เมืองหลวงของประเทศซี เมืองที่ไม่เคยมีการหลับใหล แสงสว่างมากมายถูกประดับประดาตามท้องถนน เธอรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหลบซ่อนในร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง สายตาคู่โตมองออกไปข้างนอกเพื่อหาคนที่เดินตามเธอมา
“เมื่อไหร่จะปล่อยฉันเป็นอิสระเสียที” อิงหลิวอดไม่ได้ที่จะนึกสงสารตัวเอง เธอยอมเดินออกจากบ้านของเธอ จากครอบครัวที่ควรจะเป็นของเธอ เพื่อปล่อยให้น้องสาวคนละสายเลือดของตัวเองยึดครองในพื้นที่ของเธอ แต่ทว่า เธอคงคิดน้อยเกินไป เพราะสิ่งที่เธอเคยทำในอดีตกำลังตามเล่นงานตัวเธอเองในตอนนี้
“เลิกหนีเถอะครับ คุณหนู ท่านควรจะกลับไปรับโทษกับนายใหญ่” ยังไม่ทันที่อิงหลิวจะเดินออกจากที่หลบซ่อน เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านข้างเสียก่อน
“ทำไมกัน ฉันทำอะไรผิดไปหากว่าการที่ฉันบอกคนอื่นไปว่าเด็กคนนั้นเป็นเพียงลูกเลี้ยงที่ถูกรับมาเลี้ยงมันก็ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันต่างหากที่เป็นลูกที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีอะไรเลยที่เป็นของตัวเอง” การที่เธอยังคงรั้งสถานะว่าเป็นบุตรสาวตามสายเลือดอยู่ในตอนนี้ คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ยังคงเป็นของเธอจริง ๆ หากว่าเธอยอมปล่อยให้เด็กคนนั้นยึดสถานะของเธอไป เธอคงไม่เหลืออะไรแล้วในชีวิตนี้
“คุณหนูควรกลับไปแต่โดยดีนะครับ” เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นอีกครั้ง เรียกสติของเธอให้กลับมา
“ได้ ถ้านายจะให้ฉันกลับ ฉันกลับก็ได้ หากว่านายจับฉันได้” อิงหลิวตอบกลับก่อนหันหลังวิ่งออกนอกประตูข้างที่เธอเคยสำรวจดูในช่วงที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ๆ
“แบ่งกลุ่มดักรอที่ถนนถัดไป อีกกลุ่มตามฉันมา” เสียงอดีตคนรับใช้ที่ผันตัวมาเป็นหัวหน้ากลุ่มค้นหาออกคำสั่งกับลูกน้องตัวเอง ก่อนจะรีบวิ่งตามอดีตคุณหนูของตน
“ครับ หัวหน้า”
อิงหลิวเดินออกจากรอยแตกของกำแพงบ้านร้าง เธอหันกลับมามองเส้นทางที่เธอเดินผ่านเมื่อครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา แอ่งน้ำที่ส่งกลิ่นเหม็น กองขยะข้างทางที่กองสูง และคราบสกปรกที่เปื้อนอยู่ตามทาง ไม่น่าเชื่อเลย อดีตคุณหนูใหญ่ที่เคยได้รับค่าขนมรายเดือนหลักล้านจะตกต่ำได้ขนาดนี้
ระหว่างที่เธอกำลังเดินกลับห้องเช่าขนาดเล็ก ความรู้สึกบางอย่างเรียกให้เธอหันไปมองถนนใหญ่ที่อยู่ทางขวามือ ในสายตาของเธอนั้นเห็นเด็กเล็กวัยเพิ่งหัดเดินที่กำลังเดินเตาะแตะบนทางม้าลาย
“อะไรกัน ใครเขาปล่อยให้เด็กเล็กเดินบนถนนคนเดียวกัน แล้วคนแถวนี้ไม่เห็นเด็กคนนั้นเลยหรือไง” อิงหลิวรีบวิ่งเข้าไปที่ถนนเพื่อจะอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนั้นทำอะไรของเธอกัน จะรีบวิ่งไปบนถนนทำไม”
ในวินาทีที่อิงหลิววิ่งมาถึงตัวเด็กเล็ก เสียงกระหึ่มของรถหรูก็ดังขึ้นมาทันที สายตาของเธอเห็นชัดว่ารถตรงหน้าอยู่ไม่ไกลจากเธอเลย และเธอก็รู้ดีว่าตอนนี้เธอไม่อาจหลบพ้น อิงหลิวรีบผลักเด็กเล็กไปทางกลุ่มคนมาใหม่ที่อยู่ไม่ไกล ในใจหวังเพียงอย่างเดียวว่า เด็กน้อยน่ารักตรงหน้าจะรอดปลอดภัย
โครม!!
“คนถูกรถชน ใครก็ได้โทรเรียกรถพยาบาลที”
“ดูแล้วไม่รอดนะ ลำตัวขาดครึ่งเลย”
“คนขับรถเป็นคนรวยเสียด้วย รถคนนั้นราคาเป็นสิบล้าน”
เพล้ง!! รูปถ่ายขนาดเล็กที่ตั้งประดับบนโต๊ะในห้องนอนใหญ่ดังขึ้นพร้อมภาพของบุคคลในรูปที่ถูกน้ำหมึกกลิ่นหอมเปื้อนใส่ เรียกสายตาทรงอำนาจของคนเป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ให้หันกลับมาดู
“รูปตกลงมาได้ยังไงกัน ขวดหมึกก็ด้วยเหรอ” ประธานบริษัทยักษ์เดินกลับไปก่อนจะก้มลงหยิบรูปถ่ายที่ตนก็จำไม่ได้ว่าเอามาวางไว้ตอนไหน
“ท่านประธานครับ สายด่วนจากทีมค้นหาครับ”
“โอเค นายออกไปก่อน”
“นายใหญ่ครับ คุณหนูใหญ่อิงหลิว จากไปแล้วครับ” สิ้นเสียงรายงานจากลูกน้องคนสนิท มือถือที่อยู่ในมือก็ร่วงลงสู่พื้นทันที ก่อนที่สายตาของชายคนนั้นจะสังเกตเห็นรูปถ่ายที่เปื้อนหมึก แม้จะเห็นได้ไม่ชัดแต่เขาจำได้ดีว่าบุคคลในรูปถ่ายนั้นคือ บุตรสาวของเขา อิงหลิว
...
อึดอัด หายใจไม่ออก คือความรู้สึกแรกที่อิงหลิวสัมผัสได้ ก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย นางปล่อยเสียงร้องออกมาทันที เจ็บ เจ็บมาก ใครกำลังทำร้ายนางกัน
“ยินดีด้วยนะเจ้าคะ เป็นคุณหนูเจ้าค่ะ” เสียงของผู้หญิงที่นางไม่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของบุรุษที่นางก็ไม่คุ้นเคยเช่นกัน
“อย่างนั้นเหรอ แล้วฮูหยินของข้าเป็นอย่างไรบ้าง” นายใหญ่โจว โจวลู่เหอ ถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบหากแต่ถ้าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับนายใหญ่โจวจะรู้ว่าน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความกังวล
“ฮูหยินเพียงแค่อ่อนเพลียเล็กน้อยเจ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่”
“พ่อบ้านจัดการที่เหลือด้วย ส่วนเด็กคนนี้ เจ้าดูแลนางไปก่อนแล้วกัน ส่วนชื่อก็ โจวอิงหลิว แล้วกัน” สิ้นเสียงของผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน อ้อมกอดที่กำลังโอบอุ้มนางก็แฝงไปด้วยความตึงเครียด
อิงหลิวที่ได้เกิดใหม่อีกครั้งเต็มไปด้วยความสับสนและมึนงง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ทำใจได้อย่างรวดเร็ว เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชีวิตของนางกลับไปกลับมา หลายครั้งที่มีปัญหาเข้ามาหานางอย่างไม่ทันตั้งตัว นางก็ต้องรับมือกับปัญหาเหล่านั้นให้ได้ เพราะหากนางรับมือกับปัญหาเหล่านั้นไม่ได้ สิ่งที่รอนางอยู่ปลายทางนั่นคือความตาย หรืออาจจะแย่ยิ่งกว่าความตายเสียอีก
“น่าสงสารคุณหนูอิงหลิวนัก ดูท่าทางนายใหญ่ไม่รักคุณหนูเอาเสียเลย ทั้งที่เป็นคุณหนูคนแรกของตระกูลโจว”
“ฮูหยินร่างกายไม่แข็งแรงนัก ยิ่งตอนที่ท้องคุณหนูร่างกายก็ยิ่งทรุดลงเรื่อย ๆ นายใหญ่จึงได้มีท่าทีเช่นนี้ต่อคุณหนู ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก”
“พวกเจ้าพูดอะไรไร้สาระ รีบไปจัดเตรียมห้องให้คุณหนูได้แล้ว” เสียงที่อิงหลิวเคยได้ยินเมื่อตอนที่นางได้สติดังขึ้นก่อนที่เสียงรอบตัวจะเบาลง
“คุณหนูอิงหลิว ชีวิตของท่านดูท่าจะไม่สงบเสียแล้ว”
อิงหลิวจำได้คร่าว ๆ ว่านับจากที่นางได้เกิดใหม่ก็เข้าเดือนที่สี่ที่นางเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นบิดามารดาของนางในชาตินี้ บิดาของนาง โจวลู่เหอ มีใบหน้าที่หล่อเหลาจนแทบจะไม่เชื่อว่าจะมีผู้ที่ครอบครองใบหน้าเช่นนี้อยู่บนโลก ส่วนมารดาของนางมีใบหน้างดงามเช่นกันแต่ไม่อาจนำไปเทียบกับผู้เป็นบิดา
