“เวลาผ่านไปสองคืนหนึ่งวันแล้วเจ้าค่ะ” หานกวงกล่าวจั๋วซือหรานพูดในใจว่า พลาดอาหารไปห้ามื้อ จะไม่หิวได้อย่างไรล่ะ“หากแม่นางหิวแล้ว ข้ารีบตามคนในครัวนำอาหารมาให้เจ้า” หานกวงพูดแล้วเงียบชั่วคราวแล้วพูดต่อ “แต่อาจไม่อร่อยนัก”หานกวงมองจั๋วซือหรานแล้วกระซิบ "ข้าได้ยินจากจ้านหลู เขาเล่าให้ฟังว่า แม่นางจิ่วทำอาหารเก่งมาก แม่นางอาจไม่ชอบกับข้าวที่นี่..."โดยปกติแล้ว แม้แต่คนธรรมดาที่มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนกว่าเล็กน้อยก็สามารถฟังออกความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของคำพูดของหานกวงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ฉลาดอย่างจั๋วซือหราน นางต้องเดาออกความในใจของหานกวงแน่ ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหานกวงโดยเฉพาะหานกวงแสดงท่าทีที่อยากชิมฝีมืองของนางอย่างมาก ราวกับว่าน้้ไลจะไหลออกจากมุมปากของนางในวินาทีถัดไปน่ารักเชียวจั๋วซือหรานหรี่ตาลง นางขดริมฝีปากแล้วยิ้ม "...จริงหรือ หากมีวัตถุดิบอาหาร ข้าจะทำเอง"หานกวงดีใจทันที “มี มีเจ้าค่ะ มีทุกอย่างเจ้าค่ะ”เมื่อยืนอยู่ในครัวเล็ก ๆ ในลานบ้านของเฟิงเหยียน จั๋วซือหราน รู้สึกพูดอะไรไม่ถูก นางไม่ทันมีปฏิกิริยาเลย ทำไมเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ตามแผน นางมาที่นี่เพื่อคุย
อ้าว...นี่...จั๋วซือหรานมองฝ่ามือของนางและหมดคำพูดอยู่ครู่หนึ่งและถึงแม้ว่าภายใต้สถานการณ์นั้น นางไม่มีสติ นางอาจลืมลายละเอียดของตอนนั้นแล้วแต่หลังจากจั๋วซือหรานตระหนักว่านางดูเหมือนใช้หยางของ เฟิงเหยียนเพื่อเติมหยินของนาง ภาพที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนเป็นเรื่องจริงหรือเป็นภาพลวงตาก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสมองของนางจั๋วซือหรานไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นอาการประสาทหลอนที่นางคิดเองหรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ นางคิดว่าน่าจะเป็นภาพหลอนกระมังไม่เช่นนั้น...นางจะ...กอดเฟิงเหยีย และจูบเขาอย่างไม่หยุดได้อย่างไรนาง...จูบ เขา ไม่หยุด จริง ๆในความทรงจำที่กระจัดกระจายนี้ จั๋วซือหรานไม่เห็นการจูบสิ้นสุดลงเมื่อใดด้วยซ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่านางจูบเขานานแค่ไหนนางกระพริบตาด้วยความสับสน นางอดไม่ได้ที่ต้องยกมือขึ้นและสัมผัสริมฝีปากของนางเบา ๆก่อนหน้านี้ความรู้สึกยังไม่ชัดเจน แต่หลังจากนางตระหนักได้และจำภาพความทรงจำที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่บ้าคลั่งเหล่านั้นได้จั๋วซือหรานก็รู้สึกว่าริมฝีปากของนางเหมือน... บวมนิดหน่อยจริง ๆ เช่นนั้นหรือจั๋วซือหรานกัดริมฝีปากของนางเบา ๆ ริมฝีปากอันแดงและบวมของนาง
