ขนมชาเขียวพอได้ยินคำชมก็ดีใจ เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิใจเล็กๆ ว่า "นายท่าน ไหมกู่ที่ข้าวางไว้บนตัวพวกเขา ควบคุมได้แค่วันเดียว หลังจากผ่านไปหนึ่งวันพวกเขาก็ฟื้นแล้ว""ไม่เป็นไร หนึ่งวันก็พอ" จั๋วซือหรานตอบหนึ่งวันก็เพียงพอที่จะปั่นป่วนทิศทางของสำนักเมฆาวารีแล้ว และหนึ่งวันก็เีพยงพอที่จะแพร่กระจายเรื่องเหล่านี้ออกไปด้วยจั๋วซือหรานแม้จะไม่หาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกได้แล้วก็ไม่ฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าด้วยถ้าจะให้นางต้องฆ่าคนมากขนาดนี้จริง ดาบมือในต้องยกขึ้นยกลงเสียเวลาตาย นางขี้เกียจสั่งสอนสักหน่อยก็พอแล้วเพียงแต่หลังจากที่พูดเรื่องนี้ไป เจ้าเจ็ดตัวก็ยังคงทะเลาะกันในมิติอยู่ดีไม่ใช่อะไรอื่น เป็นเพราะหุ่นเชิดความมืดที่จั๋วซือหรานรวบรวมมาให้เป็นภาชนะของพวกมัน...หน้าตาไม่เหมือนกันเป็นแบบที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ จั๋วซือหรานเข้าใจดี ครอบครัวฝาแฝดซื้ออะไรก็ต้องเหมือนกันให้ตายเถอะ แล้วนางทางนี้มีอยู่เจ็ดตัว จากนั้นหุ่นเชิดความมืดพวกนี้ก็แตกต่างกันอีกนี่จะฆ่านางให้ตายเลยใช่ไหมนะ?จั๋วซือหรานได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งเจ็ดตัว เอาจริงๆ นะ...หนวกหูชมัดแต่จะว่าอย่า
นางจึงไปรดน้ำให้กับต้นอู๋ถงเสียหน่อยจากนั้นก็บอกกับแมงมุมน้อยว่า "ข้าไม่ได้อารมณ์ไม่ดี แค่รู้สึกว่า..."จั๋วซือหรานคิดๆ ว่าควรใช้คำพูดแบบไหน สุดท้ายจึงพูดแค่ "เศร้าใจ แค่เศร้าใจเท่านั้น"โชคชะตาคงเล่นตลกกระมังถ้าจั๋วเฮ่ออิงยังอยู่ เจ้าของร่างเดิมคงไม่เจอกับวันคืนเช่นนั้นไม่แน่ คงจะเป็นองค์หญิงน้อยในมือของพ่ออยู่ตอลด ไม่ต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง และคงไม่ถูกจั๋วหรูซินให้ฉินตวนหยางมาทำร้ายด้วยพิษกู่และก็คงไม่ตายแต่ถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่เกิดเรื่องของจั๋วซือหรานอย่างนางขึ้นพอคิดเช่นนี้ นอกจากความเศร้าสลด ก็เหมือนจะไม่มีอารมณ์อื่นใดแล้วจั๋วซือหรานเดินลงมาจากบนเขา ไม่มีใครมาขวางนางก่อนหน้านี้มีคนขวางนาง นั่นก็เพราะได้ยินแค่ข่าวลือ แต่ไม่เข้าใจความสามารถของนางทว่าตอนนี้ ได้เห็นฤทธิ์เดชของนางที่เนินเขาเมฆาวารีแล้ว และการดีดนิ้วของนางที่ 'สังหาร' คนไปมากมายเมื่อครู่ พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่านั่นเป็นแค่กลอุอายที่จั๋วซือหรานให้เจ้าพวกก้อนเนื้อเตรียมไว้ล่วงหน้าในสายตาพวกเขา ความแตกต่างของพลังแบบนี้ ใครก็รู้ว่าถ้าขึ้นไปคือตายเปล่า จึงไม่มีใครออกมาตายเปล่ากันดังนั้นจั๋วซือหรานลงจึงลงเ
