ศิลาแดง
“ โธ่เอ้ย!!” เจ้าไฟโอดร้องคร่ำครวญทั้งยังปัดข้าวของบนโต๊ะในห้องทำงานของตัวเองกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น สาเหตุเนื่องมาจากว่าเขาส่งคนไปเอาคืนพิทักษ์ แต่มันกลับไม่สำเร็จ “ ผมขอโทษนะครับบอส” การ์ดที่รับหน้าที่นี้ รีบก้มหน้าขอโทษยกใหญ่ ท่าทีของเขาลนลานเนื่องจากกลัวว่าจะโดนทำโทษ “ ช่างมัน! มันคงจะไหวตัวทัน เราก็เลยทำอะไรมันไม่ได้” เจ้าไฟถอนหายใจแรง มือของเขากำแน่น “ แต่อย่าคิดว่ากูจะยอมมันแค่นี้นะ มันทำกับน้องกูถึงขั้นเลือดตกอย่างออก มันก็ต้องชดใช้ให้สาสม” เขากัดฟันพูดด้วยความฉุนเฉียว “ ทำกูกูไม่ว่า แต่มาทำให้คนในครอบครัวกูแบบนี้ กูไม่ยอม!!!” ผัวะ!!!! ฝ่ามือของเขาที่เคยกำแน่น คลายออกและตบลงที่โต๊ะเสียงดัง แสดงออกถึงความโกรธแค้นของเจ้าของมันได้อย่างชัดเจน “ บอลครับ บอส!” เอลิกวิ่งพรวดพราดเข้ามาพร้อมซองเอกสารในมือท่าทีของเขาดูเหนื่อยหอบแต่แฝงความตื่นเต้นดีใจอยู่ในแววตา เจ้าไฟเห็นแบบนั้นเขาก็กอดอกพลันรีบหันไปมอง “ แกมีอะไร” เอลิกยิ้มจางพลางยื่นซองในมือให้นาย “ ที่บอสสั่งผมว่าให้ส่งคนไปตามสืบดู ผมได้รู้อะไรดีๆ มาด้วยครับ เป็นเรื่องที่นายพิทักษ์ปิดบังมาตลอดหลายปี” คนฟังดูมีท่าทีตกใจไม่น้อยเขารีบคลายมือจากการกอดรัดแล้วรับซองในมือลูกน้องมาเปิดดู ซึ่งข้างในเผยให้เห็นประวัติของผู้หญิงคนหนึ่ง “ กีรติกร มณีรัตน์ ?” คิ้วหนาของเขาขมวดมุ่น “ มันเกี่ยวอะไรกับไอ้พิทักษ์วะ” เขาเงยหน้าถามต่อเอลิก คนถูกถามก็กระตุกแว่นตาเล็กน้อยด้วยรอยยิ้มก่อนจะตอบกลับ “ ผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวของนายพิทักษ์ครับ” “ หะ! ไอ้นี่มันมีลูกมีเมียด้วยเหรอ” เจ้าไฟอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ใบหน้าของเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าแผนการ “ ใช่ครับ มันมีเมีย แถมไม่ได้มีแค่คนเดียวด้วย แต่ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน เพราะมันคงจะตั้งใจปิดบังไว้ อย่างที่เรารู้กันว่ามันสร้างศัตรูไปทั่ว มันก็คงจะกลัวถึงความปลอดภัยของลูกและเมียมันนั่นแหละครับ” เอลิกอธิบายอย่างตรงไปตรงมา แต่เจ้าไฟกลับแสยะยิ้มมุมปาก “ หือ ร้ายกาจเหมือนกันนี่ไอ้พิทักษ์ ตัวเองลอบแต่จะทำร้ายครอบครัวคนอื่น แต่พอครอบครัวตัวเอง กลับปกปิดไม่ให้ใครรู้” สีหน้ามุ่งมั่นแฝงไปด้วยความโมโหของเจ้าไฟผุดขึ้นมาในทันที ในระหว่างที่รอให้เอลิกประมวลผลความคิดและบอกข้อมูลแก่เขา “ เห็นว่าเมียคนนี้ไม่เคยติดต่อ ขอค่าเลี้ยงดูจากนายพิทักษ์ด้วยนะครับ แต่ว่านายพิทักษ์มันจะชอบส่งลูกน้องไปสอดส่องดูสองแม่ลูกนี้อยู่ห่างๆ ตลอด ถ้าจะพูดให้ฟังดูง่ายขึ้นก็คือ” เอลิกเว้นช่วงเล็กน้อย “ เมียคนนี้น่าจะตั้งใจพาลูกคนนี้หนีมันไปครับ” คนฟังพยักหน้าแล้วเปิดดูเอกสารในมือไปมาด้วยคิ้วขมวด “ แล้วรูปล่ะ?” เอลิกทำหน้าฉงน แล้วรับซองเอกสารคืนมาเพื่อหาดู แต่มันกลับไม่พบอะไรอีกแล้วภายในนั้น “ อ่า สงสัยผมเผลอทำตกตอนเอามาแน่เลย แต่ไม่เป็นไรนะครับบอสผมจำหน้าเธอได้อยู่” เจ้าไฟถอนหายใจแรงให้ความโกะของลูกน้อง แต่เขาก็ต้องยิ้มร่าเมื่อฟังคำพูดต่อไป “ และผมก็ได้ที่อยู่เธอมาแล้วด้วย ผมจะพาบอสไปเองครับ ถ้าบอสต้องการ” เจ้าไฟยิ้มมุมปากจ้องหน้าเอลิก “ อืม พรุ่งนี้!! ไปพรุ่งนี้เลย !!” เจ้าไฟยืนตัวตรงและหันไปมองนอกบานหน้าต่างกระจกที่เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิทไม่มีแม้แสงของดวงดาว “ ในเมื่อมันชอบลอบกัดคนอื่นผ่านครอบครัว กูก็จะลอบกัดทำร้ายมันกลับผ่านทางครอบครัวของมันเหมือนกัน” เขาพูดด้วยท่าทีหนักแน่นแววตาแฝงไปด้วยไฟแห่งความโกรธ ที่มันเป็นแบบนี้ เหตุมันเกิดจากตั้งแต่ที่ตัวเขา อนาลา ศิลาหัตร์ทัย เรียนจบมาทำงาน ก็ถูกมัน พิทักษ์ พงษ์สกร หยกทอง โผล่เข้ามาทำร้ายขัดขวางทั้งด้านการทำธุรกิจและค้าขาย เข้ามาตั้งตัวเป็นศัตรู จนตัวเขาต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้ง ทั้งที่ตัวเขาเองแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทำอะไรให้มัน และครั้งนี้มันก็หนักเกินที่เขาจะทนไหว ในเมื่อมันเล่นมาถึงครอบครัวที่เขารัก อนาลา หรือ เจ้าไฟคนนี้จะไม่มีวันยอม ความแค้นมันก็ต้องชำระด้วยการแก้แค้นเท่านั้น!!! บ้านของแก้มขวัญ รุ่งเช้าที่ตะวันยังไม่โผล่พ้นขึ้นมาทักทาย ตรงถนนดินแดงไม่ไกลจากตัวบ้านไม้ทรงสูงหลังนั้น มีสองร่างน้อยใหญ่กำลังโบกมือล่ำลากันอยู่ “ ขับรถกลับบ้านดีๆ นะคะพี่นีวาย” แก้มขวัญวางมือลงแนบข้างตัวพลางเอ่ยกับนีวายด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “ อืม น่าเสียดายถ้าพี่ไม่ติดงานว่าจะอยู่รอชิมขนมที่น้องเป็นคนทำสักหน่อย” คนพี่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย ทีแรกเขาคิดว่าบ่ายวันนี้ถึงจะกลับแต่ดันมามีธุระด่วนเสียอย่างนั้น “ ไม่เป็นไรหรอกพี่ ไว้วันหน้าว่างก็มาใหม่ได้ทุกเมื่อเลย เดี๋ยวแก้มจะทำให้ทานเอง” หญิงสาวเอ่ยด้วยความร่าเริง และรอยยิ้มอันสดใส “ จ้ะ งั้นพี่ไปแล้วนะ” ชายหนุ่มลาหญิงสาวด้วยความอาลัยอาวรณ์ เพราะไม่คิดว่าแค่นั่งคุยกันคืนเดียว และวาดรูปเล่นกันจะทำให้เขาผูกพันกับเธอได้ขนาดนี้ คงอาจจะเพราะเด็กสาวเข้ากับคนง่ายด้วย เขาถึงได้รู้สึกเหมือนว่ารู้จักเธอมานานมากแล้ว แต่ถ้าเขากลับไปวันนี้ก็อีกหลายวันเลยกว่าจะได้แวะมาอีก แย่จัง เขาจะนอนหลับไหมนะ หากไม่ได้เห็นหน้าเธอเป็นเวลานาน “ บายๆ” เมื่อรถของนีวายขับหายไปกับถนน แก้มขวัญก็เดินกลับมาหาแม่ตรงแคร่ใต้ทุนบ้าน ขาเล็กเดินผ่านไปที่หม้อนึ่งขนมถ้วยใบเตยของเธอ ก่อนจะชะงักให้คำถามของมารดา “ แก้มชอบพี่นีวายหรือเปล่าลูก” “ อะแห๋ก!” แก้มขวัญที่กำลังจับเอาขนมเข้าปากถึงกับสำลัก “ แม่!! ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะจ๊ะ” เธอรีบหันขวับแล้วเดินมานั่งข้างมารดา “ เขาก็เป็นคนดีนี่ลูก แม่ดูออกนะ” คำว่าดูออกของกมลนั่นก็คือเซ้นส์ของเธอ ที่มีลางสังหรณ์ดี ดูอะไรไม่เคยพลาด “ เขาเป็นคนดีมันก็จริงน่ะแม่ แต่แก้มเพิ่งจะพบเขา รู้จักพี่เขาแค่วันเดียว แม่มาถามแบบนี้แก้มตกใจนะรู้ไหม แม่คิดจะจับคู่ให้แก้มเหรอ” กมลอมยิ้ม “ ก็แม่อยากให้ลูกของแม่ได้รักกับคนดีๆ นี่น่า” เพราะรังสีที่แผ่ออกมาจากตัวพ่อหนุ่มคนนั้นมันบอกว่าอนาคตเขาจะรักลูกแม่และทำให้ลูกแม่มีความสุข ระหว่างที่กมลกำลังมีความสุขกับความคิดของตัวเอง แก้มขวัญก็เรียกแม่เสียงดังเพื่อดึงสติ “ แม่คะ!!” หญิงสาวจับมือเหี่ยวของแม่ขึ้นมา “ถ้ามันถึงเวลา เดี๋ยวแก้มจะหาเอง แต่ตอนนี้แก้มยังไม่คิดเรื่องนั้นสักหน่อย” “ คิดไว้ก็ดีนะลูก เพราะถ้าแม่เกิดเป็นอะไรไปใครจะอยู่กับหนูล่ะ” กมลลูบมือลูกสาวเบาๆ พลางสายตาก็แฝงไปด้วยความกังวล ทำเอาคนฟังถึงกับชะงักเอะใจ “ ทำไมแม่พูดแบบนี้จ๊ะ แม่ยังจะอยู่กับแก้มอีกนานใช่มั้ย หรือมีอะไรที่แม่ไม่ได้บอกแก้มหรือเปล่า” แก้มขวัญเอ่ยในสิ่งที่เธอกลัวออกมา กมลนิ่งเงียบก่อนรีบส่ายหน้าเลิ่กลั่ก “ บ้า! ถ้าขนมพอขายแล้วก็หาบไปขึ้นแผงขายนะ วันนี้แม่ขอพักอยู่ที่บ้านสักหน่อย บ่ายๆ แม่ถึงจะออกไปหา” มารดารีบเปลี่ยนเรื่อง พลันลุกแล้วเดินขึ้นบ้าน“ แม่ของเธออาการทรุด เพราะภาวะแทรกซ้อนกับโรคที่เป็นอยู่ ฉันเลยพาไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็มารอเธอที่บ้านเพราะไปหาที่ตลาดแล้วไม่เจอ ตอนนี้แม่เธอรอเธออยู่” เจ้าไฟพูดด้วยเสียงไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย เธอกล้าดียังไงมาทำร้ายเขาทั้งๆ ที่เขายอมลดตัวมานั่งรอเธอตั้งหลายชั่วโมง คิดแล้วเขาก็เหยียบคันเร่งจนมิด “ ไม่!! ไม่ใช่ความจริง แม่ฉันแข็งแรงจะตาย” แก้มขวัญไม่อาจจะเชื่อที่เขาพูด แต่ตัวเธอกลับสั่นไปมาเพราะความรู้สึกของเธอมันสังหรณ์บอกกับเธอว่าเขาไม่ได้โกหก