หลังจากหานกวงพูดจบ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองดูสีหน้าของเจ้านายเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีใจของเจ้านายค่อย ๆ หายไปหานกวงแอบหายใจด้วยความโล่งอก“เอาล่ะ ออกไปก่อนเถิด” เสียงของเฟิงเหยียนกลับมาเป็นเสียงปกติ และเขาก็สั่ง “ดูแลนางด้วย”“รับทราบเจ้าค่ะ” หานกวงรีบวิ่งออกจากตำหนักใต้ดินเฟิงเหยียนเหลือบมองที่กล่องอาหาร เขาหยุดครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาหยิบจานทั้งหมดในกล่องอาหารออกมา นั่งที่โต๊ะหินเย็น ๆ ของตำหนักใต้ดิน จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาส่วนหานกวง เมื่อนางออกมาจากตำหนักใต้ดิน นางพบว่าแม่นางจิ่วหายไปแล้ว ช่าง ...เมื่อนางนึกถึงคำสั่งของเจ้านายซึ่งก็คือดูแลแม่นางจิ่วให้ดี ๆฮันกวงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักว่า แม่นางจิ่วมีความสามารถมาก ดังนั้นนางคงดูแลตัวเองได้สักพักหนึ่ง จากนั้นหานกวงรีบเดินไปที่ครัวเล็ก ๆส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากจั๋วซือหรานเดินออกจากจวนเฟิง นางก็มุ่งหน้าไปยังจวนจั๋ว หลัก ๆ เป็นเพราะนางกังวลนางหายตัวไปสองคืนหนึ่งวันตั้งแต่นางเดินออกจากตระกูลจั๋ว และมุ่งหน้าไปที่ตระกูลเฟิงในวันนั้น ก็ไม่มีข่าวของนาง และนางไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลยนางไม่อยากให้ท่านแม่เป็นห่วงเพราะเ
เจ้าของร่างเดิมถูกเสน่ห์หนอนพิษกู่วางยา และถูกฉินตวนหยางควบคุมตัว ทำให้เจ้าของร่างเดิมยืนกรานต้องถอนการหมั้นกับตระกูลเฟิงซึ่งทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฟิงและตระกูลจั๋ว และยังทำให้ตระกูลจั๋วเสียหน้าอีกด้วย หลังจากนางเดินทางผ่านกาลเวลา นางกลับมาสารภาพความผิดกับตระกูลจั๋ว แม้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ลงโทษนางอย่างหนัก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการลงโทษที่หนักที่สุดถูกถูกเฆี่ยนเก้าแส้แต่นางไม่ได้ถูกลงโทษต่อหน้าทุกคนการลงโทษต่อหน้าทุกคนนั้นไม่เพียงต้องรับการลงโทษเท่านั้น แต่ยังต้องทนการจ้องมองของสมาชิกทุกคน ซึ่งผู้ที่ถูกลงโทษอาจไม่มีวันเผชิญหน้าต่อผู้คนได้ เพราะทุกคนมักจำเรื่องนี้ได้ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การลงโทษตามกฎตระกูลต่อหน้าทุกคนไม่เพียงเป็นการลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นความอัปยศอดสูอีกด้วยโดยทั่วไปจะไม่ได้ลงโทษถึงขั้นนี้แต่ตอนนี้ชัดเจนว่า มีคนมีการกระทำอย่างหนักจนต้องรับการลงโทษเช่นนี้คุณท่านจั๋วลิ่วกำลังคุกเข่าอยู่ตรงกลางสนามเล็ก ๆ เขาดูเหมือนแก่ลงไปสิบกว่าปีชายวัยกลางคนที่เคยมีชีวิตชีวานั้น ตอนนี้เขามีผมหงอกสีขาวที่ด้านข้างขมับในเวลาเพียงไม่กี่วันจั๋วหรูซินไม่ได้คุกเข่าใ
