“ก็ได้จ้ะ แต่ถ้าหากมีเรื่องอะไรให้แม่ช่วย ต้องบอกนะ อย่าเกรงใจ” ถึงแม้จะแอบเสียดายแต่เวเนสซ่าก็ตามใจ
“แต่เรื่องที่ว่าหนูจะต้องย้ายไปอยู่บ้านแม่ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด เพราะแม่รับปากกับทิพย์เอาไว้แล้วว่าจะดูแลหนูเอง พวกเราเป็นห่วงความปลอดภัยของหนูมากรู้ไหม”
ก่อนหน้าที่จะย้ายทิพวรรณมารักษา เวเนสซ่ามีโอกาสได้คุยกับเพื่อนรักก่อนที่อาการเธอจะทรุดหนักจนต้องเข้าไอซียู ทิพวรรณได้ฝากฝังให้ช่วยดูแลลูกสาวของเธอเพราะไม่ไว้ใจใครอีกแล้วโดยเฉพาะสามีและลูกเลี้ยงที่เพิ่งทำเรื่องงามหน้าเอาไว้
พรนับพันไม่กล้าปฏิเสธอะไรอีก ได้แค่พยักหน้าตอบรับ และภาวนาให้ทุกอย่างมันจบลงโดยเร็ว เธอและแม่จะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกันสองคน
ไม่ชอบกับการต้องมาเป็นภาระคนอื่น มันเป็นสิ่งที่เธอลำบากใจที่สุด
ช่วงเย็นของวันนั้นพรนับพันก็ได้เข้ามายังคฤหาสน์ แม่บ้านนำกระเป๋าของเธอไปเก็บยังห้องพักที่เตรียมไว้
“ยัยหงส์ไลน์ไปบอกพี่ ๆ ว่าวันนี้ให้กลับมากินข้าวเย็นที่บ้านนะลูก แม่จะแนะนำหนูเพียวให้ทุกคนรู้จัก”
“เรียบร้อยแล้วค่ะมาดาม” กรรวีที่รู้งาน เธอส่งข้อความบอกพี่ชายทั้งสามก่อนจะออกจากโรงพยาบาลแล้วด้วยซ้ำ
“รู้มากนะเรา”
“เขาเรียกว่ารู้ใจต่างหาก”
“ต่อปากต่อคำ” วาคิมอดดุลูกสาวสุดที่รักไม่ได้
“หนูเพียวไปพักผ่อนก่อนเถอะลูก ยุ่งมาทั้งวันแล้ว เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ว่าจะไปเอนหลังหน่อยเหมือนกัน ถึงมื้อเย็นค่อยให้แม่บ้านไปตาม” วาคิมเอ่ยบอกพรนับพัน
“ขอบคุณมากค่ะคุณลุง คุณป้า”
“แหน่ะ! บอกแล้วไง ให้เรียกพ่อแม่ ไม่ต้องเรียกลุงป้าหรอกลูก แม่เอ็นดูเราเหมือนลูกสาวคนหนึ่งนะ” เวเนสซ่าเอ่ยบอกเสียงอบอุ่น พลางยกมือลูบผมหญิงสาวเบา ๆ
อยากให้พรนับพันอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกอึดอัด เพราะดูออกว่าพรนับพันเกรงใจเธอและสามีมากแค่ไหน
“เพียวขอบคุณอีกครั้งนะคะที่เอ็นดูเพียว ตอนนี้อาจยังไม่ค่อยชินแต่จะพยายามปรับค่ะ” พรนับพันยิ้มผ่อนคลาย
“ปะ เดี๋ยวหงส์พาพี่เพียวไปห้องเองค่ะ” จากนั้นกรรวีก็ควงแขนพรนับพันนำเดินไปยังห้องนอน
เพียว พรนับพัน | talk :
เกือบสัปดาห์แล้วที่ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเพื่อนรักของคุณแม่.. ไม่สิ เรียกว่าคฤหาสน์น่าจะเหมาะกว่า เพราะบ้านหลังนี้ใหญ่มาก มีอานาเขตกว้างขวาง
ฉันอยู่ห้องรับรองแขกที่ติดกับห้องนอนของน้องหงส์ ตั้งแต่วันที่เข้ามา คุณป้าแนะนำให้รู้จักกับคุณสิงห์และคุณมังกรลูกชายคนที่สองและสามของท่าน
คุณสิงห์เป็นคนอัธยาศัยดีพูดเก่ง เข้ากับคนง่ายเลยทำให้เราเหมือนจะสนิทกันไว อาจเพราะความกะล่อนเจ้าชู้ด้วยกระมัง
แต่ถึงจะสนิทกันยังไงฉันก็ไม่ลืมที่จะขีดเส้นความเป็นพี่น้องไว้กับคุณสิงห์ตั้งแต่แรกอย่างชัดเจน ถึงจะหล่อกร้าวใจขนาดไหน ผู้ชายแบบเขาอันตราย
ส่วนคุณมังกร เราเคยเจอกันหลายครั้งตอนยังเป็นเด็ก ฉันพอจะจำได้เพราะเขาเป็นผู้ชายสไตล์อบอุ่นดูแลเทกแคร์ฉันเหมือนน้องสาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอมาเจอกันครั้งนี้เลยไม่ได้รู้สึกเกร็งนัก ทั้งคู่ให้เกียรติฉันในฐานะแขกของบ้านและปฏิบัติต่อฉันดีมากในฐานะน้องสาว
แต่ก็ยังเหลืออีกคนที่ยังไม่เคยเจอหน้า คือลูกชายคนโตของคุณป้า ชื่อคุณเสือ รายนั้นได้ข่าวว่าดุ เป็นคนเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ขี้รำคาญด้วยมั้ง ฉันฟังจากที่น้องหงส์กับบรรดาแม่บ้านพูดกันมาอีกที เลยรู้สึกเบาใจขึ้นหน่อยที่ยังไม่เจอกัน ได้ยินว่าเขาต้องไปดูโรงงานที่พัทยาเลยไม่อยู่บ้านหลายวัน
ส่วนตัวฉันช่วงนี้ก็วนเวียนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล จนเมื่อวานแม่ฉันบังเอิญเจอกับพี่เพชร พี่ชายต่างสายเลือดที่สร้างเรื่องน่ารังเกียจไว้ เขาอยู่ตรงทางเดินที่ฉันต้องผ่านไปห้องพักผู้ป่วย
‘เพียว...’
‘พี่เพชร!’ เขาอยู่ในชุดผู้ป่วยของทางโรงพยาบาล น่าจะรักษาตัวที่นี่ด้วยกระมัง
‘คุยกันหน่อยได้ไหม’ เขาร้องขอด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
‘ออกไป’ ฉันไล่เขาไป และถอยห่างออกมาหนึ่งก้าวด้วยท่าทีที่แสนรังเกียจ
‘พี่แค่อยากอธิบาย พี่ไม่ได้ตั้งใจ...’
‘อย่ามาให้เพียวเห็นหน้าอีก ออกไป!’
‘พี่ขอร้อง ฟังกันหน่อย...’ เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ฉันเรื่อย ๆ แต่ฉับพลันก็…
‘ปล่อยกู! พวกมึงเป็นใครวะ!’ พี่เพชรร้องลั่น ดิ้นรนต่อต้านเมื่อชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนล็อกตัว กันเขาออกห่างจากฉัน สองคนนั้นคือบอดี้การ์ดที่คุณลุงวาคิมสั่งให้ตามมาคอยดูแลความปลอดภัยและคอยช่วยเหลือฉันห่าง ๆ ฉันจำได้
เหอะ! อยากอธิบายเหรอ ไปอธิบายให้รากมะม่วงฟังเถอะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าหรือได้ยินชื่อเขาด้วยซ้ำ
แทบไม่อยากเชื่อว่าพี่ชายที่ฉันทั้งรักทั้งนับถือมาตลอดหลายสิบปีจะคิดอกุศลกับฉันได้ ถึงไม่ใช่สายเลือดกันแต่เราก็โตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ แล้วมาทำแบบนั้นกับฉันได้ยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ชะมัด
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องเมื่อวาน คุณลุงและคุณป้ารู้เรื่องเข้า พวกท่านจึงขอให้ฉันหยุดไปเยี่ยมแม่ก่อน เพราะตราบใดที่พี่เพชรยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน ก็กลัวฉันจะไม่ปลอดภัย
จากที่น้องหงส์แอบไปสืบมา อีกไม่กี่วันเขาก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ หลังจากนั้นฉันค่อยไปเยี่ยมแม่เหมือนเดิม
ยังไม่ทันที่ไอ้สิงห์จะพูดอะไรต่อ ผมก็ได้ยินเสียงน้องสาวตัวแสบที่เมาจนไม่รู้เรื่องอะไรละเมอขึ้นมาเสียงดัง จนมันต้องหันกลับไปสนใจยัยหงส์ต่อ แต่ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตมาค้อนใส่ผมเบา ๆ ในตอนที่ผมหันกลับไปมองมันเหอะ ค้อนห่าอะไร ของแบบนี้ใครดีใครได้หลังจากที่ผมวางเธอลงบนเตียง ก็ได้ยินเพียวส่งเสียงครางในลำคอออกมาเบา ๆ เธอบิดตัวและพลิกกายนอนหันหลังให้“อื้อ... สบายจัง”“ขี้เซา” เห็นท่าทางนั้นของเธอจึงได้แต่ยืนมองสำรวจแผ่นหลังขาวเนียนที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงสด โชว์แผ่นหลังขาวเนียนต่ำลงมาจนเกือบถึงเอวคอด ยิ่งเธอยกขาก่ายหมอนข้างกระโปรงที่สั้นอยู่แล้วก็ยิ่งขยับร่นขึ้นไปอีกจนเกือบจะเห็นบั้นท้าย‘ยั่วจังวะ’“ร้อนจัง...” เธอบ่นพลางปัดผมที่ปรกใบหน้าและลำคอออกด้วยความรำคาญเพื่อ ท่าทางพวกนั้นทำผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนถึงกับอดใจไม่ ผมเผลอขยับตัวขึ้นไปบนเตียง เผลอจับตัวเธอพลิกให้นอนหงาย แล้วเผลอขยับกายไปอยู่ตรงหว่างขาขาว เผลอใช้เข่าตัวเองดันเรียวขาสวยให้อ้ากว้างกลิ่นกายของเธอที่ลอยมาแตะจมูกผม ทำให้ผมอดใจไม่อยู่จนเผลอโน้มตัวไปสูดดมกลิ่นกายหอมที่ทำให้ผมแทบคลั่งผมเลื่อนมือไปกุมหน้าอกอวบอิ่มไว้เต็มกำ
“อยากให้ไปด้วย?” พี่มังกรเลิกคิ้วถาม“ไปก็ดีนะ จะได้เหมือนมีบอดี้การ์ด ช่วงนี้มีหนุ่มตามจีบด้วยแหละ”“จีบแก?”“หึ! จีบพี่เพียว แฮร่!” น้องหงส์ตบมุขโบ๊ะบ๊ะกับพี่มังกร เกิดเป็นเสียงหัวเราะขึ้นมา ฉันได้แต่ส่ายหน้าขำแม้หลายวันมานี้จะมีลูกค้าของบริษัทมาตามจีบอยู่บ้างก็เถอะจะว่าไปก็มีอยู่คนหนึ่งที่มาตามจีบแบบรุกหนัก ทั้งที่ฉันปฏิเสธไปแล้ว เรามักบังเอิญเจอกันบ่อยตามสถานที่ต่าง ๆ จนพักหลังฉันคิดว่าฉันน่าจะถูกติดตามเรื่องนี้ฉันเพิ่งเล่าให้น้องหงส์ฟังเมื่อไม่นาน ขนาดเมื่อคืนก็ยังเจอกันที่ผับ แต่โชคดีที่โต๊ะเรามีผู้ชายเยอะจนเขาได้แต่นั่งมองห่าง ๆ ไม่ได้เข้ามาคุกคามหรือทักทาย“ใคร?” พี่มังกรขมวดคิ้วถาม“ลูกค้าบริษัทพี่เสือค่ะ เมื่อคืนก็เจอนะที่คลับ” น้องหงส์ตอบ“ช่วงเช้าพี่ไม่ว่างอะดิ มีเช็กสินค้าก่อนส่ง รอบ่ายได้ไหมเดี๋ยวพาไป”“ไม่ได้ ต้องไปแต่เช้าเพราะต้องแวะไปเยี่ยมคุณน้าก่อน”“เราขับรถไปกันเองก็ได้น้องหงส์” ฉันแย้งขึ้นเพราะเกรงใจไม่อยากรบกวนใคร“ไม่ค่ะ เดี๋ยวเกิดจ๊ะเอ๋คุณเพชรเข้าอีกจะทำไงคะ แล้วหงส์ก็ไม่อยากให้ลูกน้องคุณพ่อตามไป ดูน่าอึดอัดจะตายชัก”“ไม่เป็นไรหรอก พี่เพชรเขาเงียบหายไปพักใหญ