จั๋วซือหรานเป็นคนฉลาดมาแต่ไหนแต่ไหร บางครั้ง อาจจะต้องการเพียงจุดเดียวเท่านั้นจากนั้นเรื่องราวมากมายในสมอง ก็จะเชื่อมโยงออกมาเป็นเส้นได้ทันทีรายละเอียดมากมายแต่เดิม จะร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วสระเย็นที่เฟิงเหยียนอยู่ อักขระประหลาดบนตัวเขา สุราเหมันต์ในน้ำเต้าของเขาจั๋วซือหรานตอนนี้พอย้อนคิดขึ้นมา ก็รู้สึกว่าตนเองแค่ยอมรับการมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น และรู้ถึงบทบาทหน้าที่สิ่งเหล่านั้นเท่านั้นเองไม่ว่าจะอักขระคำสาป สระเย็นหรือว่าสุราน้ำเต้า ก็ล้วนมีไว้เพื่อสะกดพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงบนตัวเฟิงเหยียนเท่านั้น เพื่อไม่ให้พลังศักดิ์สิทธิ์ทำร้ายร่างกายเขามากเกินไปแต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าสิ่งเหล่านี้มันมาอย่างไรกันแน่ สร้างออกมาได้อย่างไร?พอคิดถึงอักขระคำสาปทั้งตัวของสุ่ยจิ้งหลาน หุ่นเชิดความมืดที่ถูกบูชายัญทิ้ง...รวมถึงหวงเจี้ยนถังที่วิชาหุ่นเชิดธรรมดา แต่หลอมสกัดหุ่นเชิดได้ไม่เลว และเพราะการหลอมหุ่นเชิดความมืดสะสมกรรมไว้มากเกินไป คนจึงได้มีสภาพเหมือนศพแห้งไปแล้วและยังมีคำพูดที่มีเชิงเตือนหน่อยๆ ของปันอวิ๋นก่อนหน้านี้ ทำให้นางเข้าใจได้รางๆ ว่าเบื้องหลังของสำนักเมฆาวารี
ถึงอย่างไร ถ้าหากนางเดาไม่ผิดล่ะก็ เป็นไปได้มากว่า พละกำลังหลังจากบูชายัญหุ่นเชิดความมืดเหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นวัตถุดิบสิ้นเปลืองอย่างหนึ่งสำหรับสุราน้ำเต้าของเขา พลังที่เก็บอยู่ในอักขระคำสาปของเขา และวัสดุสิ้นเปลืองในสระเย็นของเขาก็เป็นได้?เรื่องมากมายในใจจั๋วซือหราน สว่างจ้าขึ้นมาทันทีทันใดจั๋วซือหรานร้องชิขึ้นมา เอียงตาสบกับสายตาซับซ้อนของปันอวิ๋นนางเลิกคิ้ว จากนั้นก็หัวเราะ "เจ้าหุบเขาทำไมมองข้าเช่นนั้น?"ปันอวิ๋นเงียบไปพักหนึ่ง "แค่รู้สึกโชคดี ที่ไม่ได้ไปผิดใจอะไรกับเจ้า"จั๋วซือหรานยกมุมปากยิ้มปันอวิ๋นถามขึ้น "ดูท่า เจ้าไปเนินเขาเมฆาวารีครั้งนี้ น่าจะแก้ปัญหาได้แล้วสินะ?"จั๋วซือหรานคิดๆ "ถือว่าแก้ได้แล้วกระมัง แล้วก็...ยังได้ญาติเพิ่มมาด้วย?"จั๋วซือหรานรู้สึกว่าคำพูดนี้ขอตนเองไม่ได้ถูกไปทั้หงมด ถึงอย่างไรตนเองก็ไม่ได้คิดจะไปนับญาติแต่ในตอนนี้ นางก็ยังคิดคำที่ดีกว่าไม่ออกคำพูดนี้ทำเอาปันอวิ๋นงงงัน "นับญาติ?""อืม" จั๋วซือหรานพยักหน้าเบาๆ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "สามีของสุ่ยจิ้งหลานคนนั้น..."นางพูด พลางยกมุมปาก เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นจึงเรียกออกมาอย่างแผ่วเบา