ผู้อาวุโสห้าพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ ผู้อาวุโสใหญ่ตั้งใจลงโทษต่อหน้าทุกคน ไม่เพียงแต่เพื่อคืนความยุติธรรมแก่เจ้า แต่ยังเพื่อให้ทุกคนของสำนักงานใหญ่ของตระกูลรู้ว่าความยุติธรรมนั้นมีอยู่ในตระกูล หากใครกล้าทำร้ายคนในตระกูล คนผู้นั้นจะถูกลงโทษ และได้รับการลงโทษอย่างหนัก”จั๋วซือหรานยืนอยู่ข้างสนาม นางทำท่าเชิญชวนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า "ข้าเพิ่งกลับบ้านเพื่อเยี่ยมท่านแม่ และข้าก็บังเอิญทันเรื่องนี้ หวังว่าข้าคงไม่ได้เสียเวลาของผู้อาวุโส”“เปล่า ๆ ไม่ได้เสียเวลา” ผู้อาวุโสเจ็ดโบกมือแล้วพูดด้วยไมตรีจิต“ไหน ๆ ก็มาแล้ว มาดูก่อนค่อยไปก็ได้นะ”เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเจ็ด 'ไหน ๆ ก็มาแล้ว' จั๋วซือหรานเกือบหัวเราะโชคดีที่นางอดไว้ นางมองท่านจั๋วลิ่วและจั๋วหรูซินคุณท่านจั๋วลิ่วก้มหน้าลง ดูทรุดโทรมและเงียบสงบมาก และเขาไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ แต่จั๋วหรูซิน แม้ว่านางพยายามกลั้นความโกรธแค้นไว้ แต่ก็อดไม่ได้ที่ต้องจ้องมองจั๋วซือหรานด้วยสายตาอันโหดเหี้ยมจั๋วซือหรานเงียบชั่วคราวแล้วถามผู้อาวุโสเจ็ดอย่างไม่ตั้งใจ "แล้วเรื่องนั้น คุณท่านจั๋วลิ่วเป็นผู้ที่ทำร้ายข้าหรือ"ชนเผ่าบางคนที่เฝ้าดูอยู่ทนไ
จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว นางคิดเช่นนี้ในใจ รับการลงโทษแทนลูกสาวหรือไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้คนจำนวนมากรู้สึกคุณท่านจั๋วลิ่วได้รับความไม่ยุติธรรม คงเป็นเพราะพวกเขารู้สึกซึ้งใจกับการกระทำของคุณพ่อที่ใจดีโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของผู้อาวุโสเจ็ด บางคนอาจคิดว่าผู้อาวุโสเจ็ดรู้สึกซาบซึ้งใจกับการกระทำคุณท่านจั๋วลิ่วเช่นกันดังนั้นเสียงที่หายไปในก่อนหน้านี้รีบดังขึ้นอีกครั้ง“นั่นน่ะสิ ลุงหกก็ถือว่ามีความรับผิดชอบแล้วนะ เป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมเราจะต้องก้าวร้าวขนาดนี้ด้วย...”ผู้อาวุโสเจ็ดยืนอยู่ข้าง ๆ เขาขมวดคิ้วอย่างแรง พระเจ้าช่วย คำพูดของเขาในเมื่อครู่นี้ไม่ได้หมายความว่าเขาสงสารคุณท่านจั๋วลิ่ว แต่เขาหวังว่าจั๋วซือหรานใจรู้สึกสะใจหน่อย และเลิกเหินห่างจากตระกูลจั๋วต่างหากใครจะไปรู้คำพูดของเขาถูกคนที่ดูการลงโทษเข้าใจผิดขนาดนี้ก่อนที่ผู้อาวุโสเจ็ดอยากพูดอะไรต่อ จั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ใช่สิ เมื่อท่านพ่อของข้าเสียชีวิตเพื่อตระกูล ท่านพ่อคงไม่คาดคิดเลยว่า ลูกสาวของเขาจะถูกรังแกจนตายโดยพ่อที่รักของคนอื่นกระมัง"ทันทีที่จั๋วซือหรานพูดคำเหล่านี้ ทุกคนเงียบลงทันทีใครล่ะยังไม่มีพ่อบ้าง ท่
