวิต เชื่อไหมว่าเมื่อกี้รองเท้าเกือบหล่นกลางทางอย่างกับฉากในการ์ตูนไม่มีผิด ดีที่ฉันไหวตัวทันรีบกลับไปเก็บเพราะเห็นชายชุดดำหนึ่งในกลุ่มนั้นกำลังเดินตามมาเช่นกัน
โอ๊ย...นี่เขาจะเอาฉันตายให้ได้เลยใช่ไหม ฉันเคยได้ยินจากเคทลินมาบ้างเรื่องที่ในเมืองนี้มีมาเฟีย แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวซ้ำยังเป็นคนไทยด้วยกันอีกต่างหาก ตอนนี้หัวใจฉันยังเต้นแรงอยู่เลย มือไม้ก็สั่นจนทำอะไรไม่ถูก
“แกไปทำอะไรมา ทำไมชุดเปื้อนแบบนั้นล่ะ”
เข้ามาถึงหลังเวทีเคที่ก็พุ่งเข้ามาหาในทันที ฉันมองหน้าเธอแล้วพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ แต่มันก็ยากเสียเหลือเกิน ความรู้สึกของฉันเหมือนกำลังวิ่งหนีฆาตกรในหนังสยองขวัญไม่มีผิด แล้วไอ้ฆาตกรนั่นมันก็ยังอยู่บนเรือลำนี้ เรือที่กำลังแล่นอยู่กลางทะเล ไม่มีทางหนีมีแต่ตายลูกเดียว
อ๊ากกก นี่มันสถานการณ์อันตรายแล้ว ฉันควรจะทำยังไงดี ต้องบอกตำรวจดีหรือเปล่า
“แก แก!!”
“ฮะ”
เสียงตะโกนของเคททำให้ฉันได้สติ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเหม่อไปนานแค่ไหน แต่จากสายตาเคท มันคงผ่านไปนานมากแน่ๆ
“เป็นอะไรเนี่ย เจอเรื่องอะไรมาหรือเปล่าถึงได้หน้าเหวอแบบนั้น”
ฉันสะดุ้งน้อยๆ กับคำถามของเพื่อน จู่ๆ ลำคอก็แห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ในหัวของฉันนั้นเต็มไปด้วยความคิดมากมายทั้งเรื่องดีและไม่ดี อย่างแรกเลยคือฉันควรจะบอกเพื่อนไหม บอกไปแล้วเธอจะเชื่อหรือเปล่า หรือที่แย่ไปกว่านั้นคือทำให้เพื่อนกังวลจนทำลายวันจบการศึกษาของเธอ
ไม่ๆๆ ฉันไม่ควรบอก รอให้คืนนี้จบก่อนดีกว่า ในเมื่อมีคนเห็นเขาแล้ว ฉันไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำอะไรหรอก
“มะ...ไม่มีอะไรหรอก แค่ออกไปรับลมแล้วล้มน่ะ”
ฟังดูเป็นข้ออ้างไร้สาระที่สุดเท่าที่ฉันจะคิดได้ในตอนนี้เลย แต่พอเห็นว่าเคทไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร ฉันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะ เสร็จแล้วฉันจะทำผมให้ใหม่”
“อะ อืม”
ฉันกลับออกมาจากห้องแต่งตัวอีกครั้งในชุดเดรสฟูฟ่องที่เป็นเดรสสั้น นี่เป็นชุดสำรองที่ทางมหา’ลัยได้เตรียมเอาไว้ให้ ปกติแล้วฉันไม่ชอบใส่เดรสสั้นเพราะมันจะโชว์เนื้อขาของฉันเยอะเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามากังวลแล้ว อีกอย่างความกังวลของฉันอยู่ที่อย่างอื่นมากกว่า
หลังจากที่เคททำผมให้ใหม่แล้วพวกเราก็ไปรวมกับนักศึกษาคนอื่นๆ ที่ด้านหน้าเวทีตามประกาศของพิธีกร ก่อนจะมีการเดินโชว์ของนางแบบ จะต้องแนะนำตัวดิไซเนอร์แต่ละคนก่อน ในขณะที่พวกเรากำลังโพสท่ารวมอยู่บนเวที สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนที่เพิ่งเข้างาน เพียงแค่เห็นสายตาคมกริบของชายคนนั้นที่มองตรงมาที่ฉัน ทั้งตัวก็แข็งทื่อจนทำอะไรไม่ถูก
เขาเข้ามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะรอเด็ดหัวฉันทันทีที่งานจบ
ไม่นะ...ทั้งที่คิดว่ารอดแล้วแท้ๆ ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วย วันนี้นอกจากแฟชั่นโชว์ก็ยังมีศิลปะ ดนตรี การแสดง อย่างอื่นอีกตั้งเยอะแยะ ทำไมเขาต้องมาที่นี่
หรือว่าจะเป็นคราวซวยของฉันแล้วจริงๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าญ่า ฉันว่าสีหน้าแกไม่ค่อยดีเลยนะ”
เป็นเคทที่สังเกตเห็นมันอีกครั้ง ฉันรู้ว่าคงซ่อนอาการของตัวเองจากเพื่อนได้ไม่มิดหรอก แต่มันก็ยังลำบากใจที่จะบอกออกไปอยู่ดี
“หรือว่า...จะเกี่ยวกับคุณคามินทร์?”
คำถามของเพื่อนทำให้ฉันหันไปหาเธอด้วยความงุนงง ชื่อที่เธอพูดออกมานั้นคุ้นหูอยู่สักหน่อย หรือว่าจะ...ชื่อที่ได้ยินบนดาดฟ้านั่น คือชื่อของชายคนนั้นงั้นเหรอ?
“เขาคือใครเหรอ?” ฉันแกล้งถามทำเป็นไม่รู้จัก
“คนที่แกมองอยู่คนนั้นไง ที่กำลังเดินมานั่งหน้าเวทีน่ะ”
ฉันมองกลับไปยังด้านหน้าอีกครั้ง ตอนนี้เขาได้ทิ้งพรรคพวกเอาไว้ข้างหลังแล้วตรงมานั่งที่แถวหน้าเป็นที่เรียบร้อย ข้างกันนั้นเป็นบก.จากนิตยสารชื่อดังของเมือง พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันเป็นอย่างดี นั่นทำให้ฉันกังวลมากกว่าเดิมถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ด้านเคทลินเธอยังไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะถึงคิวเธอที่ต้องออกไปโชว์ตัว ทว่าเมื่อเรากลับมานั่งที่ของตัวเองตรงด้านล่างเวทีแล้ว เธอก็เริ่มเล่าเกี่ยวกับประวัติของชายคนนั้นให้ฉันฟัง
“นั่นน่ะทายาทคนที่สองของตระกูลคัลเลน เห็นว่าเป็นลูกครึ่งจีน-อิตาลี แต่ว่ามีเชื้อชาติไทย เกิดและโตที่เมืองไทย หน้าที่การงานก็ไม่ต่างจากมาเฟียหรอก ธุรกิจสีเทาที่เป็นธุรกิจระหว่างประเทศเป็นของเขาทั้งนั้น”
“เธอดูรู้จักเขาดีจังนะ”
ช่วงนี้จะเป็นการโชว์ผลงานของนักศึกษาปีสาม ซึ่งได้รับการคัดเลือกมาแค่คนละ 1 ชุดต่อคน ราวๆ 15 ชุดได้ เลยทำให้พวกเรามีเวลานิดหน่อยสำหรับคุยนั่นคุยนี่กัน ระหว่างนี้ก็มีการแจกกระดาษสำหรับประเมิน เพื่อให้รุ่นพี่ประเมินรุ่นน้องเป็นการสอบในรายวิชาการตลาดต่อไปอีกด้วย
ระหว่างที่ฉันหยิบกระดาษขึ้นมาประเมินตามหน้าที่ เคทก็พูดต่อโดยที่มือก็ทำเช่นเดียวกับฉัน
“ก็ต้องรู้จักดีสิ ที่นี่ไม่มีใครไม่รู้จักเขาหรอก ก็เขากับตระกูลของเขาน่ะดังจะตาย”
งั้นคนเดียวที่ไม่รู้จักเขาก็คงเป็นฉันนั่นแหละ แต่ตอนนี้อยากจะบอกว่าฉันยิ่งกว่ารู้จักซะอีก แต่มันเป็นการรู้จักที่ไม่ประทับใจเอาซะเลย ฉันอยากจะไปโขกหัวแรงๆ เซ่นความโง่ไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเอง ถ้าเกิดว่าฉันไม่ไปรู้เรื่องนั้นเข้า พิธีจบการศึกษานี้ของฉันก็คงไม่เป็นไปด้วยความอึดอัดอย่างนี้หรอก
“แต่ว่านะ ยิ่งเขาดังมากเท่าไรก็ยิ่งน่าสนใจ แกรู้ไหม”
คำพูดของเคททำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเธอด้วยความไม่เข้าใจอีกครั้ง
“หมายความว่าไง?”
“ก็นะ...หาได้ยากที่จะได้อยู่ในที่แบบนี้กับหนุ่มฮอตอย่างเขา ฉันได้ยินมาว่าเรื่องผู้หญิงเขาน่ะที่หนึ่งเลย คนอย่างนี้แหละสเปกเลย”
“เดี๋ยวๆๆๆ แกจะมาบอกว่าใครสักคนเป็นสเปกในวันจบการศึกษาไม่ได้นะ ที่นี่ไม่ได้”
เห็นท่าทางกอดอกอย่างภาคภูมิใจพลางส่งสายตาให้อีกฝ่ายของเคทลินแล้วฉันรู้สึกเครียดแปลกๆ เธอไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังเล่นกับอะไรอยู่ นั่นมาเฟีย มาเฟียนะเฮ้ย! ฉันคงไม่รู้สึกอะไรหรอกกับการที่เธอจะเล็งผู้ชายสักคนไปนอนด้วย ถ้าเกิดว่าฉันดันไม่ไปเห็นฉากสยองเข้ากับตาแถมเพิ่งโดนเขาขู่ฆ่ามาด้วย
“ไม่ได้เด็ดขาดเคที่ คนนี้ฉันขอห้าม”
ได้ยินอย่างนั้นเธอก็หันมาเลิกคิ้วถาม
“ทำไม? จะเก็บไว้กินเองหรือไง”
“ฉันเปล่านะ...”
ใครมันจะไปอยากกินผู้ชายแบบนั้นกัน เห็นอย่างนี้แต่ฉันก็โสด ซิง ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อนในชีวิต ขนาดมือตัวเองยังไม่เคยเลย ถ้าต้องเอาซิงไปทิ้งกับคนอย่างนั้น ฝันไปเถอะ
“ก็ถ้าเปล่าแกจะห้ามฉันทำไม”
“คนนั้นอันตราย แกก็น่าจะรู้นี่”
“อื้อ ก็เพราะรู้ไงเลยอยากได้ อยากได้มากด้วย”
“เคท...” ฉันเรียกเพื่อนเสียงต่ำ แสดงสีหน้าให้มันรู้ว่าครั้งนี้ฉันขอแล้วจริงๆ แต่ถามว่าได้ผลไหมกับคนอย่างยัยนี่
ไม่ค่ะ!
“ทางเดียวที่ฉันจะหยุดคือผู้ชายคนนั้นเป็นของแก จบนะ ไม่เอาก็อย่าพูดมาก”
แกจะบีบฉันให้ได้เลยใช่ไหมยัยเคท จะต้องให้ฉันงัดไม้ตายออกมาให้ได้เลยใช่ไหม...งั้นก็ได้
“เออ คนนี้ฉันอยากได้ พอใจแกยัง?”
น้ำเสียงของฉันฟังออกอย่างชัดเจนว่ากำลังประชดประชัน แต่เพื่อนรักกลับยิ้มกรุ้มกริ่มตอบกลับมา
“ไม่พอใจค่ะ พูดแค่ปากใครจะไปเชื่อ”
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะเชื่อ?”
