เกศราเหยียบคันเร่งรถหรูมุ่งหน้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อไปรับ ‘ดอน’ สามีที่เพิ่งกลับมาจากการไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา
ดร.ดอน เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ส่วนเธอเป็นผู้แทนขายยาให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ
แม้อาชีพของเธอจะไม่มีเกียรติ ไม่มีหน้ามีตาเท่าสามี แต่เงินเดือนนับว่าสูงกว่ามาก ๆ บางเดือนเงินทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยให้กับดอนไม่พอใช้ ก็เป็นเกศราที่ต้องส่งเงินให้สามีใช้ที่ต่างประเทศ
วันนี้เขาเรียนจบกลับมาแล้ว เธอทั้งดีใจ และโล่งอก
หนึ่งเธอจะได้ไม่ต้องหาเงินตัวเป็นเกลียวเพื่อส่งให้เขา สองเธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างคู่รัก นอนด้วยกัน กินด้วยกัน และจูงมือเดินเที่ยวไปด้วยกันเหมือนคู่รักคนอื่น ๆ เสียที
ในขณะที่เกศรากำลังหวนคิดถึงสามีนั้น จู่ ๆ รถบรรทุกก็เบรกกะทันหัน เธอจึงรีบหักพวงมหาลัยหลบเข้าข้างทางเพื่อไม่ให้รถของตนชนเข้ากับท้ายรถบรรทุก ทำเอารถของเธอเสียหลักพุ่งตรงดิ่งเข้าหาเสาไฟฟ้า
หญิงสาวจึงรีบเหยียบเบรกรถ.....
ตู้ม !
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เกศรารู้สึกเหมือนตนเองหมุนคว้าง แล้วกลับมายืนงง ๆ อยู่ข้างถนน
เธอเห็นรถที่ตามหลังมาชะลอความเร็ว รถบางคันถึงกลับหยุด จากนั้น ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นก็วิ่งเข้ามาแทบจะชนเธอ แต่ทําไมพวกเขาดูเหมือนมองไม่เห็นเธอ
เกศราจึงวิ่งตามคนพวกนั้นไปเพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คนมากมายยืนดูอะไรสักอย่างที่ตรงนั้น เธอเห็นรถกู้ชีพวิ่งเข้ามาแล้วเจ้าหน้าที่ก็ช่วยกันนำร่างของใครสักคนออกมาจากรถที่พลิกคว่ำ
เกศราขยี้ตาตัวเองอีกครั้ง เพื่อมองภาพตรงหน้าให้ชัดขึ้น แล้วเธอก็เห็นว่า รถที่ชนเสาไฟฟ้าจนพลิกคว่ำ คือ รถของเธอ และร่างที่เจ้าหน้าที่กำลังจับขึ้นวางลงบนเปลแล้วเอาผ้าขาวคลุมนั้นคือ เธอ
“กรี๊ดดดดดดดดด”
เธอกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงเธอสักคน
หญิงสาวมองร่างของตนด้วยความสยดสยอง เลือดสีแดงไหลออกมาตามร่างเธอเต็มไปหมด
“ไม่จริง นี่ฉันตายแล้วเหรอ ฉันตายแล้วจริงๆ เหรอ”
เกศราวิ่งเข้าไปเขย่าคนนั้นคนนี้ถามอย่างสติแตก แต่มือของเธอสัมผัสพวกเขาไม่ได้
เกศราก้มมองตัวเอง ร่างของเธอคล้ายกับโปร่งแสง ชุดที่เกศราใส่ไม่ใช่ชุดในยุคปัจจุบัน แต่กลับเป็นชุดไทยโบราณ นุ่งผ้าถุง ห่มสไบสีแดง
“ฮือๆ ฉันตายแล้วจริงๆ ฮือๆ”
เกศราร้องไห้โฮ ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว จิตใจของเธอจึงห่วงแค่เพียงสามีที่นัดกันไว้ที่สนามบิน
“ฉันจะมัวเสียใจไม่ได้ ฉันต้องรีบไปหาเขา”
เพียงแค่คิดร่างของเธอก็วูบหายไปแล้วไปยืนอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ
“ฉะ.. ฉันมาที่นี่ได้อย่างไง” เกศราตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนลืมความเสียใจไปหมดสิ้น “เพียงแค่คิดว่าจะไปไหน ก็ไปได้ทันทีเลยเหรอ”
สักพักเธอก็เห็นชายหนุ่มอายุสามสิบปลาย ๆ ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาจากประตูเลื่อนอัตโนมัติ
เขาสวมเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้ม ผูกเนกไท รองเท้าหนังสีดำขัดเงาวับ การแต่งกายที่แสนจะเนี้ยบทุกระเบียบนิ้วเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก
“พี่ดอน ! พี่ดอนเกศอยู่ตรงนี้ค่ะ”
เกศราตะโกนลั่นด้วยความดีใจที่เห็นสามี ทั้งร้องเรียก ทั้งโบกมือให้เขาโดยลืมไปว่าตัวเองได้กลายเป็นวิญญาณไปแล้ว
เขาไปเรียนต่อปริญญาเอก ด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่อเมริกาถึง 2 ปีเต็ม รูปร่าง และหน้าตาของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยังคงหล่อเหลา ดูภูมิฐานเช่นเดิม
เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวก็โผเข้ากอดเขา แต่เขากลับเดินทะลุร่างของหล่อนไป
“เอ๊ะ !”
ด้วยเหตุนี้ เกศราจึงได้สติขึ้นมาว่าตนเองตายไปแล้ว สีหน้าของเธอเศร้าขึ้นมา รีบหันกลับไปมองสามีด้วยความเป็นกังวล
เธอเห็นเขายกนาฬิกาขึ้นดู พร้อมกับล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกดโทรออก
“พี่ดอน ฉันอยู่นี่ ฉันรับโทรศัพท์พี่ไม่ได้อีกแล้ว”
เกศราร้องบอกเขาทั้งน้ำตา ไม่รู้จะบอกสามีอย่างไรให้ทราบว่าเธอไม่สามารถเดินเคียงข้าง และดูแลเขาไปจนแก่เฒ่าเหมือนคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่กันได้แล้ว
ในช่วงเวลาที่เธอกำลังกังวลใจอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ แล้วร่างโปร่งแสงของเกศราก็หายวับกลับมายืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เธอเกิดอุบัติเหตุอีกครั้ง
เธอเห็นชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ในชุดตำรวจติดดาวที่บ่าสามดวงกำลังยืนสั่งลูกน้อง และเจ้าหน้าที่กู้ภัย
“ผู้ตายชื่อเกศรา....” ผู้กองแจ็คหยิบบัตรประชาชนของผู้ประสบอุบัติเหตุขึ้นมาดูจากนั้นก็ใส่ไว้ในถุงเก็บหลักฐาน “ส่งศพไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้แพทย์ชันสูตรศพดูว่ามีแอลกอฮอล์ หรือโรคประจำตัวหรือเปล่า”
นายตำรวจอีกคนที่ไม่มีดาวประดับบ่าขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ปกติหรือครับผู้กอง”
ผู้กองแจ็คสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “จ่าดูสิ ไม่มีรอยเบรกเลย ถ้าคนขับไม่หลับใน เมา หรือหมดสติ ก็คงจะถูกตัดสายเบรก”
จ่ายาวลดเสียงลง “ถ้าเป็นกรณีหลังก็คงเป็นการวางแผนฆาตกรรมนะสิผู้กอง”
“อืม”
ผู้กองแจ็คทำเสียงในลำคอ จากนั้นก็สั่งให้ลูกน้องนำรถที่เกิดอุบัติเหตุไปที่โรงพักเพื่อตรวจสภาพรถ
ในขณะที่ทุกคนกำลังเคลื่อนย้ายศพ และซากรถ เกศราที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดถึงกับหน้าซีด
เธอไม่มีโรคประจำตัว ไม่ได้หลับใน ไม่ได้เมา ดังนั้น เธอรู้ได้ทันทีว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากเบรกรถถูกตัด
มีคนต้องการให้เธอตาย !
แล้วใครกันหละที่อยากให้เธอตาย
“ไม่ต้องกลัว นายเสือนี่พี่ดีดี้ ผู้จัดการฉันเอง”วีนัสแนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน กึ่งปลอบกึ่งโมโหที่เจ้าเสือหนุ่มบุกเข้าไปที่ห้องนอนของเธอโดยที่ไม่สวมอะไรสักชิ้น แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าผ้าผืนน้อยที่พันติดกายเขาเมื่อคืนได้ถูกฉีกขาดตั้งแต่ตอนเป็นสัดเมื่อคืนแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังโมโหเขาอยู่ดี ดังนั้น เมื่อโยนผ้าเช็ดตัวให้เขาพันเรือนร่างท่อนล่างเอาไว้แล้ว เธอก็โทรหาพี่ดีดี้เพื่อขอยืมชุดมาให้เขาใส่ไปพลาง ๆ ก่อน“พี่ดีดี้”เสือหนุ่มทวนชื่อมนุษย์แปลกหน้า ที่ทำท่าแปลก ๆ ไม่สมเป็นบุรุษ หรือมนุษย์จะมีมากกว่าสองเพศกัน“ใช่จ้ะ พี่ดีดี้ ยินดีที่ได้รู้จักนะพ่อเสือรูปหล่อ ชื่อเสือเนี่ย... เหมาะกับหุ่นล้ำ ๆ แน่น ๆ ของเธอมากเลยนะ”ดีดี้วางมือลงที่แขนล่ำ ๆ ของเสือหนุ่ม พร้อมกับออกแรงบีบกล้ามแน่น ๆ ฝ่ายนั้นถึงกับสะดุ้งโหยง ขนลุกเกรียวขึ้นทั่วทั้งตัว ส่วนดีดี้นั้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตัวเหมือนผู้ชายที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม จึงรู้สึกเอ็นดูและมองเขาอย่างพินิจอีกครั้งแล้วพบว่าชายหนุ่มอยู่ในชุดกึ่งเปลือย แถมยังเอามือจับที่เอว ก็ตาลุกวาวพร้อมกับยิงคำถามใส่คนทั้งคู่ว่า“เดี๋ยวนะ ! เมื่อคืนนี้เธอสองคนคงไม่ได้ทำอะไรอย่างว่า
“อ๊ะ ๆ อ่า ๆ วีนัส ข้าทรมานเหลือเกิน ซี๊ด อ่า”มือน้อยที่สาวแก่นลำอย่างว่องไว สร้างความเสียวซ่านให้ระเบิดแตกออก เรือนร่างกำยำเกร็งสะท้าน จากนั้นใบหน้าหล่อคมก็แหงนหงายขึ้น“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”เสือหนุ่มร้องออกมาสุดเสียง พร้อมกับปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมา เขารู้สึกว่าความทรมานได้ระเบิดแตกออกกลายเป็นความสุขซ่านแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกตัวเบาหวิว ลอยละลิ่วสู่ฟากฟ้าเวิ้งว้างเมื่อเขาอาการสงบลงดีแล้ว หญิงสาวจึงปล่อยมือออกจากแก่นลำเขา น้ำสีขาวขุ่นเลอะเปรอะเปื้อนเต็มมือ เขาปรือตามองหล่อนด้วยสายตาลึกล้ำ จากนั้นก็จับมือของหล่อนขึ้นมาดูดเลียกินน้ำหวานของเขาจากนิ้วเรียวของหล่อนอย่างหลงใหลริมฝีปากแดงฉ่ำของชายหนุ่มค่อย ๆ ดูด แล้วค่อย ๆ ตวัดปลายลิ้นอุ่นบรรจงไล้เลียทีละนิ้ว ทีละนิ้ว วีนัสคล้ายกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แม้ลิ้นเขาจะฉ่ำชื้น แต่เธอกลับรู้สึกร้อนผ่าวทุกการสัมผัส หัวใจเต้นกระหน่ำแรงขึ้น“หมดแล้วพอเถอะ”วีนัสรีบดึงมือออก แล้วรีบหันหน้าหนีถอยห่างจากเขา“เดี๋ยวสิ”เขาร้องห้ามเสียงหลง ความทรมานที่เกิดจากการเป็นสัดได้หายไปแล้ว แต่ความสงสัยอย่างมีอยู่“เมื่อครู่เป็นวิธีการผสมพันธุ์ของเ
เสือหนุ่มส่งเสียงคำรามในลำคอเบา ๆ ภาพในหัวกำลังเล่นงานเขาให้รู้สึกเจ็บปวดที่หว่างขา แล้วส่วนสำคัญสำหรับการสืบพันธุ์ก็ตั้งโด่งขึ้น จนเขาต้องขดตัวงอ ร่างกายสั่นสะท้าน รู้สึกหวิววาบในอก สัญชาตญาณบอกให้เขารับรู้ว่าต้องการสิ่งใด !“อ๊ากกกกกกกก”เพล้ง !เสียงแก้วแตกทำให้วีนัสสะดุ้งตื่นกลางดึก.... เสียงนั้นดังมาจากห้องรับแขกแน่ ๆ เธอเป็นห่วงกลัวว่าชายหนุ่มที่นอนซมด้วยพิษบาดแผลจะเป็นอะไรหรือไม่ จึงรีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วเปิดประตูออกไปวาบ !เธอเอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟ ภายในห้องก็สว่างขึ้น ทำให้เห็นว่าชายหนุ่มบนโซฟานอนกระส่ายกระสับ เศษแก้วแตกเกลื่อนกลาดบนพื้น วีนัสจึงรีบเดินเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง“นายเสือ นายเป็นอะไร”หญิงสาวเข้าไปเขย่าตัวชายหนุ่มเขาหลับตาแน่น ใบหน้าหล่อคมของเขามีเหงื่อผุดพรายขึ้น คล้ายกับว่ากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมาน“ออกไป !”ชายหนุ่มผลักหญิงสาวเต็มแรง ทำให้หญิงสาวผงะออกห่างถอยหลังออกไปหลายก้าว เขาขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน ดวงตาวาวโรจน์ด้วยอารมณ์บางอย่างที่กำลังคุกรุ่นอยู่ภายใน“นายเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าตานายดูไม่ดีเลยนะ”“ขะ ข้า....”ลมหายใจของชายหนุ่มกระชั้นหอบ
เมื่อวีนัสใช้เสื้อกล้ามพันแผลบนหัวไหล่เขาเพื่อห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินจ้ำอ่าวมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่เสือหนุ่มบอกโดยไม่หันกลับไปมองเขาแม้แต่น้อย เพราะยังโกรธที่เขาไม่รักษาคำพูด แล้วยังแอบดูเธอถอดเสื้อ นายมันไอ้เสือโรคจิต !หญิงสาวย้ำเท้าลงพื้นดินหนักตามอารมณ์ที่คุกรุ่นในใจ ในขณะที่เสือหนุ่มเดินคอตกตามหล่อนไปห่าง ๆ ทั้งเจ็บแขน ทั้งเจ็บตา ไม่นึกเลยว่ากำปั้นผู้หญิงที่แสนจะบอบบางจะหนักเอาการอยู่เหมือนกัน และสิ่งที่เขาแปลกใจมากที่สุด คือ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในกายมนุษย์ของเขาเขาเพิ่งรู้วันนี้ว่าส่วนสืบพันธุ์ของมนุษย์เพศผู้สามารถตั้งได้ล้มได้ เมื่อก่อนตอนอยู่ในป่าเขาไม่เคยเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้มาก่อนในขณะที่ทั้งคู่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนนั้น ก็ปรากฏกลุ่มคนด้านหน้าสี่ห้าคนอยู่ไกล ๆ พร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกว่า“วีนัสได้ยินไหม วีนัสเธออยู่ที่ไหน”คนถูกเรียกชะงักฝีเท้า แล้วเพ่งสายตามองแล้วเห็นว่าเป็นพี่ดีดี้และทีมงานในกองถ่าย จึงตะโกนกลับไปว่า“พี่ดีดี้ วีอยู่นี่ค่ะ วีอยู่นี่”วีนัสทั้งวิ่งทั้งตะโกนโต้ตอบด้วยความดีใจ จึงไม่ทันสังเกตว่าชายหนุ่มด้านหลังเธอเดินช้าลงเรื่อย ๆ ใบหน้าขา
“นายไหวแน่นะ”วีนัสเอ่ยปากถามด้วยความเป็นกังวล“ตอนนี้ไหว แต่หากขืนชักช้ากว่านี้ เจ้าเสือดาว เสือดำ หมีป่า ได้กลิ่มหอม ๆ ของมนุษย์อย่างเจ้า รับรองข้าสู้ต่อไม่ไหวแน่ ๆ”เมื่อได้ยินมันพูดอย่างนั้น เธอก็รีบขึ้นขี่หลังมันอย่างว่าง่าย โน้มตัวลงกอดคอมันไว้พร้อมกับกระซิบบอกมันว่า“ขอบคุณนะ ที่ช่วยชีวิตฉันไว้”เสียงหวาน ๆ นั้น คล้ายจะดังฝังลึกลงไปในใจเสือหนุ่ม มันกระตุกยิ้มน้อย ๆ ก่อนที่จะทะยานไปข้างหน้าอย่างว่องไวเมื่อออกจากป่าแดนสามเหลี่ยมปีศาจแล้วสักระยะหนึ่ง เสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ก็ชะลอฝีเท้าลง หูของมันตั้งชันขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับได้ยินเสียงตะโกนของมนุษย์อยู่ไกล ๆ“ข้าได้ยินเสียงมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้”มันส่งเสียงแหบต่ำบอกคนบนหลังมัน“น่าจะเป็นพวกพี่ ๆ ทีมงานในกองถ่าย นายรีบปล่อยฉันลงเถอะ แล้วกลายร่างเป็นคนเสีย ก่อนที่คนอื่น ๆ จะมาเห็นนายในร่างเสือ”วีนัสรีบบอกเจ้าเสือเจ้าเสือตัวใหญ่จึงหมอบลงให้หญิงสาวลงจากหลัง แล้วกลายร่างเป็นชายหนุ่ม บนหัวไหลเขามีรอยแผลเป็นรูปกรงเล็บสัตว์บาดลึกลงไปในเนื้อ เลือดสีแดงสดยังคงไหลออกมาไม่หยุด“เลือดนายไหล”วีนัสมองเขาอย่างเป็นกังวล แม้เขาจะเ
“อ๊ายยยยยยยยยยย”หญิงสาวกรีดลั่นด้วยความหวาดเสียว เธอต้องก้มลงจนแนบลำตัวเสือ เพื่อป้องกันไม่ให้ใบหน้าสวย ๆ ถูกขีดข่วนจะกิ่งไม้ เจ้าเสือทะยานไปข้างหน้าไปเรื่อย ๆ ด้วยท่อนขากำยำอันทรงพลังเมื่อคุ้นเคยกับการขี่หลังเสือ ความกลัวจึงลดลงเธอจึงเริ่มชวนเขาคุย“นี่ นายชื่ออะไร”“ชื่อเหรอ..... ไม่รู้สิ... ตาฤๅษีก็เรียกข้าเสือ พวกสัตว์ในป่าแห่งนี้ก็เรียกข้าเสือ แบบนี้ใช่ชื่อไหม”“งั้นฉันเรียกนายว่าเสือแล้วกัน ฉันชื่อวีนัสนะ”“วีนัส.... วีนัส.... วีนัส...”เสือเรียกชื่อเธอพร้อมกับส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ ไปด้วย คล้ายกับกำลังร้องเพลงอย่างอารมณ์ดี เสียงนั้นทำให้หญิงสาวหลุดขำออกมา... เพราะนึกถึงตัวละครในนิทานดิสนีย์ ที่มักจะมีสัตว์ร้องเพลงอยู่เสมอ ๆแต่แล้วในจังหวะนั้นเอง เงาสีดำสายหนึ่งก็พุ่งตัดหน้าพวกเขาไปฟุบ !เสือดำโตใหญ่ยืนจังก้าดักหน้าพวกเขาเอาไว้ มันแยกเขี้ยวแล้วคำรามขึ้นว่า“ไอ้ลูกเสือกำพร้า ส่งอาหารอันโอชะบนหลังเจ้ามาเสีย !”โฮกกกกกกกกกกกกกกกเสืออีกตัวอ้าปากคำรามโต้กลับ“นางเป็นของข้า !”“ฮ่า ๆ ตอนนี้เจ้าไม่มีฤๅษีเฒ่าคุ้มครองแล้ว คิดรึว่าจะสู้ข้าได้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ส่งนางมนุษย์ผู้นั้นมาให้ข