จั๋วซือหรานไม่มีความรู้สึกแบบนั้น นางไม่ใช่เจ้าของร่างเดิมในใจมากสุดก็แค่รู้สึกไม่ค่อยดี แต่ไม่ได้ไปถึงจุดนั้นความทรงจำเจ้าของร่างเดิม เหมือนถูกกั้นไว้ด้วยกระจกชั้นหนึ่งในสมองของนางต่อให้เห็นอย่างชัดเจนว่าภายในทุกข์ยากลำบากเพียงใดแต่ก็ไม่มีความอบอุ่นใดอยู่ถึงแม้นางจะไม่มีความรู้สึกแบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจจิตใจจั๋วหวายในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเติบโตของเด็กชาย คือการอยู่ด้วยกันและการชี้แนะของพ่อในความทรงจำเขา ไม่มีมันเลยสักวันคนอื่นล้วนมีพ่ออยู่ด้วย แต่เขาทำได้แค่ปลอบใจตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ มีพี่สาวอยู่กับตนเองเขาคิดมาตลอดว่าคนคนนั้นตายไปแล้วแต่ตอนนี้พี่สาวกลับบอกตนเองว่า เขายังอยู่มาตลอด แค่ไม่ได้กลับมาอีกเลยเท่านั้นความรู้สึกจมดิ่งนี้ ไม่เหมือนกับการที่เขาตายไปแล้วอย่างสิ้นเชิงแล้วยังไม่สามารถโกรธแค้นได้ ถึงอย่างไร เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจ...เหตุผลถึงจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังคงเสียใจจั๋วหวายตาแดงก่ำ ในที่สุดก็กลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ โถมใบหน้าซบลงที่ไหล่ของพี่สาวอย่างแรงน้ำตาซึมเข้าไปในเนื้อผ้าบนไหล่จั๋วซือหรานอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานยกมือขึ้นมา ตบเบา
ตอนนี้ จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงต่ำ "เจ้ายังไหวไหม?"จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว จากนั้นจึงถอนหายใจ "ไม่ค่อยดีเท่าไร"ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดอยู่ว่าจะปลอบอย่างไร แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยปลอบใจคนก็เลยไม่พูดอะไรไปพักหนึ่งจากนั้นจึงได้ยินจั๋วซือหรานพูดด้วยอาการขมวดคิ้ว "ผิดแผนเสียแล้ว ถ้ามีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ไวหน่อย ก็คงไม่ปล่อยหวงเจี้ยนถังไปแล้ว ต้องพาเขาลงไปด้วย ทักษะการหลอมสกัดหุ่นเชิดความมืดของเขา ยังพอมีประโยชน์อยู่"ปันอวิ๋นฟังถึงจุดนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา "เท่านี้หรือ?"จั๋วซือหรานมองเขาแล้วจึงได้ยินเขาพูดว่า "ก็แค่หลอมหุ่นเชิดความมืดนี่ ข้าเองก็ทำได้นะ"จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วมันก็จริง ถึงแม้หุ่นเชิดความมืดของปันอวิ๋นจะสะอาดกว่ามาก ไม่เหมือนหุ่นเชิดที่หวงเจี้ยนถังหลอมสกัดออกมา เต็มไปด้วยอักขระคำสาปและไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบถึงประสิทธิภาพหรือไม่แต่ว่า เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะลองดูไม่ได้จั๋วซือหรานยิ้มถามว่า "นั่นสิ เช่นนั้นเจ้าจะช่วยข้าไหม?"ปันอวิ๋นยิ้มตอบว่า "แล้วเจ้าจะแต่งงานกับข้าไหมล่ะ?"จั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆปันอวิ๋นร้องชิ เหมือนเดาได้ว่านางจะมีปฏิกิริยา