แต่ใจของเธออยากให้เขาแค่โกหก ให้เขาหลอกเธอไปฆ่าไปขายทิ้งซะยังดีกว่าอีก คิดแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลพร่า ดวงใจดวงน้อยสั่นไหวดั่งรับรู้ว่าแม่คงจะรอเธออยู่จริงๆ ระหว่างที่แก้มขวัญกำลังร้องไห้ เจ้าไฟก็แอบเหลือบมองเธออยู่หลายครั้ง ยิ่งเห็นริมฝีปากที่แดงระเรื่อของเธอ มือข้างหนึ่งของเขาก็เผลอยกขึ้นทาบปากตัวเอง เมื่อกี้เขาโมโหหนักแต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหยุดเธอด้วยการจูบ คิดแล้วเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะถ้าเป็นคนอื่นมาแหกปากต่อหน้า เขาคงจะตบให้ปากแตกแทนที่จะคิดทำเช่นนั้น ไม่นานรถของเขาก็มาจอดที่โรงพยาบาล แก้มขวัญรีบเปิดประตูลงรถและวิ่งเข้าไปข้างใน “ แก้มขวัญ” เมื่อ
“ แกเป็นอะไรกมล” นุ่นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกับกมล วันนี้ได้เดินมาหาหวังจะคุยเล่นกันที่บ้าน แต่ดันเจอเพื่อนนั่งซึมเศร้าอยู่บนแคร่ จึงได้เอ่ยถามอย่างห่วงใย “ นุ่น ฉันมีอะไรจะบอกแล้วก็ปรึกษาแกว่ะ” “ พูดมาสิ” นุ่นนั่งขัดสมาธิลงข้างเพื่อนพร้อมกับสีหน้ารอรับฟังซึ่งน่าจะเตรียมพร้อมมาตั้งแต่ที่บ้านแล้ว “ ฉันป่วยหนัก ใกล้ตายแล้วน่ะ” “ หะ ล้อเล่นปะ ฉันยังเห็นแกแข็งแรงดีอยู่เลยกมล อย่ามาอำกันสิ” “ ก็เพราะว่าฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันใกล้ตายไงล่ะ” นุ่นฟังแบบนั้นจากที่มีสีหน้าขำขันก็พลันเงียบไปในทันที เธอจ้องหน้าเพื่อนที่กำลังก้มหน้าเศร้าก่อนเอ่ยถามแผ่วเบา “ แล้วแกเป็นโรคอะไรเหรอ” กมลถอนหายใจเบาๆ ให้กับคำถาม “ ฉันเป็นมะเร็งปอด แล้วก็มีภาวะหัวใจร่วมด้วย ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันไหน มันอาจไปได้ทุกเมื่อเลยนะเว้ย” มือของกมลนั้นสั่นไปมาขณะที่เธอเอ่ย นุ่นรีบยื่นมือมาจับมือเพื่อนเอาไว้ “ แก…” “ สิ่งเดียวที่ฉันห่วงมากตอนนี้ก็คือแก้มขวัญ ถ้าฉันตายแก้มมันจะอยู่ยังไง ฉันไม่ต้องการให้มันกลับไปอยู่กับพ่อ ฉันอยากให้มีคนมาพามันหนีไอ้พิทักษ์ไปไกลๆ เลย ใครมันจะทำให้ฉันได้บ้างไหมวะแก” กมลพูด
“ ขอบใจนะจ้ะ โอกาสหน้ามาใหม่นะ ทำสดใหม่ทุกวันเลย” เมื่อแก้มขวัญขายขนมให้ลูกค้าคนสุดท้ายที่มารอซื้อเสร็จ เธอก็เท้าเอวหันมามองชายแปลกหน้า ตัวใหญ่อย่างกับหมี ที่แอบจิกขนมใส่ไส้ของเธอไปนั่งกินเต็มปากเต็มคำ และยังถือไว้ในมืออีกหลายห่อไม่ยอมวางลง “ นี่! คุณยังไม่ยอมกลับอีกเหรอ” เจ้าไฟหันมามองที่หญิงสาว ด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย “ เจ้าของแผงยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย ลูกค้าเยอะขนาดนี้แต่ปล่อยให้เด็กประถมมาเฝ้าร้านให้ เดี๋ยวก็เจ๊งกันหมดพอดี” เขาเอ่ยพร้อมวางขนมในมือลง ก่อนลุกยืนแล้วปัดมือสองข้างใส่กันไปมากลางอากาศ ดวงตาคู่ดุก็จ้องมองที่หญิงสาวตรงหน้าที่กำลังชะเง้อคอยาวมองเขาตาไม่กระพริบ “ นี่ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ ที่จะมายืนรอ ต่อล้อต่อเถียงเล่นกับเธอน่ะ” เขาว่าพลางขมวดคิ้วใส่ “ ฉันก็บอกให้คุณพูดมาเลยไงค่ะ รีบพูดมาซะสิ!” เจ้าไฟถอนหายใจแรง “ ก็ฉันบอกว่าฉันจะพูดกับเจ้าของแผง ไม่ใช่เด็กน้อยแบบเธอ!” หญิงสาวเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะถามเขากลับด้วยเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ “ ใคร! ใครเด็กไม่ทราบ ฉันจะ 20 แล้ว ว๊าย!” แก้มขวัญพยายามจะเขย่งเท้าทำตัวให้สูงเพื่อหวังให้ชายหนุ่มเห็นว่าเธอไม่ใช่เด็ก แต
“ ขับเร็วๆ หน่อยสิเอลิก ฉันอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นจะแย่อยู่แล้ว” เจ้าไฟที่นั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่ในรถ บ่นออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่านั่งรถมาหลายชั่วโมงแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงที่หมายสักที “ ครับๆ เอะ! นั่นไม่ใช่รถคุณนีวายเหรอครับบอส” เจ้าไฟหันไปมองตามที่เอลิกทัก ก็เห็นว่าเป็นนีวายจริงๆ แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะมีความสุขอะไรสักอย่าง จนไม่ได้สังเกตรถของเขาที่วิ่งสวนมา “ สงสัยคงเครียดเรื่องงาน แล้วออกมาหาที่พักผ่อนมั้ง ” เขาเดาสุ่มไปอย่างนั้น ก่อนจะเงยมองทางด้านหน้าต่อ เอลิกจึงชวนเขาคุย “ อืม สงสัยคงเครียดเรื่องแก้แบบรีสอร์ทที่บอสสั่งแน่เลย แต่ผมว่าคุณนีวายเนี่ยทำได้ดีมากนะครับ รีสอร์ทของบอสคงจะออกมาดีแน่ๆ” “ เอ้อ! แกไม่ต้องมาชวนฉันคุย รีบขับรถไปให้มันถึงเถอะ” “ ครับ” เอลิกรีบเม้มปากแน่นหดคอเข้าทันที เนื่องจากรู้ว่าตอนนี้เจ้านายของเขาคงหัวร้อนที่ความเร็วรถไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ไม่นานรถหรูก็แล่นเข้ามาจอดในลานกว้างหน้าตลาด “ แกพาฉันมาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มโผล่ถามเสียงดังทันทีเมื่อรถจอดสนิท “ อ๋อ พอดีผมลืมบอกนะครับ ข้อมูลที่ผมได้มาคุณกีรติกรเธอมีแผงขายขนมที่ตลาดนี้ ผมคิดว