“ลูกสาวของข้า ช่างน่ารักนัก อิงหลิว หลิวเอ๋อร์” ฮูหยินเอกของนายใหญ่โจว หลี่เหมยหรง ก้มมองนางเล็กน้อยก่อนจะเผยยิ้มออกมา
“เจ้าไม่ควรโดนลมเยอะ รีบไปพักผ่อนเถอะ เมื่อร่างกายหายดีค่อยมาเยี่ยมลูก” เสียงทรงอำนาจที่ผู้เป็นบิดาเอ่ยออกมา ทำให้ความอบอุ่นที่เคยอบอวลหายวับไปเหลือเพียงสายลมเย็นเฉียบ
“ข้ารู้แล้ว” รอยยิ้มที่จางหายต่อหน้าต่อตาของนาง ทำให้อิงหลิวหลับตาลงทันที โจวอิงหลิว เมื่อเจ้าได้เกิดใหม่แล้วอย่าได้โลภมากเลย เมื่อไม่มีผู้ใดรักเจ้า อย่าได้เรียกร้อง แต่ควรรักตัวเองเสียจะดีกว่า จะได้ไม่เจ็บปวดอีก
ชีวิตในวัยเด็กของนางในชาตินี้ ยังคงสุขสบายไม่ต่างจากชาติก่อน มีอาหารเลิศรสมีของใช้ล้ำค่า สมบูรณ์พร้อมด้วยสมบัติมากมาย แม้แต่สิ่งของวิเศษอย่าง ชุดที่นางสวมใส่ก็มีความสามารถป้องกันไฟได้ หรือรองเท้าที่มีความสามารถเพิ่มความอบอุ่นให้กับผู้เป็นนาย และมีอีกอย่างหนึ่งที่ยังคงเหมือนชาติก่อนของนาง
เมื่อตอนที่นางอายุได้สองขวบ ผู้เป็นมารดาของนางแอบเข้ามาหานางในช่วงกลางคืน แม้นางจะสัมผัสไม่ได้ถึงความรักที่ผู้เป็นมารดาควรมีต่อบุตรของตน แต่ความห่วงใยบาง ๆ ที่ฉายชัดในดวงตาคู่นั้น นางค่อนข้างมั่นใจ แม้จะไม่มีความรักเฉกเช่นมารดาของผู้อื่น แต่สายสัมพันธ์ของเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในกายของทั้งคู่ก็ยังมีอยู่
“หลิวเอ๋อร์ แม่ขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า ข้างในเป็นสมบัติของแม่และบิดาของเจ้า หวังว่าเจ้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดี”
“เสร็จหรือยัง เหมยหรง ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก ที่จะได้เจอคุณหนูอีกครั้ง” เสียงที่แว่วเข้ามาผ่านทางหน้าต่างทำให้ อิงหลิวที่กำลังจะเปิดตาขึ้นมาอีกครั้งต้องรีบหลับตาลง
“ข้าคิดว่าหลิวเอ๋อร์ตื่นแล้วเสียอีก นี่ยังไม่ตื่นเหรอ” หลี่เหมยหรงที่ค่อนข้างมั่นใจว่าบุตรของนางเพิ่งลืมตาหันมาจ้องนางเมื่อสักครู่
“เด็กวัยเพียงสองขวบต่อให้ตื่นอยู่จะไปเข้าใจอะไรได้ ไม่ใช่คุณหนูของพวกเราเสียหน่อย” เสียงคุ้นเคยของผู้เป็นบิดาดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้นางได้ยินอย่างชัดเจน คุณหนูเหรอ? บิดาของนางเป็นนายใหญ่โจว มารดาของนางเป็นคุณหนูใหญ่ของขุนนางแซ่หลี่ แล้วคุณหนูที่พวกเขาพูดถึงอยู่คือใครกัน
“หลังออกจากดินแดนนภานั่นและถูกผนึกพลัง ก็ผ่านมาเกือบสี่ปีแล้วสินะ ไม่รู้ว่าคุณหนูของพวกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง จะยังจำพวกเราได้อยู่อีกไหม ข้าตื่นเต้นเสียจริง” เสียงของมารดาที่เปล่งออกมา แฝงไปด้วยความรักที่อิงหลิวไม่คุ้นเคย
“ใช่ ข้ายังจำได้ถึงครั้งแรกที่ข้าได้โอบอุ้มคุณหนูในอ้อมแขน รีบไปพักผ่อนเถอะ อีกไม่นานพวกเราจะได้ไปจากที่นี่แล้ว”
“ได้ สมบัติวิเศษของพวกเราก็อยู่ในจี้หยกที่ข้ามอบให้หลิวเอ๋อร์แล้ว นับจากนี้พวกเราไม่ได้ติดค้างอะไรกับเด็กคนนี้อีก”
“อืม ข้าเห็นด้วย” สิ้นเสียงของผู้เป็นบิดา เสียงปิดหน้าต่างก็ดังขึ้นตามหลัง ก่อนความเงียบสงบจะกลับมาอีกครั้ง
ชาตินี้นางก็ยังคงเป็นส่วนเกินอีกเช่นเดิมสินะ
Komen