ปันอวิ๋นไม่พูดอะไรเลย พูดมากก็ผิดมากสมองหญิงของหญิงสาวคนนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ พูดเกินมาสักคำอาจะถูกนางแกะรอยบางอย่างออกมาจากในน้ำเสียงได้เลยปันอวิ๋นเม้มปากนิ่งงันอยู่พักหนึ่งจั๋วหวายล้างหน้ากลับมาแล้ว ปันอวิ๋นก็ยังไม่พูดอะไรจั๋วหวายล้างหน้าจนสะอาด แต่จมูกกับดวงตายังคงแดงรื้นเสียงเองก็ยังมีแววสะอื้นอยู่ แต่น้ำเสียงกลับสงบลงไปไม่น้อย ตั้งใจถามจั๋วซือหรานว่า "ท่านพี่ แล้วต่อจากนี้ พวกเราไปไหนกันล่ะ? เรื่องที่สำนักเมฆาวารีคือจบแล้วใช่ไหม?""จบแล้ว" จั๋วซือหรานเท้าคางบนโต๊ะ ดูเอื่อยๆ เฉื่อยๆใครมาเห็นสภาพนี้ของนาง ก็คงมองไม่ออกว่านางเคยขึ้นไปดีดนิ้วล้มเชลยลงไปตั้งมากมายบนเนินเขาเมฆาวารีแน่นอน"งั้นพวกเรากลับกันไหม?" จั๋วหวายถาม เขาเม้มปาก เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว "ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว"เดิมทียังไม่ได้รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขนาดนั้น แต่หลังจากรู้เรื่องของท่านพ่อจั๋วหวายก็รู้สึกคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้หลายปีมานี้ ความทรมานในใจท่านแม่...จั๋วซือหรานครุ่นคิด "ตาหลักแล้วก็ไม่ใช่จะไม่ได้นะ เดิมทีก็ตัดสินใจไว้แบบนี้นั่นล่ะ แต่ตอนนี้ มีเรื่องอื่นที่อยากไปทำเสียแล้ว"จั๋วซือหรานมองจ
เดิมทีปันอวิ๋นยังรู้สึกลังเลต่อเรื่องที่จั๋วซือหรานคิดจะกลับไปหุบเขาหมื่นพิษพร้อมกับเขาแต่หลังจากที่จั๋วซือหรานยกกับข้าวเหล่านั้นเข้ามา ความคิดของปันอวิ๋นก็ไม่เหลือความลังเลอีกเลยก็แค่กลับหุบเขาหมื่นพิษเองนี่ กลับก็กลับสิวันต่อมาบรรยากาศเศร้าหมองหดหุ่แต่เดิมบนสำนักเมฆาวารี ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงฉับพลันเพราะใครก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่ตายไปแล้วแท้ๆ!คนที่ตายไปแล้วและถูกจัดการศพเรียบร้อย แค่รอตั้งศพสักสองสามวัน ก็ไปจัดพิธีฝังพร้อมกันได้พวกนั้นกลับทยอยกัน 'คืนชีพ' ขึ้นมาแล้ว!เหล่าศิษย์ที่เศร้าโศกเสียใจเพราะการตายของพวกเขา หลังจากผ่านความตกตะลึงและความสับสนวุ่นวายไปครู่หนึ่งก็เริ่มดีอกดีใจกันขึ้นมา"ให้ตายเถอะ! พวกเจ้ายังไม่ตาย!""แม่นางจั๋วคนนั้น เดิมทีไม่ได้คิดจะสังหารคนอยู่นี่นี่นา!""ข้าคิดว่าพวกเจ้าตายไปแล้วเสียอีก!""นางออมมือให้แบบนี้ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ!"นี่คือเสียงแห่งความยินดีแต่หลังจากเสียงแห่งความยินดี ก็มีเสียงอื่นปรากฏขึ้นแล้วมาจากคนที่ตายแล้วฟื้นพวกนั้น"คนนอกยังรู้จักออมมือมีเมตตาเลย แต่เจ้าสำนักกลับ...ทอดทิ้งพวกเราหรือ?""ข้ายังคิดว่าข้าจะตายแล้วเสี
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย