“ยืนเหม่ออะไรอยู่ครับคนสวย”
ฉันที่กำลังยืนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่บริเวณสวนหลังบ้าน ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงทักทายจกชายหนุ่ม
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณสิงห์ เพียวมายืนสูดอากาศน่ะค่ะ ที่นี่อากาศดีจัง” ฉันยิ้มให้คนตัวสูงที่วันนี้ใส่สูทเต็มยศ
“ว้าว... แต่งเต็มยศเลยนะคะวันนี้”
“มีประชุมกับพาทเนอร์แทนพี่เสือน่ะครับ เลยต้องแต่งเนี๊ยบหน่อย ไม่งั้นโดนด่าตาย” คุณสิงห์ขำเบา ๆ
“ว่าแต่เพียวเถอะ ตื่นเช้าจัง เตรียมไปเยี่ยมแม่ที่โรงบาลเหรอ ให้พี่ไปส่งไหม”
“เพียวตื่นเช้าทุกวันค่ะ แค่พี่สิงห์ตื่นสายกว่าเลยไม่เคยเจอเพียวเอง ส่วนเยี่ยมแม่คงไม่ได้ไปค่ะ พอดีเมื่อวานเกิดเรื่องนิดหน่อย แถมวันนี้มีนัดสัมภาษณ์งานด้วยค่ะ”
“สัมภาษณ์ที่ไหน บอกแล้วไงว่าให้มาทำกับพี่”
“เพียวอยากใช้ความสามารถของตัวเองค่ะ แค่นี้ก็รบกวนมากพอแล้ว”
“รบกวนอะไร พูดแบบนี้อีกแล้วนะเรา” เขาส่งสายตาดุฉันเบา ๆ
“ก็มันจริงนี่คะ”
“ไม่เอา ไม่พูดละครับ ว่าแต่สัมภาษณ์ที่ไหน” คุณสิงห์เปลี่ยนเรื่องถาม
“ให้ได้งานก่อนนะคะ ค่อยบอกทีเดียว” กลัวว่าหากไปสัมภาษณ์แล้วไม่ได้งานขึ้นมาเสียหน้าแย่
@บริษัทส่งออกอาหารทะเลยักษ์ใหญ่…
“ได้ยินว่าวันนี้ท่านประธานลงมาสัมภาษณ์พนักงานใหม่ด้วยตัวเองเลยเหรอ”
“ใช่สิ ระดับหัวหน้าแผนก แกจะให้ใครสัมภาษณ์ล่ะ ถ้าไม่ใช่ท่านประธาน”
“เออจริง ลืมไปได้ไง ยิ่งเนี้ยบขนาดนั้น เขาคงไม่ไว้ใจให้ใครรับคนเข้ามาทำงานมั่ว ๆ หรอกเนอะ”
ฉันที่นั่งรอสัมภาษณ์อยู่ก็ได้ยินพนักงานที่เดินผ่านคุยกัน และใช่.. ตำแหน่งที่ฉันมาสัมภาษณ์คือหัวหน้าแผนกฝ่ายการตลาด
ฉันจบบริหารธุรกิจระหว่างประเทศสาขาการตลาดมาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง พอเรียนจบก็ได้เข้าทำงานกับบริษัทใหญ่ที่นั่นทันที ฉันทำงานจนได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการอย่างรวดเร็ว แต่เพราะเรื่องที่แม่ป่วยหนักฉันก็ตัดสินใจลาออกจากงานและกลับไทยอย่างไม่ลังเล
งานนี้มันเหมาะกับฉันเพราะฉันมีประสบการณ์ และมั่นใจมากว่าโพรไฟล์ฉันไม่น้อยหน้าใคร แม้ในจำนวนผู้มารอสัมภาษณ์ที่นั่งเรียงแถวกันอยู่ตอนนี้ฉันจะดูเด็กสุดก็ตาม
“คุณพรนับพัน เชิญค่ะ”
“ค่ะ” ใกล้ถึงคิวฉันแล้วสินะ
ฉันลุกขึ้นยืนหันมองตัวเองในกำแพงกระจก แอบเช็กความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมนิดหน่อยและยิ้มให้ตัวเองเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะก้าวเข้าไปยังห้องสัมภาษณ์
ผู้ชายสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนนั่งเรียงกันอยู่อีกฝั่งของโต๊ะตัวยาว ทุกคนมองมาที่ฉัน
“สวัสดีค่ะ” ปากฉันทักทายทุกคนแต่ทว่าสายตามันดันไปสะดุดกับใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่นั่งตรงกลาง
ชายหนุ่มอายุน่าจะยังไม่ถึงสามสิบปีกระมัง แต่ดูมีมาด ภูมิฐาน บุคลิกดีดูสง่า สายตาดุนิ่ง ดูเย็นชา หล่อ ออร่า น่าดึงดูดชะมัด
เสี้ยวนาทีที่ฉันมองเขา รู้สึกได้ว่าเขาก็มองฉันอยู่เช่นกัน แต่คงเป็นการมองแบบสงสัย ว่าฉันมองอะไรเขานักหนามากกว่า เพราะแค่ครู่เดียวเขาก็หันสายตากลับไปจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าเหมือนเดิม
“เชิญนั่งค่ะ” ผู้หญิงที่นั่งริมขวาสุดเอ่ย
“ขอบคุณค่ะ” ฉันนั่งลงและการสัมภาษณ์ก็เริ่มขึ้น…
...
“เฮ้อ...” ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อออกจากห้องสัมภาษณ์
ปกติฉันไม่ใช่คนขี้ประหม่า ค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง ฉะฉาน ออกไปทางมั่นหน้า ทว่าในห้องสัมภาษณ์นั่น...
ตอนเผลอไปสบตาผู้ชายคนนั้น หัวใจฉันเต้นแรงเป็นพิเศษ หน้าหล่อ ๆ ดวงตาคู่คม นัยน์ตาสีอำพัน ปากหยักหนาได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน เหมือนจะมีเชื้อต่างชาติอยู่ด้วยกระมัง พอได้มองแล้วพาให้ใจเต้นแรงเป็นบ้า
ยิ่งเสียงทุ้มต่ำเวลาเขายิงคำถามใส่ ดูเป็นโปรเฟสชันแนล
ความรู้สึกนี้มันอะไรกันนะ ว่าแต่... แอบคุ้นชะมัด
“พอ ๆ ไปหาแม่ดีกว่า” ฉันสะบัดหน้าเรียกสติกลับมา ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหวีดผู้ชายนะ
ถึงคุณลุงคุณป้าเพิ่งจะสั่งห้ามมา แต่เพราะฉันอดเป็นห่วงแม่ไม่ได้ คงไม่ซวยไปเจอพี่เพชรทุกวันหรอกมั้ง
“ไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ” ฉันบอกพี่บอดี้การ์ด
“แต่คุณท่านสั่ง...”
“นะคะ” จากที่จะโดนขัด หากเมื่อเห็นสายตาออดอ้อนของพรนับพัน บอดี้การ์ดร่างยักษ์ก็ใจเหลวเป็นน้ำ
“แป๊บเดียวเท่านั้นนะครับคุณเพียว ผมพาไปแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมงนะครับ ไม่งั้นถ้าคุณท่านรู้พวกผมซวยแน่ครับ”
“มึงนี่นะ!” บอดี้การ์ดอีกคนหงุดหงิดใส่บัดดี้ตนเองที่ยอมใจอ่อนจะพาฉันไปเยี่ยมแม่
“ถ้าเกิดแม่มึงป่วย มึงไม่ไปเยี่ยมได้เหรอวะ?”
“แต่คุณท่านสั่งแล้ว”
“เพียวขอแค่สิบนาทีก็พอค่ะ วันนี้วันเดียว แค่ให้เพียวได้ไปบอกท่านว่าคงจะไม่ได้มาเยี่ยมอีกหลายวัน ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง นะคะ”
“เฮ้อ...! ชีวิตกู!” เมื่อรู้ว่าอีกคนก็พาอ่อนใจ ฉันก็ได้แต่ยิ้มตาเป็นประกาย
“ขอบคุณนะคะพี่ ๆ”
ยังไม่ทันที่ไอ้สิงห์จะพูดอะไรต่อ ผมก็ได้ยินเสียงน้องสาวตัวแสบที่เมาจนไม่รู้เรื่องอะไรละเมอขึ้นมาเสียงดัง จนมันต้องหันกลับไปสนใจยัยหงส์ต่อ แต่ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตมาค้อนใส่ผมเบา ๆ ในตอนที่ผมหันกลับไปมองมันเหอะ ค้อนห่าอะไร ของแบบนี้ใครดีใครได้หลังจากที่ผมวางเธอลงบนเตียง ก็ได้ยินเพียวส่งเสียงครางในลำคอออกมาเบา ๆ เธอบิดตัวและพลิกกายนอนหันหลังให้“อื้อ... สบายจัง”“ขี้เซา” เห็นท่าทางนั้นของเธอจึงได้แต่ยืนมองสำรวจแผ่นหลังขาวเนียนที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงสด โชว์แผ่นหลังขาวเนียนต่ำลงมาจนเกือบถึงเอวคอด ยิ่งเธอยกขาก่ายหมอนข้างกระโปรงที่สั้นอยู่แล้วก็ยิ่งขยับร่นขึ้นไปอีกจนเกือบจะเห็นบั้นท้าย‘ยั่วจังวะ’“ร้อนจัง...” เธอบ่นพลางปัดผมที่ปรกใบหน้าและลำคอออกด้วยความรำคาญเพื่อ ท่าทางพวกนั้นทำผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนถึงกับอดใจไม่ ผมเผลอขยับตัวขึ้นไปบนเตียง เผลอจับตัวเธอพลิกให้นอนหงาย แล้วเผลอขยับกายไปอยู่ตรงหว่างขาขาว เผลอใช้เข่าตัวเองดันเรียวขาสวยให้อ้ากว้างกลิ่นกายของเธอที่ลอยมาแตะจมูกผม ทำให้ผมอดใจไม่อยู่จนเผลอโน้มตัวไปสูดดมกลิ่นกายหอมที่ทำให้ผมแทบคลั่งผมเลื่อนมือไปกุมหน้าอกอวบอิ่มไว้เต็มกำ
“อยากให้ไปด้วย?” พี่มังกรเลิกคิ้วถาม“ไปก็ดีนะ จะได้เหมือนมีบอดี้การ์ด ช่วงนี้มีหนุ่มตามจีบด้วยแหละ”“จีบแก?”“หึ! จีบพี่เพียว แฮร่!” น้องหงส์ตบมุขโบ๊ะบ๊ะกับพี่มังกร เกิดเป็นเสียงหัวเราะขึ้นมา ฉันได้แต่ส่ายหน้าขำแม้หลายวันมานี้จะมีลูกค้าของบริษัทมาตามจีบอยู่บ้างก็เถอะจะว่าไปก็มีอยู่คนหนึ่งที่มาตามจีบแบบรุกหนัก ทั้งที่ฉันปฏิเสธไปแล้ว เรามักบังเอิญเจอกันบ่อยตามสถานที่ต่าง ๆ จนพักหลังฉันคิดว่าฉันน่าจะถูกติดตามเรื่องนี้ฉันเพิ่งเล่าให้น้องหงส์ฟังเมื่อไม่นาน ขนาดเมื่อคืนก็ยังเจอกันที่ผับ แต่โชคดีที่โต๊ะเรามีผู้ชายเยอะจนเขาได้แต่นั่งมองห่าง ๆ ไม่ได้เข้ามาคุกคามหรือทักทาย“ใคร?” พี่มังกรขมวดคิ้วถาม“ลูกค้าบริษัทพี่เสือค่ะ เมื่อคืนก็เจอนะที่คลับ” น้องหงส์ตอบ“ช่วงเช้าพี่ไม่ว่างอะดิ มีเช็กสินค้าก่อนส่ง รอบ่ายได้ไหมเดี๋ยวพาไป”“ไม่ได้ ต้องไปแต่เช้าเพราะต้องแวะไปเยี่ยมคุณน้าก่อน”“เราขับรถไปกันเองก็ได้น้องหงส์” ฉันแย้งขึ้นเพราะเกรงใจไม่อยากรบกวนใคร“ไม่ค่ะ เดี๋ยวเกิดจ๊ะเอ๋คุณเพชรเข้าอีกจะทำไงคะ แล้วหงส์ก็ไม่อยากให้ลูกน้องคุณพ่อตามไป ดูน่าอึดอัดจะตายชัก”“ไม่เป็นไรหรอก พี่เพชรเขาเงียบหายไปพักใหญ
