ชุดคลุมสีม่วงทอง ปักลายดอกไม้ดูซับซ้อนผมยาวสยายด้านหลังรวบไว้หลวมๆ เส้นผมที่ดูกระเซิงห้อยลงมาจากบ่าดูมีเสน่ห์และดูชั่วร้ายมาก"เรื่องอะไร" เขาถามขึ้นมา สายตาจ้องไปบนตัวจั๋วหวาย"น้องชายข้า จั๋วหวาย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นคิ้วปันอวิ๋นเลิกขึ้นเล็กน้อย แต่ความตกตะลึงในสายตาก็ไม่ได้แจ่มชัดมากนัก "หาเจอแล้วหรือ?""อืม แต่ว่าข้าจะไปหาหาเรื่องก็กลัวไม่สะดวก" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เจ้าช่วยข้าดูเขาหน่อยเถอะ"จั๋วหวายตกตะลึง "ท่านพี่..."อันที่จริงในใจเขาหวังจะไปกับท่านพี่ แต่ก็เข้าใจ ว่าตนเองมีแต่จะเพิ่มความลำบากให้พี่สาวเท่านั้นปันอวิ๋นจุ๊ปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แค่เอ่ยขึ้นว่า "แค่หลอมกู่ให้เจ้ายังไม่พอ นี่ยังต้องมาช่วยเลี้ยงเด็กอีก...""ขอบคุณมากนะ" จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเสียงของปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างสงบ "ถ้าจะขอบคุณจริงๆ ก็มาแต่งงานกับข้าสิ"ดวงตาจั๋วหวายถลึงโต จ้องเขม็งที่ปันอวิ๋นจั๋วซือหรานดูจะมีภูมิคุ้มกันกับคำพูดแบบนี้ของปันอวิ๋นแล้วเจ้าหุบเขาหมื่นพิษคนนี้ ดูท่าทางเหมือนชั่วร้ายเย็นชา แต่อันที่จริงเป็นพวกปากแข็งใจอ่อน ทุกครั้งที่พูดก็จะเป็นแบบนั้นแต่ที่ควรช่วยก็จะช่วยอยู่
เสียงของเจิ้นเจียงดูเร่งร้อน แต่กลับฟังไม่ออกว่าลนลานตรงไหนจั๋วซือหรานเปิดประตู "อืม เกิดอะไรขึ้น"เจิ้นเจียงเอ่ยว่า "มาขวางกันอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยมขอรับ""พวกกองหนุนสินะ?" จั๋วซือหรานถามเจิ้นเจียงพอนึกถึงขบวนที่อยู่ด้านนอกนั่น "รู้สึกเหมือนจะไม่ใช่กองหนุนเท่าไร..."กองหนุนของใครเป็นแบบนั้นกันล่ะอันที่จริงพอพูดขึ้นมา จำนวนคนก็ไม่น้อยเลย แต่เจิ้นเจียงพอคิดถึงความสามารถของคุณหนูตนเอง ก็รู้สึกว่า...คนแค่นี้ ก็เหมือนเข้ามาแจกแต้มให้เปล่าๆ กระมัง?พูดได้แค่ว่า ใครก็ตามที่ติดตามอยู่ข้างกายจั๋วซือหราน สายตาก็จะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง คิดๆ แล้วก็หัวเราะ "ไม่ค่อยเหมือนกองหนุนหรือ? ทำไม อย่างนั้นคือเข้ามาประนามข้าหรือ?"เจิ้นเจียงคิดๆ รู้สึกว่าน่าจะเป็นไปได้!จั๋วซือหรานพยักหน้า "ออกไปดูหน่อย"มาถึงโถงหน้าโรงเตี๊ยม ให้เหลียนเจินเปิดประตูใหญ่โรงเตี๊ยมออกก็เห็นพวกสำนักเมฆาวารีอยู่ด้านนอกกลุ่มหนึ่ง กะด้วยสายตาประมาณยี่สิบคน ดูจากเสื้อผ้าแล้ว ล้วนเป็นพวกศิษย์ธรรมดาเสียส่วนใหญ่ในนี้น่าจะมีผู้ดูแลอยู่คนสองคนก่อนหน้านี้ยังทำหน้าขรึมพูดจาหนักแน่น แต่ตอนเ
ว่าอย่างไรดี ถือว่าให้หน้าจั๋วซือหรานมาก ถือว่าจั๋วซือหรานเป็นเรื่องสำคัญมากดังนั้น พวกเขาเองก็อยากจะดู ว่าหญิงสาวที่เก่งกาจคนนี้ จะถูกจัดการ หรือว่ายังคงแก้ไขปัญหานี้ไปได้ผลลัพธ์คือ..."แม่เจ้าโว๊ย! แค่แปปเดียวก็เก็บเรียบเลย!""เก่งกาจ...มากจริงๆ นางให้พวกเขาพูดจนจบ ถือว่าให้หน้าสำนักเมฆาวารีแล้วกระมัง?""ครั้งนี้สำนักเมฆาวารีเจอตอเข้าเต็มๆ ก่อนหน้านี้ส่งคนมาตั้งเท่าไรแล้ว...""ข้าจำได้ว่านางก่อนหน้านี้บอกว่าอีกสามวันจะเริ่มสังหารคนใช่ไหม?""เจ้าสำนักเมฆาวารี...สติไม่ดีหรือเปล่า สมองคิดอะไรอยู่กัน?""นั่นสิ สำนักเมฆาวารีกลัวว่านางจะฆ่าคนไม่พอหรือ? ถึงได้จงใจส่งมาให้นางเป็นพิเศษแบบนี้"ด้านหน้า จั๋วซือหรานมองผู้ดูแลสำนักเมฆาวารีที่ยืนนิ่งเป็นไก่ไม้สลักอยู่ที่เดิม"เจ้า เจ้าๆ..." ผู้ดูแลคนนี้พูดอะไรไม่ออกแล้ว"รอหน่อยนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าโรงเตี๊ยมไปพอเห็นว่านางหมุนตัวจากไป ผู้ดูแลนี้ก็มีปฏิกิริยาคิดจะออกไปเป็นอันดับแรกทันทีไม่ว่าอย่างไร ต่อให้กลับไปแจ้งข่าวได้ก็ยังดี! สรุปคือต้องหนีก่อน!หนีไปก็ยังดีกว่าถูกนางจับเป็นเชลยนะ!แต่ว่า ไม่ท
เขาโขกศีรษะไปทางจั๋วซือหรานก่อนสามครั้ง จากนั้นก็ทวนคำพูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง "ใต้เท้า...โปรดช่วยชีวิตครอบครัวข้าด้วย"จั๋วซือหรานมองเขาคนทั้งหมดล้วนมองเขา รู้สึกใจคอไม่ดีเพราะดูการแสดงออกนับตั้งแต่ที่จั๋วซือหรานมาถึงเมืองอวิ๋น พวกเขารู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้อันตรายมากคนผู้นี้บังอาจได้ขนาดนี้เชียว ไม่รู้ว่าจะถูกนางเล่นงานเอาหรือเปล่ากระทั่งสีหน้าตัวเขาเองดูแล้วก็ยังหวาดกลัวเอามากๆ พอเห็นก็เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงอย่างไรอย่างนั้นจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงใสเย็นของหญิงสาวคนนี้"ครอบครัวเจ้าเป็นอะไรไปหรือ" จั๋วซือหรานถามทุกคนรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างชัดเจน คนผู้นี้เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาเขายังคงคุกเข่าอยู่ คลานเข่ามาด้านหน้าสองสามก้าวในดวงตาล้วนเป็นประกายยินดี น้ำเสียงร้อนรนขึ้นอย่างปิดไม่มิด "ใต้เท้า ครอบครัวข้า! ครอบครัวข้าถูกคนสำนักเมฆาวารีพาไปเป็นผู้ทดลองยา! หลังจากนั้นก็พังทลายไปแล้ว!"จั๋วซือหรานเดิมทีคิดว่าครอบครัวเขาแค่เจ็บป่วยปกติ หรืออาจเป็นโรคร้ายที่รักษาได้ยากแต่คิดไม่ถึงว่า จะมีเนื้อในเช่นนี้?จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว ดูสนใจขึ้นมา"โอ๋?" จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยออกมา "ไหน
"ต่อมา พวกเขาก็ถูกสูบเลือดไปทุกวัน! ยาที่พวกเขาดื่มทุกวัน ยาที่อาบ เปลี่ยนแปลงตำรับอยู่ตลอดเวลา ทุกวันจะถูกสูบเลือด หลังจากข้ารู้เรื่องนี้ก็โกรธมาก ต่อมาจึงค่อยๆ เข้าใจ""พวกเขากำลังใช้ลูกชายข้ามาทดลองยา! พวกเขากำลังใช้ลูกชายข้าเป็นผู้ทดลองยา! และเพราะข้าเป็นคนเมืองอวิ๋น ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ส่งลูกขึ้นไปบนเนินเขาเมฆาวารี ก็ยังจัดงานใหญ่โตอึกทึกอีกด้วย""ต่อมาก็ออกหาออกถามไปทั่ว พวกเขาจึงคืนลูกของข้ากลับมากระมัง? ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะหาเหตุผลส่งๆ บอกว่าลูกข้าตาอยู่บนเนินเขาเมฆาวารีหรือเปล่า?"สีหน้าจั๋วซือหรานยังคงสงบนิ่ง แต่กลุ่มคนที่ล้อมมุงอยู่ พอได้ยินก็ไม่ค่อยนิ่งแล้วเพราะว่า พวกเขาเดิมทีรู้สึกว่าเรื่องนี้ห่างไกลกับพวกเขามากต่อให้เกิดเรื่อง ที่เกิดเรื่องก็เป็นแค่น้องชายของจั๋วซือหราน น้องชายของใต้เท้าโหวห่างไกลกับพวกเขาลิบลับ พวกเขาเป็นแค่ ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้นแต่ว่าตอนนี้ กลับได้ยินว่า เรื่องราวพวกนี้มันอยู่ใกล้พวกเขาถึงขนาดนี้เลยโดยเฉพาะในกลุ่มพวกเขายังมีคน ที่เคยได้ยินจากที่นี่หรือไม่ก็ที่นั่นมาก่อน..."ข้า...ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินว่าลูกของญาติที่อยู่ห่า
ไม่นานนัก คนคนนี้ก็พาลูกๆ กลับมาลูกทั้งสองคนล้วนถูกหุ่นเชิดความมืดสองตัวของจั๋วซือหรานอุ้มเข้ามาสภาพดูไม่ค่อยดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากหวาดกลัวหุ่นเชิดความมืด จึงตัวสั่นกันเป็นเจ้าเข้าดูจากอายุแล้ว เป็นวัยหนุ่มใกล้เคียงกับจั๋วหวายทุกคนรู้สึกเหมือนสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ตอนนี้อารมณ์ที่เรียกว่าความโกรธแค้นของมวลชนกำลังแผ่ขยายออกมากขึ้นเรื่อยๆนี่ก็เป็นเป้าหมายที่จั๋วซือหรานให้เขาไปพาลูกๆ มาตอนที่จั๋วซือหรานเห็นเด็กหนุ่มสองคนนี้ ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "อายุพอๆ กับน้องชายข้าเลย"ทุกคนพอได้ยินคำนี้ ก็ล้วนมีความคิดกันขึ้นมาทันทีดูเหมือนผู้ทดลองยาที่สำนักเมฆาวารีหา ล้วนอายุประมาณนี้กันสินะยังมีคนที่กระซิบกระซาบกันว่า "ลูกคนนั้นของญาติห่างๆ ข้า...ก็อายะประมาณนี้เลย...ให้ตายเถอะ!"พ่อคนนี้ก็คุกเข่าลงตรงหน้าจั๋วซือหรานอีกครั้ง "ใต้เท้า ช่วยลูกของข้าด้วย"ผู้คนที่ล้อมอยู่ก็พูดคุยเสียงต่ำกันขึ้นมา "ดูเหมือนจะหนักเอาการเลยนะ ยังรักษาได้ไหม..."พ่อคนนี้เองได้ยินเสียงเหล่านี้ ในใจก็เศร้าสลดขึ้นมา ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนหน้าในแววตาเต็มไปด้วยความหวังสุดท้าย จ้องเขม็งไปที่จั๋วซือห
"ครอบครัวข้ายอมเป็นวัวเป็นม้าให้ใต้เท้า!"จั๋วซือหรานขานอืมมาคำหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า "พาลูกของเจ้าเข้ามาด้วยกันเลย"ก่อนจะเข้าโรงเตี๊ยม จั๋วซือหรานหยุดเท้าลงกะทันหัน กลอกตามองไปทางคนที่มุงดูอยู่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า "ข้าน่ะ ยังจะอยู่ในเมืองอวิ๋นอีกสองวัน สองวันนี้ถ้ามีโรคอะไรที่คิดว่าเป็นโรคซับซ้อนรักษาไม่หาย ให้ลองมาหาข้าดู"นางหยุดลงครู่หนึ่ง เสริมมาอีกคำว่า "แต่ถ้าเป็นพวกปวดหัวตัวร้อนเจ็บเล็กเจ็บน้อยก็ไม่ต้องมา พักผ่อนที่ผ่านดื่มน้ำร้อนก็พอแล้ว"จั๋วซือหรานพูดจบ ก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมพวกของเหลียนเจิน ก็ปิดประตูโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็วเจิ้นเจียงไม่ค่อยเข้าใจนัก เอ่ยถามเสียงต่ำกับจั๋วซือหราน "นายท่าน ทำไมสองวันนี้ถึงจะเปิดรักษากัน?"จั๋วซือหรานมองเขา "เพราะข้าเป็นแพทย์นี่ไง?""เห" เจิ้นเจียงหัวเราะ รู้ว่าตนเองสื่อสารผิด จึงเอ่ยต่อว่า "ข้าหมายถึง นายท่านกำลังจะไปห้ำหั่นกับสำนักเมฆาวารีอยู่แล้ว น่าจะพักผ่อนออมแรงไว้ถึงจะถูกสิ ทำไมถึงจะมาเปิดรักษาอีก?"จั๋วซือหรานตอบกลับ "รักษาคนป่วย จะล่าช้าไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น..."มุมปากนางยกขึ้นบางๆ "ไม่กลัวว่าข่าวนี้จะลือไปถึงสำนักเมฆาวารี ข้าจะให
พอได้ยินเสียงของเขา จั๋วซือหรานก็แหงนตาขึ้นมองไปทางประตูหลังปันอวิ๋นยังคงอยู่ในชุดคลุมสีทองม่วง ดูไม่ค่อยจะแตกต่างจากภาพลักษณ์เแื่อยชาก่อนหน้านี้เท่าไรนักเพียงแต่เส้นผมที่ก่อนหน้านี้ปล่อยกระเซอะกระเซิงอยู่ด้านหลังแล้วมันไว้หลวมๆ ตอนนี้กลับถูกหวีจนเป็นระเบียบเรียบร้อยจั๋วหวายยืนอยู่ข้างๆเขา พอสบตากับพี่สาว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา"มาได้พอดีเลย" จั๋วซือหรานกวักมือหาเขาจั๋วหวายเดินเข้ามา "มีอะไรหรือ?""อีกเดี๋ยวข้าจะให้เจิ้นเจียงไปเคี่ยวยา เจ้ากับสองคนนี้ดื่มไปด้วยกันเลย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นจั๋วหวายเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่ดูผอมแห้งเห็นกระดูกถูกฝังเข็มไว้บนเตียงไม้ที่ประกอบจากโต๊ะง่ายๆ สองตัวนั่นแล้ว"พวกเขาเป็นอะไรไปหรือ?" จั๋วหวายถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ถูกคนสำนักเมฆาวารีเอาไปเป็นผู้ทดลองยามาแล้ว"จั๋วหวายถลึงตาโต เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา แล้วยังมีความตกใจที่เพิ่งรู้ตัวตามมาด้วย"ใช่ ใช่...ผู้ทดลองยาที่ข้าเกือบจะไปทำนั่นน่ะหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานพยักหน้า "ผู้ทดลองยาที่เจ้าเกือบไปทำแล้วนั่นล่ะ เจ้ายังฉลาดหนีมาไว ดังนั้นสถานการณ์ยังพอไหว ถ้าเจ้า
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย