ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท
นีวายนั่งอยู่บนแคร่ตรงใต้ทุนของบ้านไม้ทรงสูง เขานั่งมองบรรยากาศรอบๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มมืดแล้ว ไม่นานแก้มขวัญก็ได้เดินถือขันน้ำเย็นๆ มาให้แก่เขา ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวพลางแอบยิ้มเขินก่อนจะรับขันน้ำจากเธอมา ในน้ำนั้นดูใสสะอาดมากแถมยังโรยดอกมะลิลงไปเพื่อเพิ่มความหอมสดชื่นอีกด้วย “ ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณช่วยแม่ของฉันไว้” “ อืม ไม่เป็นอะไรหรอก ก็คนเหมือนกันนี่” นีวายยกน้ำจิบเสร็จก็หันมาตอบกลับเธอด้วยเสียงแว่วหวาน แล้วยื่นขันน้ำคืนให้น้อง “ แม่บอกว่าคุณเป็นคนในเมืองไกล จริงเหรอคะ” แก้มขวัญเอ่ยถามเขาด้วยท่าทีเป็นกันเองจนทำให้นีวายแทบจะยิ้มไม่หุบ “ ครับ” “ แล้วคุณหาที่พักได้หรือยังล่ะคะ มันมืดแล้วนี่” ชายหนุ่มยิ้มแห้งส่งให้เธอเบาๆ พลันหันมองซ้ายขวาก็เจอแต่ทุ่งหญ้ากับทุ่งนาเขียวขจี ทำให้แก้มขวัญพอจะรู้คำตอบได้ เธอหัวเราะใส่เขาเบาๆ “ ฮ่าฮา ฉันคิดไว้แล้วเชียว แต่ไม่เป็นไรนะคะ คืนนี้คุณนอนค้างที่บ้านฉันก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจพรุ่งนี้ค่อยกลับ เพราะมันมืดแล้วถนนหนทางแถวนี้ไม่มีไฟส่องนำทางเหมือนในเมือง พวกเรากลัวว่าคุณจะเป็นอันตรายเอานะ” เธอกล่าวบอกเขาด้วยท่าทีเป็นมิตรและแสดงออกถึงความจริงใจ นีวายเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มกว้าง “ งั้น พี่รบกวนด้วยนะ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มรู้และเข้าใจถึงอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเขา เขานั้นสนใจแก้มขวัญ แทบอยากจะรีบสานต่อความสัมพันธ์กับเธอ และนี่คือโอกาสแล้ว ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงนีวายก็มานั่งร่วมทานข้าวกับสองแม่ลูก ด้วยความอบอุ่นใจเพราะว่าทั้งสองนั้นต้อนรับเขาดีมาก ทั้งๆ ที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ และยิ่งเขาเห็นความร่าเริงสดใสของแก้มขวัญ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรง “ พี่นีวาย ทานข้าวอิ่มดีหรือเปล่าคะ” หญิงสาวที่เห็นว่าเขาเอาแต่นั่งยิ้มเหม่อลอย เธอจึงทักท้วงเขาขึ้น “ อืม อิ่มสิ” นีวายรีบตื่นจากภวังค์ และยื่นถ้วยข้าวเปล่าให้หญิงสาวเอาไปเก็บไว้ “ อืม เห็นพี่เป็นผู้ชายแก้มนึกว่าพี่จะไม่อิ่มซะอีก ว่าจะไปทอดไข่ดาวมาเพิ่มให้ซะหน่อย” เธอหันหน้ามาพูดกับเขาด้วยใบหน้าที่สดใส นีวายก็เอาแต่มองเธอตาค้าง “ ไม่เป็นไรครับ พี่อิ่มแล้วจริงๆ” เขารีบเอ่ยยืนยัน กมลที่เห็นแบบนั้นเธอก็ยิ้มอ่อนๆ มองที่ชายหนุ่ม “ ไม่ต้องเกรงใจนะ ถือว่าเป็นคนกันเองเถอะ พอดีที่บ้านเรามีกันแค่สองแม่ลูกเลยชินทำกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ พอให้กินข้าวลงนะ แต่ถ้าพ่อหนุ่มไม่อิ่มก็บอกน้องทำเพิ่มให้ได้” นีวายยิ้มอ่อนส่งให้กมล “ ผมว่าแค่นี้ก็เยอะมากแล้วล่ะครับ” เขาเอ่ยพลางก้มมองจานชามตรงหน้าที่มีกับข้าวไม่ต่ำกว่า 4-5 อย่าง ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นมื้อใหญ่ของสองแม่ลูก เพราะเมื่อกี้เห็นว่าแก้มขวัญออกไปซื้อกับข้าวมาเพิ่มด้วย สองแม่ลูกได้ยินแบบนั้นก็มองหน้ากัน “ งั้นแม่ขอขึ้นไปกินยาแล้วก็พักผ่อนก่อนนะ แก้มล้างจานเสร็จก็ไปดูที่อยู่ที่นอนให้พี่เขาด้วยล่ะ แม่เอามุ้งกับหมอนออกจากตู้มาให้แล้ว” กมลสั่งบอกลูกสาวเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะเดินขึ้นบ้าน “ จ้ะแม่” แก้มขวัญที่กำลังเก็บจานอยู่ขานรับ พอกมลเดินหายขึ้นบ้านไป นีวายจึงลุกหวังจะไปช่วยหญิงสาวล้างจาน “ เฮ้ย ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวแก้มทำเอง” แก้มขวัญเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะช่วยเธอก้มเก็บจานจึงรีบปรามเขา “ ไม่ ให้พี่ช่วยเถอะ ไม่งั้นพี่คงเกรงใจไม่รู้จะทำตัวยังไงแน่เลย” เมื่อได้ยินเขาตอบมาแบบนั้น หญิงสาวจึงจำยอม ทั้งสองเก็บจานชามบนแคร่ ที่นั่งทานข้าวกันเมื่อครู่ ไปช่วยกันล้าง ท่าทีของพวกเขาดูสนิทสนมกันรวดเร็วทันใจดั่งลางสังหรณ์ของกมลจะเป็นจริง “ อือ พี่นีวาย พี่มาทำอะไรไกลขนาดนี้เหรอ” หญิงสาวถามขึ้นพลางจ้องหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาใสซื่อ “ พอดีพี่คิดแบบไม่ค่อยออก ก็เลยมาขับรถเล่นหาแรงบันดาลใจนะ” “ หือ?” เธอมีสีหน้าสนใจ และสงสัยขึ้นมาอย่างชัดเจน “ พี่ทำงานอะไร เป็นนักออกแบบหรือคะ” นีวายหันมายิ้มหวานให้สาวน้อย “ ใช่แล้ว พี่เป็นสถาปนิกน่ะ พอดีช่วงนี้ต้องแก้แบบรีสอร์ทให้เพื่อน ก็เลยเครียดนิดหน่อย” แก้มขวัญได้ยินแบบนั้นเธอก็ตาใสขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นเต้นชอบใจ “ ว้าว สุดยอดไปเลย แบบนี้พี่ก็ต้องวาดรูปเก่งใช่ไหม” คนฟังก็พยักหน้า “ แก้มก็ชอบวาดรูปเหมือนกัน ตอนเรียนก็เคยฝันอยากจะเป็นนักออกแบบอะไรแบบนี้เหมือนกันนะ” หญิงสาวมีท่าทีตื่นเต้นในช่วงแรก ก่อนจะยิ้มแห้งๆ แล้วพูดต่อ “แต่ได้ยินมาว่าเขาเรียนกันหนักมาก แก้มกลัวว่าตัวเองจะเรียนไม่ไหวกลัวว่าจะเปลืองตังค์แม่เปล่าๆ ก็เลยไม่เรียนดีกว่า” เธอหัวเราะขึ้นเบาๆ ท่าทีของเธอดูน่ารักและก็ตลกมาก ทำนีวายอดขำตามไม่ได้ “ ฮาฮ่า ก็เรียนหนักจริงๆ นั่นแหละ กว่าจะจบได้ก็เกือบตาย ไหนจะต้องไปต่อโทอีกนะ ดีนะเนี่ยที่จิตพี่แข็ง ไม่งั้นคงเป็นบ้าไปแล้ว ฮา” เขาพูดด้วยท่าทีติดตลก เพราะชอบเห็นรอยยิ้มใสซื่อของหญิงสาว “ ฮาฮ่า แต่ว่าพี่โคตรเท่เลยนะ ที่ทำมันสำเร็จน่ะ” “ อืม ขอบใจครับ แล้วน้องล่ะ เรียนอยู่ม.