“พี่เสือ! มาได้ไงคะ” เสียงน้องหงส์ดังมาแต่ไกลทำเขาผละตัวออกห่าง ส่วนฉันก็ดึงตัวเองออกจากภวังค์นัยน์ตาสีอำพันนั้น พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เสียอาการในขณะที่อีกคนนิ่งมาก“เพื่อนนัดมา กำลังจะกลับ” “อย่ารีบกลับสิ ไปนั่งต่อด้วยกันไหม โต๊ะพวกเราอยู่ตรงนี้เองค่ะ” น้องหงส์ชวนไปนั่งดื่มด้วยกัน คุณเสือเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่สายตาเหลือบมองมาทางฉัน แวบหนึ่งฉับแอบรับรู้ถึงความไม่พอเจือในนั้น “อืม แป๊บเดียวนะ” คุณเสือกลับตอบรับอย่างง่ายดายฉันได้แต่ทำหน้าเบื่อโลกที่ต้องร่วมวงกับเขาแล้วเดินตามแรงดึงของน้องหงส์ไป เมื่อมาถึงโต๊ะ พี่สิงห์และเพื่อนเพื่อนก็ทักทายคุณเสือด้วยความแปลกใจ“อ้าว พี่มาได้ไง” “นัดเพื่อนไว้” คุณเสือก็ตอบรับแค่สั้น ๆ พยักหน้าให้เล็กน้อยตามสไตล์ ท่าทางเพื่อนพี่สิงห์ดูจะเคารพคุณเสือมากเลยทีเดียว แต่ทุกคนก็ยังพูดคุยเฮฮาอย่างสนิทสนมกันเรานั่งดื่มกันพอสมควรก็เริ่มแยกย้ายกันกลับ น้องหงส์นี่เรียกได้ว่าเมาทิ้งตัวเพราะโดนพี่ ๆ ท้าให้ดื่มเหล้าแรงไปแก้วเดียวถึงกับเซหมดสภาพ ทำอย่างกับเป็นเด็กวัยมหาลัยไปได้แต่ละคนว่าแต่น้องหงส์ ฉันเองก็ยังพอพยุงตัวเองแทบไม่ไหว เสียทรงไปเหมือนกัน“พี่จะกลับบ
“ค่ะ!” ฉันกระแทกเสียงแล้วนั่งลงบนโซฟาในตำแหน่งใกล้คุณสิงห์อย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่ สั่งจริงสั่งจัง สั่งอยู่ได้!ระหว่างนั้นคุณเสือก็กินเงียบ ๆ ไม่พูดคุยอะไรกับใคร มีแค่พี่สิงห์เท่านั้นที่ชวนฉันคุยไปเรื่อย จนกระทั่งมื้ออาหารจบลง“พรุ่งนี้พี่ต้องไปดูแลงานที่สาขาภูเก็ต น่าจะหลายวัน ไว้ค่อยซื้อขนมมาฝาก” พี่สิงห์หันมาบอกกับฉัน“อ้าว เหรอคะ”“ครับ งั้นคืนนี้เราไปดื่มกันหน่อยไหม?”“ได้ค่ะ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด ดื่มได้” น้องหงส์และพี่สิงห์ชอบชวนฉันดื่มด้วยกันบ่อย ๆ นั่งชิล พูดคุยปรึกษากันที่ริมสระบ้านเขาหรือไม่ก็ปาร์ตี้เล็ก ๆ ในสวนจนกลายเป็นกิจกรรมประจำของพวกเราแล้ว “พรุ่งนี้ขึ้นเครื่องกี่โมง” คุณเสือถามน้องชายของเขา“7 เช้า” คุณสิงห์ก็ตอบไปสั้น ๆ“แล้วมึงยังจะดื่ม?”“นิดหน่อยเองเฮีย”“แน่ใจ?”“อืม เราทำด้วยกันออกบ่อย กับน้องไม่หนักหรอกน่า” พี่สิงตอบพลางเอามือขยี้หัวฉันเบา ๆ อย่างที่ชอบทำกับน้องหงส์ ด้วยความที่เริ่มสนิทกัน พี่สิงห์ก็เริ่มลามปามมาทำกับฉันด้วยอันนี้พอเข้าใจ แต่คำพูดของแง่สองง่ามแบบนี้เขาไม่เคยทำ มันยังไง!ฉันส่งสายตาดุใส่คุณสิงห์จนเขาขำ แต่ก็ดันเผลอหันไปเห็นสายตาของคุณเสือที่มอง