คุณท่านจั๋วลิ่วกระตุกสองสามครั้งบนพื้น เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถต้านทานเฆี่ยนเจ็ดแส้ที่ผู้อาวุโสใหญ่ลงมือ หากเขาทนเฆี่ยนตีเจ็ดครั้งนี้จริง ๆ เขาจะต้องตายแน่ ๆคุณท่านจั๋วลิ่วเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างโศกเศร้าว่า "ผู้ ผู้... ผู้อาวุโสใหญ่ ให้... ให้ข้าตายใน... ทีเดียวเลย..."ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่โบกแส้อีกครั้งด้วยสีหน้าที่เย็นชาคุณท่านจั๋วลิ่วเจ็บจนพูดไม่ได้ เขาไม่สามารถแม้แต่จะกรีดร้องออกมาดัง ๆ ด้วยซ้ำ เขาอ้าปาก และเสียงหวือหวาก็ดังออกมาจากลำคอของเขาด้วยแส้อีกทีหนึ่ง คุณท่านจั๋วลิ่วกระเด้งสองครั้งบนพื้น เหมือนปลาที่กำลังจะตาย และกางเกงของเขาก็เปียกไปหมดฉากนั้นเงียบสนิท ทุกคนเห็นว่าคุณท่านจั๋วลิ่ว ผู้ร่าเริงอยู่เสมอก็ตกอยู่ในสภาพที่น่าเศร้าเช่นนี้ในเวลาอันสั้นนี่แค่สามแส้เท่านั้น เดิมทีผู้อาวุโสใหญ่มีความตั้งใจที่จะฆ่าไก่เพื่อทำให้ลิงตกใจ เพื่อให้ทุกคนได้รับคำเตือน ในขณะนี้ สภาพอันน่าเศร้าของคุณท่านจั๋วลิ่วได้ตักเตือนในใจของทุกคนแล้วเพียงแต่บางคนมีปฏิกิริยาโต้ตอบและมองไปที่จั๋วซือหรานด้วยสายตาที่หวาดกลัวและการตกตะลึงอย่างสุดซึ้งคนผู้นี้รับการลงโทษถึงเก้าแส้เต็ม ๆ นะ
แน่นอนว่าจั๋วซือหรานจำบุคคลที่อยู่ตรงหน้านางได้ และนางสามารถดึงข้อมูลของบุคคลนี้ออกจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมได้อย่างราบรื่นมากลูกชายคนโตของจั๋วเห้อหรง จั๋วหยุนชินเขาเป็นลูกชายของจั๋วเห้อหรงและภรรยาคนแรก แต่ภรรยาคนแรกเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว จั๋วหรูซินเป็นลูกสาวของจั๋วเห้อหรงและภรรยาคนใหม่จั๋วหยุนชินมีพรสวรรค์อย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่จั๋วเห้อหรงมีอำนาจที่แท้จริงในตระกูลแม้ว่าเขามีความสามารถไม่มากนัก เพียงเพราะลูกชายของเขามีอนาคตที่ดีแม้ว่าเขาจะไม่มีคุณสมบัติที่น่าทึ่งเท่ากับเฟิงเหยียน แต่ในตระกูลเช่นตระกูลจั๋วทีแย่ลงทุกวันและมีพรสวรรค์ที่น้อยกว่าก็ถือว่าดีแล้วและเนื่องจากผลงานที่โดดเด่นของเขาในการฝึกฝนของตระกูลนั้น เขาจึงถูกลัทธิอู๋จี๋สังเกตและถูกเรียกเข้าลัทธิ ซึ่งลัทธิอู๋จี๋เป็นหนึ่งในเจ็ดลัทธิหลักในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเพียงไม่กี่คนในตระกูลจั๋วถูกลัทธิด่าง ๆ เลือก ดังนั้นเนื่องจากมีจั๋วหยุนชิน ฐานะของจั๋วเห้อหรงในตระกูลจึงสูงขึ้นเช่นกันในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่จั๋วหยุนชินไปลัทธิอู๋จี๋ จั๋วเห้อหรง ก็ค่อย ๆ มีอำนาจที่แท้จริงในตระกูลมีความความขัดแย้งระหว่า
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"