“คืนนี้ก็ขึ้นเตียงกับเขาให้ได้สิ”
ฉันไม่น่าเลย ปล่อยให้มันถูกฆ่าตายหมกทะเลไปดีไหมเนี่ย ที่ฉันทำอยู่นี่คือการปกป้องแกนะยัยเคทยังจะมาทำเป็นเล่นอยู่ได้ โธ่เว้ย
ในขณะที่ฉันกำลังหงุดหงิดกับเพื่อนของตัวเองอยู่นั้นสายตาก็ได้หันกลับไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเขาเองก็กำลังมองมาทางนี้เช่นกัน ความรู้สึกเย็นวาบเกิดขึ้นที่กระดูกสันหลัง จนฉันต้องกลับมานั่งหลังตรงด้วยความรวดเร็ว
ดูท่าว่าทางเลือกของฉันในตอนนี้จะมีแค่สองทางเท่านั้น หนึ่งคือปล่อยเพื่อนไปตาย สองคือเข้าไปตายด้วยตัวเอง...
แง ทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นเลย
(ตติญา)ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะได้พูดคำนี้ออกมาเหมือนกัน แต่รู้ตัวอีกที ทุกอย่างก็ผ่านไปหลายปีแล้ว คิรินโตแล้ว กำลังจะขึ้นอนุบาล 3 ปีนี้ และลูกสาวคนเล็กที่มาพร้อมเรือนผมสีเทาเข้มเหมือนพ่อของเขา น้องดิว ชื่อดิว Dwyn มาจากภาษาเวลส์ แปลว่า คลื่นทะเล ฉันตั้งชื่อพี่ชายว่าคิริน ที่แปลว่า ภูเขา เพราะตอนที่หนีจากคามินทร์มา ภาพที่เห็นตรงหน้าเวลาร้องไห้มีแต่ภูเขาที่อยู่เป็นเพื่อน พอมีลูกสาวอีกคน ฉันอยากให้ชื่อนั้นสื่อถึงความทรงจำแทรกที่พ่อแม่ได้เจอกัน นั่นก็คือ ทะเล...ดิวเป็นเด็กที่สุขุมผิดกับเด็กหญิงทั่วไปลิบลับ เธอนั้นไม่ค่อยซุกซน พูดจาดูเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังใจเย็นและรู้ความ ผิดกับพี่ชายที่นับวันยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ทั้งกวนส้นเท้าและเกรียนยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเมื่อก่อนสมัยอยู่เชียงใหม่ คิรินไม่ได้มีเพื่อนเล่นที่ไหนเลยนอกจากแม่ พอลงมาอยู่ที่นี่ก็มีลูกน้องของพ่อมาเล่นด้วย มีชัลก้า มีดิวและนับดาวที่เกิดไล่หลังมาไม่กี่ปี และตอนนี้ก็ยังมีน้องจินนี่อีก ครอบครัวเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของผู้ใหญ่และเด็กๆ ไปซะแล้วส่วนบ้านที่เชียงใหม่ บ้านที่แม่นวลยกให้เ
(พาร์ทพิเศษ ราล์ฟ)สำนักข่าวราล์ฟฟี่ รายงาน สวัสดีครับผมราล์ฟ ผู้ครองตำแหน่งมือขวาคนใหม่ของบอสแล้วยังเป็นพี่เลี้ยงเด็กดีเด่นประจำปีอีกด้วย ช่วงนี้ชีวิตผมค่อนข้างที่จะมั่นคง แม้ใครจะบอกว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน ตำนานจะคงอยู่ตลอดไป ส่วนผมนั้นตั้งใจจะเป็นทั้งตำแหน่งและตำนาน ไม่มีใครมาโค่นล้มลงไปได้ก่อนหน้านี้ตำแหน่งมือขวาของบอสไม่ใช่ของผมหรอกนะครับ แต่เป็นของคุณจาเรด ชายผู้ฝีมือดีที่สุดและยังเป็นคนที่บอสไว้วางใจเป็นอย่างมาก ผมต้องนึกขอบคุณเขาเลยนะที่ถูกจับตัวไปในครั้งนั้น เลยทำให้ผมได้มีโอกาสแสดงฝีมือกับเขาบ้างตอนนี้อย่าว่าแต่ปกป้องบอสเลย หน้าที่เล็กใหญ่ในแก๊งตั้งแต่ดูแลแมวยักษ์อย่างชัลก้า หรือแม้แต่การดูแลบอสน้อยของเราอย่างคุณคิริน ก็เป็นของผมไปหมด“ทำให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง!!!”ส่วนคุณจาเรดที่ก่อนหน้านี้คือคนโปรดของบอส กลับถูกลดระดับมาเป็นเพียงครูฝึกให้แก่เด็กใหม่ที่เข้ามาในแก๊งเสียอย่างนั้น แต่แม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่เรื่องชื่อเสียงของเขาในหมู่เด็กใหม่นั้นไม่ได้ก้อยลงเลย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณจาเรดครูฝึกคนใหม่นั้น ทั้งดุ โหด แล้วไม่มีโหมดคิตตี้ให้