“พี่เสือ! มาได้ไงคะ” เสียงน้องหงส์ดังมาแต่ไกลทำเขาผละตัวออกห่าง ส่วนฉันก็ดึงตัวเองออกจากภวังค์นัยน์ตาสีอำพันนั้น พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เสียอาการในขณะที่อีกคนนิ่งมาก“เพื่อนนัดมา กำลังจะกลับ” “อย่ารีบกลับสิ ไปนั่งต่อด้วยกันไหม โต๊ะพวกเราอยู่ตรงนี้เองค่ะ” น้องหงส์ชวนไปนั่งดื่มด้วยกัน คุณเสือเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่สายตาเหลือบมองมาทางฉัน แวบหนึ่งฉับแอบรับรู้ถึงความไม่พอเจือในนั้น “อืม แป๊บเดียวนะ” คุณเสือกลับตอบรับอย่างง่ายดายฉันได้แต่ทำหน้าเบื่อโลกที่ต้องร่วมวงกับเขาแล้วเดินตามแรงดึงของน้องหงส์ไป เมื่อมาถึงโต๊ะ พี่สิงห์และเพื่อนเพื่อนก็ทักทายคุณเสือด้วยความแปลกใจ“อ้าว พี่มาได้ไง” “นัดเพื่อนไว้” คุณเสือก็ตอบรับแค่สั้น ๆ พยักหน้าให้เล็กน้อยตามสไตล์ ท่าทางเพื่อนพี่สิงห์ดูจะเคารพคุณเสือมากเลยทีเดียว แต่ทุกคนก็ยังพูดคุยเฮฮาอย่างสนิทสนมกันเรานั่งดื่มกันพอสมควรก็เริ่มแยกย้ายกันกลับ น้องหงส์นี่เรียกได้ว่าเมาทิ้งตัวเพราะโดนพี่ ๆ ท้าให้ดื่มเหล้าแรงไปแก้วเดียวถึงกับเซหมดสภาพ ทำอย่างกับเป็นเด็กวัยมหาลัยไปได้แต่ละคนว่าแต่น้องหงส์ ฉันเองก็ยังพอพยุงตัวเองแทบไม่ไหว เสียทรงไปเหมือนกัน“พี่จะกลับบ
“ค่ะ!” ฉันกระแทกเสียงแล้วนั่งลงบนโซฟาในตำแหน่งใกล้คุณสิงห์อย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่ สั่งจริงสั่งจัง สั่งอยู่ได้!ระหว่างนั้นคุณเสือก็กินเงียบ ๆ ไม่พูดคุยอะไรกับใคร มีแค่พี่สิงห์เท่านั้นที่ชวนฉันคุยไปเรื่อย จนกระทั่งมื้ออาหารจบลง“พรุ่งนี้พี่ต้องไปดูแลงานที่สาขาภูเก็ต น่าจะหลายวัน ไว้ค่อยซื้อขนมมาฝาก” พี่สิงห์หันมาบอกกับฉัน“อ้าว เหรอคะ”“ครับ งั้นคืนนี้เราไปดื่มกันหน่อยไหม?”“ได้ค่ะ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด ดื่มได้” น้องหงส์และพี่สิงห์ชอบชวนฉันดื่มด้วยกันบ่อย ๆ นั่งชิล พูดคุยปรึกษากันที่ริมสระบ้านเขาหรือไม่ก็ปาร์ตี้เล็ก ๆ ในสวนจนกลายเป็นกิจกรรมประจำของพวกเราแล้ว “พรุ่งนี้ขึ้นเครื่องกี่โมง” คุณเสือถามน้องชายของเขา“7 เช้า” คุณสิงห์ก็ตอบไปสั้น ๆ“แล้วมึงยังจะดื่ม?”“นิดหน่อยเองเฮีย”“แน่ใจ?”“อืม เราทำด้วยกันออกบ่อย กับน้องไม่หนักหรอกน่า” พี่สิงตอบพลางเอามือขยี้หัวฉันเบา ๆ อย่างที่ชอบทำกับน้องหงส์ ด้วยความที่เริ่มสนิทกัน พี่สิงห์ก็เริ่มลามปามมาทำกับฉันด้วยอันนี้พอเข้าใจ แต่คำพูดของแง่สองง่ามแบบนี้เขาไม่เคยทำ มันยังไง!ฉันส่งสายตาดุใส่คุณสิงห์จนเขาขำ แต่ก็ดันเผลอหันไปเห็นสายตาของคุณเสือที่มอง
