ท่านประธานสุดเย็นชาที่เกือบโดนมารดาจับคลุมถุงชนเพราะอยากได้ลูกสาวเพื่อนมาเป็นลูกสะใภ้ เขาปฏิเสธเสียงเย็นหนักแน่น 'ใครจะแต่งก็แต่งไป' แต่จากที่คิดว่าไม่ชอบ ไม่รัก ไม่สนใจ สุดท้ายกลับกลายเป็นหลงเธอหัวปักหัวปำ
View More“พี่เสือ ลูกไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวบ้างเหรอ อายุเยอะ แล้วนะ”
“แม่ก็รู้ดีนี่ครับว่าผมโสด แล้วจะแต่งงานได้ยังไง” เสียงทุ้มนิ่งตอบผู้เป็นแม่เสียงเรียบอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“ตกลงลูกหัวใจยังว่าง ไม่ได้รักหรือชอบใครอยู่ใช่ไหม...”
“ทำไมครับ แม่มีอะไรรึเปล่า?” เขาละสายตาจากจานอาหารมามอง คิ้วหนาขมวดมุ่นไม่เข้าใจว่าทำไมแม่เขาถึงถามเรื่องนี้ ทั้งที่ก็ไม่เคยก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของลูก ๆ เลย
“ก็แค่สงสัยว่าลูกแม่ทั้งหล่อ รวย เพอร์เฟกต์ขนาดนี้แต่ทำไมไม่เคยเห็นควงใครบ้าง เสียงหวานเอ่ยบอกอีกครั้งเริ่มช่างใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “แม่นัดดูตัวลูกสาวเพื่อนแม่ให้เอาไหมตาเสือ”
“ไม่ต้องเลยครับแม่” เสือ หรือ พยัคฆินทร์ เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงราบเรียบสีหน้าเบื่อหน่าย ไม่มีทีท่าจะสนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้แม้แต่น้อย
“เย็นชาแบบพี่เสือ ใครจะเอาด้วยล่ะคะแม่ เป็นหงส์ก็ไม่เอาด้วยหรอก” เสียงหวานของหญิงสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบดังขึ้น เป็นหงส์ หรือ กรรวี [1]ลูกสาวคนสุดท้องของครอบครัว
“ไหนบอกมีเคสด่วนไม่ใช่เหรอเรา” สิงห์ สิงหราช [2]บุตรชายคนที่สองเอ่ยถามน้องสาว
“เคสไม่หนักเท่าไหร่ค่ะ เรียบร้อยหมดแล้วเลยรีบกลับมากินข้าวด้วยนี่ไง พอดีว่าหงส์มีเรื่องอยากปรึกษากับพ่อแม่ด้วยค่ะ” กรรวีตอบพี่แล้วก็หันกลับมาคุยกับมารดาเสียงเครียดลงกว่าเก่า
“มีเรื่องอะไรเหรอลูก” วาคิมผู้เป็นพ่อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ปกติกรรวีเป็นคนร่าเริง น้อยครั้งที่จะมีสีหน้าจริงจังเช่นนี้
“กินข้าวกันก่อนดีกว่านะคะ คิคิ” กรรวีทำหน้าทะเล้นใส่ พร้อมกับตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ
“ยายเด็กคนนี้นี่ ชอบมายั่วให้แม่อยากรู้แล้วค้างไว้ตลอดเลยนะ” เวเนสซ่าดุทีเล่นทีจริงหากก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ
เมื่อมื้ออาหารหลักจบลงบิดาและลูกชายทั้งสามก็นั่งพูดคุยปรึกษากันเรื่องธุรกิจตามประสาผู้ชาย อย่างที่ทำกันเป็นประจำเมื่อมีเวลาว่างแบบวันนี้ ตามกฎที่มารดาเคยตั้งไว้...
‘ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน ทุกคนต้องมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันและมีเวลาว่างให้ครอบครัวบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน จนกว่าจะแต่งงานมีครอบครัวเป็นของตัวเอง’
“เรามีเรื่องอะไรจะปรึกษาแม่เหรอ” เวเนสซ่าถามอย่างอยากรู้ เรื่องที่เมื่อครู่ที่ลูกสาวตัวดีเปิดประเด็นไว้
“ก็เรื่องเกี่ยวกับเคสด่วนวันนี้แหละค่ะ...” กรรวีถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดต่อ
“…เคสวันนี้คือผู้ชายโดนแทงมาค่ะ เขาคือคุณเพชร ลูกเลี้ยงของน้าทิพย์เพื่อนคุณแม่น่ะแหละ”
“ตายแล้ว! จริงเหรอลูก แล้วตาเพชรเจ็บมากไหม” เวเนสซ่าร้องตกใจ เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับทิพวรรณก็เหมือนเรื่องของเธอทั้งนั้น วาคิมผู้เป็นสามีที่ได้ยินดังนั้นจึงหยุดบทสนทนากับลูกชายและหันไปสนใจฟังด้วย
“ใจเย็นค่ะคุณแม่ ถ้าได้ยินเรื่องต่อไปนี้ คุณแม่ได้ตกใจกว่านี้แน่ หงส์รับรอง”
“รีบเล่าสิลูก” คิ้วสวยขมวดมุ่นขึ้นอีก
“คนที่แทงคุณเพชร คือพี่เพียวค่ะ”
“ฮะ! อะไรนะ! ทำไมกัน หนูเพียวจะทำร้ายพี่ชายตัวเองไปทำไม แม่ไม่เข้าใจเลย”
“เรื่องนี้หงส์ไม่แน่ใจค่ะ แค่ได้ยินตำรวจเจ้าของคดีที่มาขอสอบปากคำคนเจ็บพูดเหมือนว่าคุณเพชรพยายามจะข่มขืนน้องสาวตัวเองแต่น้องสาวขัดขืนต่อสู้ค่ะ” กรรวีเล่า
แม้ตามหลักจรรยาบรรณแล้วแพทย์ไม่ควรเอาเรื่องคนไข้มาบอกเล่าเม้าท์มอยหรือส่งต่อข้อความถึงใคร หากทว่าเคสนี้กรรวีไม่พูดไม่ได้
เธอรู้จักกับครอบครัวเพื่อนรักของแม่เพราะเวลาพวกท่านนัดเจอกันมักพาลูก ๆ ไปด้วย ทิพวรรณก็มักจะพาลูกสาวคนเดียวอย่าง เพียว หรือ พรนับพัน ไปด้วยเสมอ เพราะอยากให้ลูก ๆ สนิทและเป็นเพื่อนเล่นกันได้ กรรวีและพรนับพัน จึงสนิทสนมกันพอสมควร ด้วยเพราะอายุห่างกันแค่ไม่ถึงสองปีเท่านั้น
“จริงเหรอลูก อะไรกันเนี่ย แล้วทิพย์จะเป็นยังไงบ้าง แม่ก็ไม่ได้ติดต่อกันตั้งหลายเดือนแล้วด้วย มัวแต่เที่ยว งั้นแม่โทรหาทิพย์ดูดีกว่า” พูดจบเวเนสซ่าบก็ลุกพรวดหายไปทันที
วาคิมสั่งให้ลูกน้องสืบเรื่องนี้ทันทีก่อนเดินตามเวเนสซ่าไป เพราะรู้ดีว่าทิพวรรณคือเพื่อนรักที่สุดของภรรยา และเธอจะไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่
“เพียวเป็นยังไงบ้างหงส์ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน?” มังกร หรือภชุคินทร์ [3]บุตรชายคนที่สามที่นั่งเงียบอยู่นานถามน้องสาวทันทีที่พ่อและแม่หายกันขึ้นไปชั้นบน
“หงส์ไม่รู้เลยค่ะพี่กร ไม่ได้ติดต่อกันมาพักใหญ่แล้วด้วยสิ แอบเป็นห่วงเหมือนกันนะเนี่ย” กรรวีบ่นอุบ
“รู้จักกันด้วยเหรอ” สิงหราชถามน้อง ๆ ไปรู้จักกันตอนไหน ขนาดตนเองยังไม่รู้จักเลย แม้แต่ชื่อก็ไม่คุ้น
“ผมเคยเจอตอนแม่พาไปเที่ยวกับน้าทิพย์ตอนเด็ก แต่ก็ไม่บ่อยเท่ากับยายหงส์” ภชุคินทร์เคยเล่นด้วยกันกับพรนับพันตั้งแต่ยังเด็ก
เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ หน้าตาน่ารักน่าชัง ตากลมโต แสบซนพอ ๆ กับน้องสาวของเขา แต่พอเริ่มเป็นหนุ่มก็ไม่ไปกับแม่อีกเลย มัวแต่เที่ยวเล่นตามประสาเด็กผู้ชายช่วงเข้าสู่วัยรุ่น
[1] นางเอกจากเรื่อง หงส์ฟ้ากับซาตาน โดย หญิงเพียว
[2] พระเอกจากเรื่อง ทัณฑ์รักสิงหราช โดย หญิงเพียว
[3] พระเอกจากเรื่อง ใจมังกร โดย หญิงเพียว
ยังไม่ทันที่ไอ้สิงห์จะพูดอะไรต่อ ผมก็ได้ยินเสียงน้องสาวตัวแสบที่เมาจนไม่รู้เรื่องอะไรละเมอขึ้นมาเสียงดัง จนมันต้องหันกลับไปสนใจยัยหงส์ต่อ แต่ยังไม่วายส่งสายตาอาฆาตมาค้อนใส่ผมเบา ๆ ในตอนที่ผมหันกลับไปมองมันเหอะ ค้อนห่าอะไร ของแบบนี้ใครดีใครได้หลังจากที่ผมวางเธอลงบนเตียง ก็ได้ยินเพียวส่งเสียงครางในลำคอออกมาเบา ๆ เธอบิดตัวและพลิกกายนอนหันหลังให้“อื้อ... สบายจัง”“ขี้เซา” เห็นท่าทางนั้นของเธอจึงได้แต่ยืนมองสำรวจแผ่นหลังขาวเนียนที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงสด โชว์แผ่นหลังขาวเนียนต่ำลงมาจนเกือบถึงเอวคอด ยิ่งเธอยกขาก่ายหมอนข้างกระโปรงที่สั้นอยู่แล้วก็ยิ่งขยับร่นขึ้นไปอีกจนเกือบจะเห็นบั้นท้าย‘ยั่วจังวะ’“ร้อนจัง...” เธอบ่นพลางปัดผมที่ปรกใบหน้าและลำคอออกด้วยความรำคาญเพื่อ ท่าทางพวกนั้นทำผมก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูนถึงกับอดใจไม่ ผมเผลอขยับตัวขึ้นไปบนเตียง เผลอจับตัวเธอพลิกให้นอนหงาย แล้วเผลอขยับกายไปอยู่ตรงหว่างขาขาว เผลอใช้เข่าตัวเองดันเรียวขาสวยให้อ้ากว้างกลิ่นกายของเธอที่ลอยมาแตะจมูกผม ทำให้ผมอดใจไม่อยู่จนเผลอโน้มตัวไปสูดดมกลิ่นกายหอมที่ทำให้ผมแทบคลั่งผมเลื่อนมือไปกุมหน้าอกอวบอิ่มไว้เต็มกำ
“อยากให้ไปด้วย?” พี่มังกรเลิกคิ้วถาม“ไปก็ดีนะ จะได้เหมือนมีบอดี้การ์ด ช่วงนี้มีหนุ่มตามจีบด้วยแหละ”“จีบแก?”“หึ! จีบพี่เพียว แฮร่!” น้องหงส์ตบมุขโบ๊ะบ๊ะกับพี่มังกร เกิดเป็นเสียงหัวเราะขึ้นมา ฉันได้แต่ส่ายหน้าขำแม้หลายวันมานี้จะมีลูกค้าของบริษัทมาตามจีบอยู่บ้างก็เถอะจะว่าไปก็มีอยู่คนหนึ่งที่มาตามจีบแบบรุกหนัก ทั้งที่ฉันปฏิเสธไปแล้ว เรามักบังเอิญเจอกันบ่อยตามสถานที่ต่าง ๆ จนพักหลังฉันคิดว่าฉันน่าจะถูกติดตามเรื่องนี้ฉันเพิ่งเล่าให้น้องหงส์ฟังเมื่อไม่นาน ขนาดเมื่อคืนก็ยังเจอกันที่ผับ แต่โชคดีที่โต๊ะเรามีผู้ชายเยอะจนเขาได้แต่นั่งมองห่าง ๆ ไม่ได้เข้ามาคุกคามหรือทักทาย“ใคร?” พี่มังกรขมวดคิ้วถาม“ลูกค้าบริษัทพี่เสือค่ะ เมื่อคืนก็เจอนะที่คลับ” น้องหงส์ตอบ“ช่วงเช้าพี่ไม่ว่างอะดิ มีเช็กสินค้าก่อนส่ง รอบ่ายได้ไหมเดี๋ยวพาไป”“ไม่ได้ ต้องไปแต่เช้าเพราะต้องแวะไปเยี่ยมคุณน้าก่อน”“เราขับรถไปกันเองก็ได้น้องหงส์” ฉันแย้งขึ้นเพราะเกรงใจไม่อยากรบกวนใคร“ไม่ค่ะ เดี๋ยวเกิดจ๊ะเอ๋คุณเพชรเข้าอีกจะทำไงคะ แล้วหงส์ก็ไม่อยากให้ลูกน้องคุณพ่อตามไป ดูน่าอึดอัดจะตายชัก”“ไม่เป็นไรหรอก พี่เพชรเขาเงียบหายไปพักใหญ
“พี่เสือ! มาได้ไงคะ” เสียงน้องหงส์ดังมาแต่ไกลทำเขาผละตัวออกห่าง ส่วนฉันก็ดึงตัวเองออกจากภวังค์นัยน์ตาสีอำพันนั้น พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เสียอาการในขณะที่อีกคนนิ่งมาก“เพื่อนนัดมา กำลังจะกลับ” “อย่ารีบกลับสิ ไปนั่งต่อด้วยกันไหม โต๊ะพวกเราอยู่ตรงนี้เองค่ะ” น้องหงส์ชวนไปนั่งดื่มด้วยกัน คุณเสือเงียบไปครู่หนึ่งขณะที่สายตาเหลือบมองมาทางฉัน แวบหนึ่งฉับแอบรับรู้ถึงความไม่พอเจือในนั้น “อืม แป๊บเดียวนะ” คุณเสือกลับตอบรับอย่างง่ายดายฉันได้แต่ทำหน้าเบื่อโลกที่ต้องร่วมวงกับเขาแล้วเดินตามแรงดึงของน้องหงส์ไป เมื่อมาถึงโต๊ะ พี่สิงห์และเพื่อนเพื่อนก็ทักทายคุณเสือด้วยความแปลกใจ“อ้าว พี่มาได้ไง” “นัดเพื่อนไว้” คุณเสือก็ตอบรับแค่สั้น ๆ พยักหน้าให้เล็กน้อยตามสไตล์ ท่าทางเพื่อนพี่สิงห์ดูจะเคารพคุณเสือมากเลยทีเดียว แต่ทุกคนก็ยังพูดคุยเฮฮาอย่างสนิทสนมกันเรานั่งดื่มกันพอสมควรก็เริ่มแยกย้ายกันกลับ น้องหงส์นี่เรียกได้ว่าเมาทิ้งตัวเพราะโดนพี่ ๆ ท้าให้ดื่มเหล้าแรงไปแก้วเดียวถึงกับเซหมดสภาพ ทำอย่างกับเป็นเด็กวัยมหาลัยไปได้แต่ละคนว่าแต่น้องหงส์ ฉันเองก็ยังพอพยุงตัวเองแทบไม่ไหว เสียทรงไปเหมือนกัน“พี่จะกลับบ
“ค่ะ!” ฉันกระแทกเสียงแล้วนั่งลงบนโซฟาในตำแหน่งใกล้คุณสิงห์อย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่ สั่งจริงสั่งจัง สั่งอยู่ได้!ระหว่างนั้นคุณเสือก็กินเงียบ ๆ ไม่พูดคุยอะไรกับใคร มีแค่พี่สิงห์เท่านั้นที่ชวนฉันคุยไปเรื่อย จนกระทั่งมื้ออาหารจบลง“พรุ่งนี้พี่ต้องไปดูแลงานที่สาขาภูเก็ต น่าจะหลายวัน ไว้ค่อยซื้อขนมมาฝาก” พี่สิงห์หันมาบอกกับฉัน“อ้าว เหรอคะ”“ครับ งั้นคืนนี้เราไปดื่มกันหน่อยไหม?”“ได้ค่ะ ยังไงพรุ่งนี้ก็วันหยุด ดื่มได้” น้องหงส์และพี่สิงห์ชอบชวนฉันดื่มด้วยกันบ่อย ๆ นั่งชิล พูดคุยปรึกษากันที่ริมสระบ้านเขาหรือไม่ก็ปาร์ตี้เล็ก ๆ ในสวนจนกลายเป็นกิจกรรมประจำของพวกเราแล้ว “พรุ่งนี้ขึ้นเครื่องกี่โมง” คุณเสือถามน้องชายของเขา“7 เช้า” คุณสิงห์ก็ตอบไปสั้น ๆ“แล้วมึงยังจะดื่ม?”“นิดหน่อยเองเฮีย”“แน่ใจ?”“อืม เราทำด้วยกันออกบ่อย กับน้องไม่หนักหรอกน่า” พี่สิงตอบพลางเอามือขยี้หัวฉันเบา ๆ อย่างที่ชอบทำกับน้องหงส์ ด้วยความที่เริ่มสนิทกัน พี่สิงห์ก็เริ่มลามปามมาทำกับฉันด้วยอันนี้พอเข้าใจ แต่คำพูดของแง่สองง่ามแบบนี้เขาไม่เคยทำ มันยังไง!ฉันส่งสายตาดุใส่คุณสิงห์จนเขาขำ แต่ก็ดันเผลอหันไปเห็นสายตาของคุณเสือที่มอง
“คุณเสือคะ ถ้าหากว่าการที่ฉันเข้าไปอยู่ในบ้านทำให้คุณอึดอัด ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ แต่มันจำเป็น ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนทางบ้านคุณเลย ถ้าเกิดปัญหาทุกอย่างจบลงไม่ว่าจะเรื่องแม่และเรื่องคนที่ตามทำร้าย ฉันสัญญาค่ะว่าจะออกมาให้เร็วที่สุด” อย่าว่าแต่เขาเลย ฉันเองก็อึดอัดไม่ต่างกัน เขาดูเหมือนจะรำคาญและไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่“กินข้าวเถอะ” เขาพูดขึ้น แต่ใครจะไปกินลง ไม่ใช่ฉันแล้วคนหนึ่ง“ไม่หิว?” คุณเสือเลิกคิ้วถาม ท่าทางนิ่ง ๆ นั่นดูกวนประสาทชะมัดฉันหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเข้าปากทันที ไม่หิวได้ไง ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ปาเข้าไปจะบ่ายโมงแล้วด้วยฉันกับคุณเสือไม่มีใครพูดอะไรอีก จนกินเสร็จฉันก็ทำหน้าที่เก็บโต๊ะให้เป็นการตอบแทน“กะจะทำงานที่นี่อีกนานแค่ไหน” อยู่ ๆ เขาก็ถามขึ้น“ก็คงนานค่ะ นี่ก็เพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่กี่เดือน ดิฉันไม่ได้อยากเปลี่ยนงานใหม่บ่อย ๆ” ฉันตอบไปตามตรงถ้าให้ดิ้นรนหางานใหม่ไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ไหวหรอกนะ ยิ่งงานดีเงินเดือนดี และสวัสดิการก็ดีขนาดนี้ที่ไทยหาง่ายเสียที่ไหนกัน ไม่ออกให้โง่หรอก“ไม่คิดจะกลับไปทำงานเมืองนอกแล้ว?”“ค่ะ” แม่ป่วยจะให้กลับยังไง โรคน
พรนับพัน talk :“คุณเพียวคะ คุณเสือเรียกพบค่ะ”มือที่กำลังจะตักข้าวคำแรกเข้าปากก็ต้องชะงักไว้เมื่อได้ยินประโยคนั้น“ตอนนี้เลยเหรอคะ” ตอนนี้ที่ว่าคือเวลาพักเที่ยงของฉัน“ใช่ค่ะ รีบขึ้นไปก่อนเถอะนะ” สายตาของพี่แหม่มทั้งอ้อนวอนแกมบังคับ แล้วฉันจะเลือกอะไรได้ นอกจากวางช้อนแล้วลุกไปหลังจากที่มาสัมภาษณ์งาน รุ่งเช้าของวันถัดไปฉันก็ถูกเรียกตัวทันที จนตอนนี้นับเวลาได้สามเดือนกว่าที่ฉันเข้ามาทำงาน ไม่แน่ใจว่าที่งานเป็นเพราะคุณลุงคุณป้าคอยช่วยอยู่หรือเปล่า แต่ช่างเถอะเพราะได้มาแล้ว อย่างไรเสียฉันก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดไม่ปล่อยให้ใครว่าครหาเรื่องใช้เส้นสาย“สวัสดีค่ะ คุณเสือเรียกพบฉันเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามหลังจากเดินเข้ามาในห้องทำงานของคนตัวสูง และเห็นเขานั่งอยู่ตรงโซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย“นั่งลงสิ” “ขอบคุณค่ะ” ฉันนั่งลงตรงกันข้ามเขา “มีธุระอะไรกับฉันเหรอคะ” ฉันยิงคำถามเพราะฉันไม่เคยโดนเรียกพบเป็นการส่วนตัวเลยสักครั้ง ชักสงสัยแล้วว่าจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า“กินอะไรมารึยัง”“ยังค่ะ” ‘ถ้าไม่เรียกขึ้นมาก็ได้กินข้าวอิ่มไปแล้วล่ะค่ะ!’ เสียงในหัวของฉันดังขึ้น ไม่แน่ใจว่าแสดงออกไปทางสีหน้าบ้างไหม ก็คนมันโมโ
Comments