(คามินทร์)“ใจร้ายจังเลยนะ คิรินเป็นเหลนย่าแท้ๆ ทำไมไม่รู้จักบอกย่าเสียบ้าง รู้ไหมว่าใจแทบขาดตอนรู้จากปากน้ำหวานว่าหนูเจออะไรมาบ้าง”ตอนนั้นผมบอกว่ากลัวจะถูกย่าบ่นใช่ไหมครับ ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะมีคนมารับแทน ติญ่านั่งหง็อยอยู่หน้าโซฟาโดยมีคิรินนั่งเล่นกับชัลก้าอยู่ ส่วนผมนั้นลอยตัว สามารถนั่งเอกเขนกได้อย่างสบายใจแต่ก็สบายใจได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น พอเห็นว่าหลานสะใภ้ท่าทางน่าสงสาร ย่าก็ได้เบนเข็มมาที่ผมแทน“แกนี่แหละตัวต้นเหตุไอ้หลานเวร ทำอะไรไม่คิดจนทำให้หนูญ่าต้องหนีไป สำนึกบ้างไหม ขึ้นไปนั่งบนโซฟาสบายใจไม่ดูเลยว่าเมียนั่งพื้น ลงมา!”“อ้าวย่า ปกติเราก็นั่งพื้นดูหนังกันบ่อยออก นั่งสบายกว่าโซฟาอายุหมื่นปีของย่าอีก”“ไอ้หลานเวรนี่ อยากปากแตกตายใช่ไหมฮะ”บรรยากาศในบ้านของผมกลับมาครึกครื้นอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนหน้านี้ทั้งเรื่องของน้องดาทำให้ไอ้วินทร์ดูซึมๆ และไม่ยอมเข้าบ้านเลยตลอดสามปี จนกระทั่งช่วงเดือนก่อนที่ติญ่ากลับมาทำห้องเสื้ออีกครั้ง และดึงเอาน้องดามาร่วมงานด้วย เราเลยได้มีโอกาสพูดคุยกันแบบครบทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรกอันที่จริง...จะว่าครบก็ไม่ครบนัก เพ
เขาว่ากันว่า ความฝันของหญิงสาวทุกคน คือการได้ใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองรัก เชื่อไหมคะ ตอนที่ฉันยังทำงานอยู่ในสตูดิโอที่เชียงใหม่ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใส่ชุดแต่งงานพวกนั้นอีกครั้ง คิดแค่ว่าแค่ได้มองผู้คนยิ้มมีความสุขกับครั้งหนึ่งที่แสนสำคัญในชีวิต แค่นั้นก็มากพอแล้วแต่ไม่คิดว่าฉันจะได้สวมมันอีกครั้ง อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้...คนเดียวกับที่ฉันเคยบอกว่าไม่มีวันรักเขาได้ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเพื่อเข้าสู่แท่นพิธีที่มีเจ้าบ่าวชุดขาวยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขามองมาที่ฉันแล้วก็ยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สะกดฉันได้แทบทุกครั้ง รอยยิ้มและสายตาคู่นั้นเขาไม่เคยใช้มองใครเลยนอกจากฉัน มันเป็นของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น...“แม่ค้าบ คิยินหย่อกว่าปะป๊าหยือป่าว”ฉันคงลืมบอกไป วันนี้คนที่จูงฉันเข้าสู่แท่นพิธีไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าคิรินน้อยนี่เอง เขาตื่นเต้นมากๆ เพราะพี่เลี้ยงทุกคนเอาแต่พูดกรอกหูว่า เนี่ยนะ มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่จะได้อยู่ในงานแต่งงานของพ่อแม่ตัวเอง เขาคือคนพิเศษ แค่นั้นแหละเจ้าเด็กก็ดีใจใหญ่ เขาเป็นคนที่ตื่นเต้นกับงานแต่งงานในครั้งนี้ไม่แพ้คนที่แต่งเ