“คุณเสือคะ ถ้าหากว่าการที่ฉันเข้าไปอยู่ในบ้านทำให้คุณอึดอัด ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ แต่มันจำเป็น ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนทางบ้านคุณเลย ถ้าเกิดปัญหาทุกอย่างจบลงไม่ว่าจะเรื่องแม่และเรื่องคนที่ตามทำร้าย ฉันสัญญาค่ะว่าจะออกมาให้เร็วที่สุด” อย่าว่าแต่เขาเลย ฉันเองก็อึดอัดไม่ต่างกัน เขาดูเหมือนจะรำคาญและไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่“กินข้าวเถอะ” เขาพูดขึ้น แต่ใครจะไปกินลง ไม่ใช่ฉันแล้วคนหนึ่ง“ไม่หิว?” คุณเสือเลิกคิ้วถาม ท่าทางนิ่ง ๆ นั่นดูกวนประสาทชะมัดฉันหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากทันที ไม่หิวได้ไง ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ปาเข้าไปจะบ่ายโมงแล้วด้วยฉันกับคุณเสือไม่มีใครพูดอะไรอีก จนกินเสร็จฉันก็ทำหน้าที่เก็บโต๊ะให้เป็นการตอบแทน“กะจะทำงานที่นี่อีกนานแค่ไหน” อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น“ก็คงนานค่ะ นี่ก็เพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่กี่เดือน ดิฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนงานใหม่บ่อย ๆ” ฉันตอบไปตามตรงถ้าให้ดิ้นรนหางานใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ไหวหรอกนะ ยิ่งงานดีเงินเดือนดี และสวัสดิการก็ดีขนาดนี้ที่ไทยหาง่ายเสียที่ไหนกัน ไม่ออกให้โง่หรอก“ไม่คิดจะกลับไปทำงานเมืองนอกแล้ว?”“ค่ะ” แม่ป่วยจะให้กลับยังไง โรคน
พรนับพัน talk :“คุณเพียวคะ คุณเสือเรียกพบค่ะ”มือที่กำลังจะตักข้าวคำแรกเข้าปากก็ต้องชะงักไว้เมื่อได้ยินประโยคนั้น“ตอนนี้เลยเหรอคะ” ตอนนี้ที่ว่าคือเวลาพักเที่ยงของฉัน“ใช่ค่ะ รีบขึ้นไปก่อนเถอะนะ” สายตาของพี่แหม่มทั้งอ้อนวอนแกมบังคับ แล้วฉันจะเลือกอะไรได้ นอกจากวางช้อนแล้วลุกไปหลังจากที่มาสัมภาษณ์งาน รุ่งเช้าของวันถัดไปฉันก็ถูกเรียกตัวทันที จนตอนนี้นับเวลาได้สามเดือนกว่าที่ฉันเข้ามาทำงาน ไม่แน่ใจว่าที่งานเป็นเพราะคุณลุงคุณป้าคอยช่วยอยู่หรือเปล่า แต่ช่างเถอะเพราะได้มาแล้ว อย่างไรเสียฉันก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไม่ปล่อยให้ใครว่าครหาเรื่องใช้เส้นสาย“สวัสดีค่ะ คุณเสือเรียกพบฉันเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามาในห้องทำงานของคนตัวสูง และเห็นเขานั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“นั่งลงสิ” “ขอบคุณค่ะ” ฉันนั่งลงตรงกันข้ามเขา “มีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ” ฉันยิงคำถามเพราะฉันไม่เคยโดนเรียกพบเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง ชักสงสัยแล้วว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า“กินอะไรมารึยัง”“ยังค่ะ” ‘ถ้าไม่เรียกขึ้นมาก็ได้กินข้าวอิ่มไปแล้วล่ะค่ะ!’ เสียงในหัวของฉันดังขึ้น ไม่แน่ใจว่าแสดงออกไปทางสีหน้าบ้างไหม ก็คนมันโมโ