ศิลาแดง “ โธ่เอ้ย!!” เจ้าไฟโอดร้องคร่ำครวญทั้งยังปัดข้าวของบนโต๊ะในห้องทำงานของตัวเองกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น สาเหตุเนื่องมาจากว่าเขาส่งคนไปเอาคืนพิทักษ์ แต่มันกลับไม่สำเร็จ “ ผมขอโทษนะครับบอส” การ์ดที่รับหน้าที่นี้ รีบก้มหน้าขอโทษยกใหญ่ ท่าทีของเขาลนลานเนื่องจากกลัวว่าจะโดนทำโทษ “ ช่างมัน! มันคงจะไหวตัวทัน เราก็เลยทำอะไรมันไม่ได้” เจ้าไฟถอนหายใจแรง มือของเขากำแน่น “ แต่อย่าคิดว่ากูจะยอมมันแค่นี้นะ มันทำกับน้องกูถึงขั้นเลือดตกอย่างออก มันก็ต้องชดใช้ให้สาสม” เขากัดฟันพูดด้วยความฉุนเฉียว “ ทำกูกูไม่ว่า แต่มาทำให้คนในครอบครัวกูแบบนี้ กูไม่ยอม!!!” ผัวะ!!!! ฝ่ามือของเขาที่เคยกำแน่น คลายออกและตบลงที่โต๊ะเสียงดัง แสดงออกถึงความโกรธแค้นของเจ้าของมันได้อย่างชัดเจน “ บอลครับ บอส!” เอลิกวิ่งพรวดพราดเข้ามาพร้อมซองเอกสารในมือท่าทีของเขาดูเหนื่อยหอบแต่แฝงความตื่นเต้นดีใจอยู่ในแววตา เจ้าไฟเห็นแบบนั้นเขาก็กอดอกพลันรีบหันไปมอง “ แกมีอะไร” เอลิกยิ้มจางพลางยื่นซองในมือให้นาย “ ที่บอสสั่งผมว่าให้ส่งคนไปตามสืบดู ผมได้รู้อะไรดีๆ มาด้วยครับ เป็นเรื่องที่นายพิทักษ์ปิดบังมาตลอดหลายปี” คนฟังดูมีท่า
ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท นีวายนั่งอยู่บนแคร่ตรงใต้ทุนของบ้านไม้ทรงสูง เขานั่งมองบรรยากาศรอบๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มมืดแล้ว ไม่นานแก้มขวัญก็ได้เดินถือขันน้ำเย็นๆ มาให้แก่เขา ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวพลางแอบยิ้มเขินก่อนจะรับขันน้ำจากเธอมา ในน้ำนั้นดูใสสะอาดมากแถมยังโรยดอกมะลิลงไปเพื่อเพิ่มความหอมสดชื่นอีกด้วย “ ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณช่วยแม่ของฉันไว้” “ อืม ไม่เป็นอะไรหรอก ก็คนเหมือนกันนี่” นีวายยกน้ำจิบเสร็จก็หันมาตอบกลับเธอด้วยเสียงแว่วหวาน แล้วยื่นขันน้ำคืนให้น้อง “ แม่บอกว่าคุณเป็นคนในเมืองไกล จริงเหรอคะ” แก้มขวัญเอ่ยถามเขาด้วยท่าทีเป็นกันเองจนทำให้นีวายแทบจะยิ้มไม่หุบ “ ครับ” “ แล้วคุณหาที่พักได้หรือยังล่ะคะ มันมืดแล้วนี่” ชายหนุ่มยิ้มแห้งส่งให้เธอเบาๆ พลันหันมองซ้ายขวาก็เจอแต่ทุ่งหญ้ากับทุ่งนาเขียวขจี ทำให้แก้มขวัญพอจะรู้คำตอบได้ เธอหัวเราะใส่เขาเบาๆ “ ฮ่าฮา ฉันคิดไว้แล้วเชียว แต่ไม่เป็นไรนะคะ คืนนี้คุณนอนค้างที่บ้านฉันก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจพรุ่งนี้ค่อยกลับ เพราะมันมืดแล้วถนนหนทางแถวนี้ไม่มีไฟส่องนำทางเหมือนในเมือง พวกเรากลัวว่าคุณจะเป็นอันตรายเอานะ” เธอกล่าวบอกเขาด้วยท่าทีเป็นมิตรและแสด