“คุณเสือคะ ถ้าหากว่าการที่ฉันเข้าไปอยู่ในบ้านทำให้คุณอึดอัด ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ แต่มันจำเป็น ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนทางบ้านคุณเลย ถ้าเกิดปัญหาทุกอย่างจบลงไม่ว่าจะเรื่องแม่และเรื่องคนที่ตามทำร้าย ฉันสัญญาค่ะว่าจะออกมาให้เร็วที่สุด” อย่าว่าแต่เขาเลย ฉันเองก็อึดอัดไม่ต่างกัน เขาดูเหมือนจะรำคาญและไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่“กินข้าวเถอะ” เขาพูดขึ้น แต่ใครจะไปกินลง ไม่ใช่ฉันแล้วคนหนึ่ง“ไม่หิว?” คุณเสือเลิกคิ้วถาม ท่าทางนิ่ง ๆ นั่นดูกวนประสาทชะมัดฉันหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากทันที ไม่หิวได้ไง ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ปาเข้าไปจะบ่ายโมงแล้วด้วยฉันกับคุณเสือไม่มีใครพูดอะไรอีก จนกินเสร็จฉันก็ทำหน้าที่เก็บโต๊ะให้เป็นการตอบแทน“กะจะทำงานที่นี่อีกนานแค่ไหน” อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น“ก็คงนานค่ะ นี่ก็เพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่กี่เดือน ดิฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนงานใหม่บ่อย ๆ” ฉันตอบไปตามตรงถ้าให้ดิ้นรนหางานใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ไหวหรอกนะ ยิ่งงานดีเงินเดือนดี และสวัสดิการก็ดีขนาดนี้ที่ไทยหาง่ายเสียที่ไหนกัน ไม่ออกให้โง่หรอก“ไม่คิดจะกลับไปทำงานเมืองนอกแล้ว?”“ค่ะ” แม่ป่วยจะให้กลับยังไง โรคน
พรนับพัน talk :“คุณเพียวคะ คุณเสือเรียกพบค่ะ”มือที่กำลังจะตักข้าวคำแรกเข้าปากก็ต้องชะงักไว้เมื่อได้ยินประโยคนั้น“ตอนนี้เลยเหรอคะ” ตอนนี้ที่ว่าคือเวลาพักเที่ยงของฉัน“ใช่ค่ะ รีบขึ้นไปก่อนเถอะนะ” สายตาของพี่แหม่มทั้งอ้อนวอนแกมบังคับ แล้วฉันจะเลือกอะไรได้ นอกจากวางช้อนแล้วลุกไปหลังจากที่มาสัมภาษณ์งาน รุ่งเช้าของวันถัดไปฉันก็ถูกเรียกตัวทันที จนตอนนี้นับเวลาได้สามเดือนกว่าที่ฉันเข้ามาทำงาน ไม่แน่ใจว่าที่งานเป็นเพราะคุณลุงคุณป้าคอยช่วยอยู่หรือเปล่า แต่ช่างเถอะเพราะได้มาแล้ว อย่างไรเสียฉันก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไม่ปล่อยให้ใครว่าครหาเรื่องใช้เส้นสาย“สวัสดีค่ะ คุณเสือเรียกพบฉันเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามาในห้องทำงานของคนตัวสูง และเห็นเขานั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“นั่งลงสิ” “ขอบคุณค่ะ” ฉันนั่งลงตรงกันข้ามเขา “มีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ” ฉันยิงคำถามเพราะฉันไม่เคยโดนเรียกพบเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง ชักสงสัยแล้วว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า“กินอะไรมารึยัง”“ยังค่ะ” ‘ถ้าไม่เรียกขึ้นมาก็ได้กินข้าวอิ่มไปแล้วล่ะค่ะ!’ เสียงในหัวของฉันดังขึ้น ไม่แน่ใจว่าแสดงออกไปทางสีหน้าบ้างไหม ก็คนมันโมโ