อะไรแล้ว” หญิงสาวกลั้นขำเมื่อได้ฟังคำถาม “ นี่พี่คิดว่าแก้มกี่ปีเหรอ” เธอจึงแกล้งถามเขา ชายหนุ่มก็มองไปที่หน้าใสๆ ของคนตรงหน้า ด้วยท่าทีครุ่นคิด ตอนนี้หน้าตาของเธอไม่ได้มอมแมม เหมือนตอนที่เจอ มันจึงยิ่งน่ารักละมุนดูน่าทะนุถนอมขึ้นไปอีก “ 16-17 มั้ง” เขาเดาส่ง “ ฮาฮ่า นี่หน้าแก้มดูเป็นเด็กขนาดนั้นเลยเหรอคะ” แก้มขวัญยิ้มกว้างพลางสีหน้าของเธอก็แดงหน่อยๆ นีวายหน้าร้อนผ่าวเมื่อได้เห็น ยิ่งเธอเฉลยคำตอบให้ฟังใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรง “ แก้มจะ 20 แล้วค่ะ แถมยังเป็นเจ้าของร้านขายขนมด้วยนะ” “ จริงเหรอ?” “ ค่ะ แต่ก็เป็นแค่แผงเล็กๆ ตามตลาดเล็กๆ ในหมู่บ้านเอง เพราะต้องหาเช้ากินค่ำ บางวันก็ผลัดไปทำย่างอื่นรับจ้างดำนา เกี่ยวข้าว ปีนต้นมะพร้าวบ้าง หรือไม่ก็ไปหากบหาเขียดบ้าง อะไรประมาณนี้แหละ” หญิงสาวพูดพลางยกนิ้วขึ้นจิ้มแก้มป่องของตัวเองเหมือนกับว่ามันจะทำให้เธอคิดออก ชายหนุ่มเห็นก็ยิ่งยิ้มไม่หุบ “ แต่ดูทรงแล้ว นี่อาจจะเป็นชีวิตที่มีความสุขสุดๆ เลยเนอะ” แก้มขวัญจ้องตาเขาทันที “ ก็คงจะเป็นแบบนั้นค่ะ อยู่ไหนขอแค่เราได้อยู่กับคนที่เรารักมันก็ต้องมีความสุขใช่มั้ยล่ะพี่” เมื่อฟังมาถึงตรงนี้รอยยิ้มของนีวายก็หุบลง เนื่องจากคำพูดที่หมอบอกกับเขา ว่ากมลนั้นเป็นโรคร้าย ทำให้เขาอดที่จะสงสารสาวน้อยตรงหน้าไม่ได้ “ ฮาฮ่า ทำไมถึงทำหน้าจืดแบบนั้นล่ะคะ นี่ก็มืดมากแล้วรีบขึ้นบ้านเถอะ” หลังจากวางจานใบสุดท้ายไว้บนตะแกรง แก้มขวัญก็ทำหน้าตาตื่นใส่เขาดั่งกลัวอะไรบางอย่าง เธอขยับตัวเข้าไปใกล้เขา พลางกระซิบเบาๆ ข้างหู “เดี๋ยวจะเจออะไรแปลกๆ เข้านะ” เธอพูดเสียงแผ่ว พร้อมทำตาเลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวา พอเห็นว่าเขาเริ่มกลัว หญิงสาวก็รีบจ้ำอ้าววิ่งขึ้นบ้านไปในทันที “ เฮ้ย แก้มขวัญมาพูดแบบนี้พี่ก็กลัวนะ” นีวายมีท่าทีลนลานเล็กน้อย ก่อนจะรีบล้างมือแล้วเดินตามหญิงสาวขึ้นบ้านไป.“ แม่ของเธออาการทรุด เพราะภาวะแทรกซ้อนกับโรคที่เป็นอยู่ ฉันเลยพาไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็มารอเธอที่บ้านเพราะไปหาที่ตลาดแล้วไม่เจอ ตอนนี้แม่เธอรอเธออยู่” เจ้าไฟพูดด้วยเสียงไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย เธอกล้าดียังไงมาทำร้ายเขาทั้งๆ ที่เขายอมลดตัวมานั่งรอเธอตั้งหลายชั่วโมง คิดแล้วเขาก็เหยียบคันเร่งจนมิด “ ไม่!! ไม่ใช่ความจริง แม่ฉันแข็งแรงจะตาย” แก้มขวัญไม่อาจจะเชื่อที่เขาพูด แต่ตัวเธอกลับสั่นไปมาเพราะความรู้สึกของเธอมันสังหรณ์บอกกับเธอว่าเขาไม่ได้โกหก แต่ใจของเธออยากให้เขาแค่โกหก ให้เขาหลอกเธอไปฆ่าไปขายทิ้งซะยังดีกว่าอีก คิดแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลพร่า ดวงใจดวงน้อยสั่นไหวดั่งรับรู้ว่าแม่คงจะรอเธออยู่จริงๆ ระหว่างที่แก้มขวัญกำลังร้องไห้ เจ้าไฟก็แอบเหลือบมองเธออยู่หลายครั้ง ยิ่งเห็นริมฝีปากที่แดงระเรื่อของเธอ มือข้างหนึ่งของเขาก็เผลอยกขึ้นทาบปากตัวเอง เมื่อกี้เขาโมโหหนักแต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะหยุดเธอด้วยการจูบ คิดแล้วเขาก็ไม่เข้าใจ เพราะถ้าเป็นคนอื่นมาแหกปากต่อหน้า เขาคงจะตบให้ปากแตกแทนที่จะคิดทำเช่นนั้น ไม่นานรถของเขาก็มาจอดที่โรงพยาบาล แก้มขวัญรีบเปิดประตูลงรถและวิ่งเข้าไปข้างใน “ แก้มขวัญ” เมื่อ
“ แกเป็นอะไรกมล” นุ่นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันกับกมล วันนี้ได้เดินมาหาหวังจะคุยเล่นกันที่บ้าน แต่ดันเจอเพื่อนนั่งซึมเศร้าอยู่บนแคร่ จึงได้เอ่ยถามอย่างห่วงใย “ นุ่น ฉันมีอะไรจะบอกแล้วก็ปรึกษาแกว่ะ” “ พูดมาสิ” นุ่นนั่งขัดสมาธิลงข้างเพื่อนพร้อมกับสีหน้ารอรับฟังซึ่งน่าจะเตรียมพร้อมมาตั้งแต่ที่บ้านแล้ว “ ฉันป่วยหนัก ใกล้ตายแล้วน่ะ” “ หะ ล้อเล่นปะ ฉันยังเห็นแกแข็งแรงดีอยู่เลยกมล อย่ามาอำกันสิ” “ ก็เพราะว่าฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันใกล้ตายไงล่ะ” นุ่นฟังแบบนั้นจากที่มีสีหน้าขำขันก็พลันเงียบไปในทันที เธอจ้องหน้าเพื่อนที่กำลังก้มหน้าเศร้าก่อนเอ่ยถามแผ่วเบา “ แล้วแกเป็นโรคอะไรเหรอ” กมลถอนหายใจเบาๆ ให้กับคำถาม “ ฉันเป็นมะเร็งปอด แล้วก็มีภาวะหัวใจร่วมด้วย ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันไหน มันอาจไปได้ทุกเมื่อเลยนะเว้ย” มือของกมลนั้นสั่นไปมาขณะที่เธอเอ่ย นุ่นรีบยื่นมือมาจับมือเพื่อนเอาไว้ “ แก…” “ สิ่งเดียวที่ฉันห่วงมากตอนนี้ก็คือแก้มขวัญ ถ้าฉันตายแก้มมันจะอยู่ยังไง ฉันไม่ต้องการให้มันกลับไปอยู่กับพ่อ ฉันอยากให้มีคนมาพามันหนีไอ้พิทักษ์ไปไกลๆ เลย ใครมันจะทำให้ฉันได้บ้างไหมวะแก” กมลพูด
“ ขอบใจนะจ้ะ โอกาสหน้ามาใหม่นะ ทำสดใหม่ทุกวันเลย” เมื่อแก้มขวัญขายขนมให้ลูกค้าคนสุดท้ายที่มารอซื้อเสร็จ เธอก็เท้าเอวหันมามองชายแปลกหน้า ตัวใหญ่อย่างกับหมี ที่แอบจิกขนมใส่ไส้ของเธอไปนั่งกินเต็มปากเต็มคำ และยังถือไว้ในมืออีกหลายห่อไม่ยอมวางลง “ นี่! คุณยังไม่ยอมกลับอีกเหรอ” เจ้าไฟหันมามองที่หญิงสาว ด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย “ เจ้าของแผงยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย ลูกค้าเยอะขนาดนี้แต่ปล่อยให้เด็กประถมมาเฝ้าร้านให้ เดี๋ยวก็เจ๊งกันหมดพอดี” เขาเอ่ยพร้อมวางขนมในมือลง ก่อนลุกยืนแล้วปัดมือสองข้างใส่กันไปมากลางอากาศ ดวงตาคู่ดุก็จ้องมองที่หญิงสาวตรงหน้าที่กำลังชะเง้อคอยาวมองเขาตาไม่กระพริบ “ นี่ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ ที่จะมายืนรอ ต่อล้อต่อเถียงเล่นกับเธอน่ะ” เขาว่าพลางขมวดคิ้วใส่ “ ฉันก็บอกให้คุณพูดมาเลยไงค่ะ รีบพูดมาซะสิ!” เจ้าไฟถอนหายใจแรง “ ก็ฉันบอกว่าฉันจะพูดกับเจ้าของแผง ไม่ใช่เด็กน้อยแบบเธอ!” หญิงสาวเบ้ปากอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะถามเขากลับด้วยเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ “ ใคร! ใครเด็กไม่ทราบ ฉันจะ 20 แล้ว ว๊าย!” แก้มขวัญพยายามจะเขย่งเท้าทำตัวให้สูงเพื่อหวังให้ชายหนุ่มเห็นว่าเธอไม่ใช่เด็ก แต
“ ขับเร็วๆ หน่อยสิเอลิก ฉันอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นจะแย่อยู่แล้ว” เจ้าไฟที่นั่งกอดอกไขว่ห้างอยู่ในรถ บ่นออกมาเสียงดังเมื่อเห็นว่านั่งรถมาหลายชั่วโมงแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงที่หมายสักที “ ครับๆ เอะ! นั่นไม่ใช่รถคุณนีวายเหรอครับบอส” เจ้าไฟหันไปมองตามที่เอลิกทัก ก็เห็นว่าเป็นนีวายจริงๆ แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะมีความสุขอะไรสักอย่าง จนไม่ได้สังเกตรถของเขาที่วิ่งสวนมา “ สงสัยคงเครียดเรื่องงาน แล้วออกมาหาที่พักผ่อนมั้ง ” เขาเดาสุ่มไปอย่างนั้น ก่อนจะเงยมองทางด้านหน้าต่อ เอลิกจึงชวนเขาคุย “ อืม สงสัยคงเครียดเรื่องแก้แบบรีสอร์ทที่บอสสั่งแน่เลย แต่ผมว่าคุณนีวายเนี่ยทำได้ดีมากนะครับ รีสอร์ทของบอสคงจะออกมาดีแน่ๆ” “ เอ้อ! แกไม่ต้องมาชวนฉันคุย รีบขับรถไปให้มันถึงเถอะ” “ ครับ” เอลิกรีบเม้มปากแน่นหดคอเข้าทันที เนื่องจากรู้ว่าตอนนี้เจ้านายของเขาคงหัวร้อนที่ความเร็วรถไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย ไม่นานรถหรูก็แล่นเข้ามาจอดในลานกว้างหน้าตลาด “ แกพาฉันมาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มโผล่ถามเสียงดังทันทีเมื่อรถจอดสนิท “ อ๋อ พอดีผมลืมบอกนะครับ ข้อมูลที่ผมได้มาคุณกีรติกรเธอมีแผงขายขนมที่ตลาดนี้ ผมคิดว
ศิลาแดง “ โธ่เอ้ย!!” เจ้าไฟโอดร้องคร่ำครวญทั้งยังปัดข้าวของบนโต๊ะในห้องทำงานของตัวเองกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น สาเหตุเนื่องมาจากว่าเขาส่งคนไปเอาคืนพิทักษ์ แต่มันกลับไม่สำเร็จ “ ผมขอโทษนะครับบอส” การ์ดที่รับหน้าที่นี้ รีบก้มหน้าขอโทษยกใหญ่ ท่าทีของเขาลนลานเนื่องจากกลัวว่าจะโดนทำโทษ “ ช่างมัน! มันคงจะไหวตัวทัน เราก็เลยทำอะไรมันไม่ได้” เจ้าไฟถอนหายใจแรง มือของเขากำแน่น “ แต่อย่าคิดว่ากูจะยอมมันแค่นี้นะ มันทำกับน้องกูถึงขั้นเลือดตกอย่างออก มันก็ต้องชดใช้ให้สาสม” เขากัดฟันพูดด้วยความฉุนเฉียว “ ทำกูกูไม่ว่า แต่มาทำให้คนในครอบครัวกูแบบนี้ กูไม่ยอม!!!” ผัวะ!!!! ฝ่ามือของเขาที่เคยกำแน่น คลายออกและตบลงที่โต๊ะเสียงดัง แสดงออกถึงความโกรธแค้นของเจ้าของมันได้อย่างชัดเจน “ บอลครับ บอส!” เอลิกวิ่งพรวดพราดเข้ามาพร้อมซองเอกสารในมือท่าทีของเขาดูเหนื่อยหอบแต่แฝงความตื่นเต้นดีใจอยู่ในแววตา เจ้าไฟเห็นแบบนั้นเขาก็กอดอกพลันรีบหันไปมอง “ แกมีอะไร” เอลิกยิ้มจางพลางยื่นซองในมือให้นาย “ ที่บอสสั่งผมว่าให้ส่งคนไปตามสืบดู ผมได้รู้อะไรดีๆ มาด้วยครับ เป็นเรื่องที่นายพิทักษ์ปิดบังมาตลอดหลายปี” คนฟังดูมีท่า
ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท นีวายนั่งอยู่บนแคร่ตรงใต้ทุนของบ้านไม้ทรงสูง เขานั่งมองบรรยากาศรอบๆ ซึ่งตอนนี้เริ่มมืดแล้ว ไม่นานแก้มขวัญก็ได้เดินถือขันน้ำเย็นๆ มาให้แก่เขา ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวพลางแอบยิ้มเขินก่อนจะรับขันน้ำจากเธอมา ในน้ำนั้นดูใสสะอาดมากแถมยังโรยดอกมะลิลงไปเพื่อเพิ่มความหอมสดชื่นอีกด้วย “ ขอบคุณมากนะคะ ที่คุณช่วยแม่ของฉันไว้” “ อืม ไม่เป็นอะไรหรอก ก็คนเหมือนกันนี่” นีวายยกน้ำจิบเสร็จก็หันมาตอบกลับเธอด้วยเสียงแว่วหวาน แล้วยื่นขันน้ำคืนให้น้อง “ แม่บอกว่าคุณเป็นคนในเมืองไกล จริงเหรอคะ” แก้มขวัญเอ่ยถามเขาด้วยท่าทีเป็นกันเองจนทำให้นีวายแทบจะยิ้มไม่หุบ “ ครับ” “ แล้วคุณหาที่พักได้หรือยังล่ะคะ มันมืดแล้วนี่” ชายหนุ่มยิ้มแห้งส่งให้เธอเบาๆ พลันหันมองซ้ายขวาก็เจอแต่ทุ่งหญ้ากับทุ่งนาเขียวขจี ทำให้แก้มขวัญพอจะรู้คำตอบได้ เธอหัวเราะใส่เขาเบาๆ “ ฮ่าฮา ฉันคิดไว้แล้วเชียว แต่ไม่เป็นไรนะคะ คืนนี้คุณนอนค้างที่บ้านฉันก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจพรุ่งนี้ค่อยกลับ เพราะมันมืดแล้วถนนหนทางแถวนี้ไม่มีไฟส่องนำทางเหมือนในเมือง พวกเรากลัวว่าคุณจะเป็นอันตรายเอานะ” เธอกล่าวบอกเขาด้วยท่าทีเป็นมิตรและแสด