“ปล่อยเมียฉันซะพิมพิ ถ้าเธอไม่อยากโดนเป่าหัวกระจุยตอนนี้”เสียงของคามินทร์ที่ดังขึ้นหยุดทุกอย่าง ฉันลืมตาขึ้นมามองภาพตรงหน้าก่อนจะพบว่าเขากำลังเอาปืนจ่อที่หัวของคนที่พยายามจะฆ่าฉัน ทว่ายังไม่ทันที่พิมพิจะได้ตอบโต้ คอเสื้อของเธอก็ถูกดึงอย่างแรงจนร่างปลิวไปกระแทกเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกล หลังจากนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงกับพื้น“ปล่อยฉันนะไอ้พวกบ้า ปล่อยฉัน ปล่อย!!!”เสียงโวยวายของเธอดังไปทั่วห้อง ดังจนฉันเห็นสีหน้าหงุดหงิดของทุกคนในห้องนี้ คามินทร์ตรงเข้ามาหาฉันอย่างเงียบๆ ก่อนที่เขาจะออกแรงดึงฉันเข้าไปแนบอกแล้วกอดเอาไว้แน่นความกลัวทุกอย่างก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งถูกระบายออกมาผ่านม่านน้ำตาเมื่อได้สัมผัสกับอ้อมกอดของเขา...มันเป็นอ้อมกอดที่...ทั้งอบอุ่นแล้วก็ปลอดภัยที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับมาเลย...“ฮึก...”“ขอโทษที่มาช้านะ”มันเป็นอย่างนั้นเสมอ อ้อมกอดของเขามันทั้งอบอุ่น ปลอดภัย แล้วก็ทำให้ฉันไม่หวาดกลัวอะไรอีกต่อไป ฉันไม่ได้ยินเสียงของพิมพิที่ร้องตะโกนเหมือนคนบ้า ไม่ได้ยินความวุ่นวายอะไร มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ดังอยู่ข้างหูฉันกลัว...กลัวเหลือเกินว่าอาจจะไม่
(ตติญา)“พี่ฟอง หนูฝากตรงนี้ด้วยนะคะ ดูแลแขกด้านหน้าด้วยค่ะ”ไม่คิดเลยนะ ว่าฉันจะได้จัดงานศพให้แม่นวลเร็วอย่างนี้เลย ตั้งแต่เด็กฉันคิดว่าตัวเองโชคร้ายมากๆ เจอเรื่องร้ายต่างๆ จนไม่น่าจะเจออีกแล้วหลังจากนี้ อย่างที่เขาว่ากันว่าฟ้าหลังฝนมักสวยงามเสมอ แต่ชีวิตฉันมันคงยังอยู่ท่ามกลางพายุ ไม่เจอฟ้าหลังฝนที่ว่าสักทีล่ะมั้งหวังแต่เพียงว่า ขอให้นี่เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกฉันหลบจากทางหน้าฝานที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนมีหน้ามีตาอะไรมากมายเพราะนี่ก็เป็นแค่งานศพของแม่บ้านคนหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกัน รวมทั้งป้าๆ แถวนี้ที่รู้จักแม่นวลมาหลายปีที่หน้าโลงศพของแม่นวล ฉันเป็นคนจัดดอกไม้เองทุกดอก แม้ว่าท่านจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่ว่าก็มีดอกไม้ที่ชอบอยู่ดอกหนึ่งแม่นวลเคยเอารูปให้ฉันดู ตอนนั้นท่านไม่รู้ชื่อ แต่เห็นแล้วชอบมันมากๆ ยิ่งพอได้รู้ความหมาย ท่านก็ยิ่งชอบจนใฝ่ฝันว่าอยากเอามาปลูกภายในบ้าน แต่น้าพาแพ้เกสรดอกไม้เลยทำได้แค่ตั้งเป็นภาพหน้าจอมือถือดอกไม้ชนิดนั้นคือ บลูบอนเน็ต ดอกไม้ที่มีความหมายแสนเศร้า แม้ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ขอไ