ฉวนคูนรีบกระโดดขึ้นและไปเตรียมม้า เขายังถามจั๋วซือหราน ต้องการใช้รถม้าไหมจั๋วซือหรานคิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบ "ไม่ต้องก็ได้ สวมอาน ข้าขี่ไปที่นั่นเอง จะได้ถึงเร็ว ๆ ข้าต้องรีบไปรีบกลับ มิเช่นนั้น เดี๋ยวคนของตระกูลจั๋วจะมาอีก"เมื่อฉวนคูนได้ยินคำพูดของคุณหนู เขาก็เลยรู้ว่านางมีแผนรับมือในใจอยู่แล้วจั๋วซือหรานขี่ม้าไปจวนของตระกูลเหยียนอย่างรวดเร็วเมื่อนางหยุดที่ประตูจวนของตระกูลเหยียน นางดูน่ากลัวมากจนยามเฝ้าจวนสะดุ้งและรีบเข้าไปรายงานหลังจากนั้นไม่นาน เหยียนฉีเดินออกมาต้อนรับนางด้วยตนเองอาจเป็นเพราะเขารีบเดินออกมา เหยียนฉีหายใจเร็วเล็กน้อย " แม่นางจิ่ว เจ้ามาที่นี่มีธุระอันใด"จั๋วซือหรานยิ้มและพูด "เข้าไปคุยกันเลยไหม ข้ากังวลว่าจะหน้าบ้านมีคนเดินไปเดินมาบ่อย ๆ เดี๋ยวมีคนนินทา"“เชิญเข้าบ้านขอรับ” เหยียนฉีเชิญนางเข้าบ้านทันทีเมื่อเดินเข้าไปในประตูตระกูลเหยียน เหยียนฉี ฃก็พูดว่า "เจ้ากังวลพวกเราไม่ได้ทำตามอย่างที่เจ้าพูดหรือไม่ เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเราทำตามแผนของเจ้า และทำเสร็จแล้วด้วย"จั๋วซือหรานยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า "ไม่เป็นเช่นนั้น ข้าอาจไม่สามารถไว้วางใจผู้อื่นในตระกูลเห
จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "ข้าตั้งแผนนี้ชื่อว่า แผนได้คืบจะเอาศอก"“ผลได้คืบจะเอาศอกหรือ”“ใช่ เจ้ารู้สึกห้องนี้มืดเกินไปแล้วอยากเปิดช่องแสง แต่เขาไม่เห็นด้วย แล้วหากเจ้าบอกตรง ๆ ตั้งแต่แรกว่าห้องนี้มืดเกินไปและต้องการรื้อหลังคาออก แล้วทีนี้ ผู้คนบางคนจะคิดว่าการเปิดหน้าต่างที่หลังคาก็ไม่เลว” จั๋วซือหรานยิ้มและกล่าวนางมองเหยียนฉี "ดังนั้น พวกเจ้าได้ขึ้นราคาของวัสดุยาถึงห้าเท่าแล้ว ในเวลานี้ หากข้าเรียกสองเท่าของราคา ในสายตาของ ตระกูลจั๋ว พวกเขายังพอไหวราคาของข้า"“แม้พวกเขาจะรู้ว่าราคายาสองเท่านั้นไม่สมเหตุสมผลตั้งแต่แรก พวกเขาก็จะรู้สึกว่า ช่างมันเถิดหากพวกเขาไม่รีบซื้อ หลัง ๆ พวกเขาอาจพลาดราคานี้ไป พวกเขาอาจจะไม่ได้ราคาสองเท่าด้วยซ้ำ เพราะในระหว่างปรับราคาวัสดุยาขึ้น พวกเขากำลังคิดอยู่ว่า พวกเจ้าขึ้นราคาเช่นนี้ ต้องมีความแค้นส่วนตัวเกี่ยวข้อง และความแค้นส่วนตัวนั้นอธิบายได้ยาก…”จั๋วซือหรานกล่าวจุดนี้ แล้วพูดประโยคสุดท้ายเบา ๆ ว่า "จริง ๆ แล้ว หากมีเวลาพอสมควร ตระกูลจั๋วยังมีโอกาศหาซื้อวัสดุยาจากช่องทางอื่น และได้ราคาที่พวกเขารับได้ด้วย แต่สิ่งที่ตระกูลจั๋วขาดมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเว
ช่างโง่เขลาเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่านางเป็นสมบัติ แต่พวกมันกลับปฏิบัติต่อนางเหมือนนางเป็นหญ้าในอีกด้านหนึ่ง จั๋วซือหรานเห็นผู้คนจากตระกูลจั๋วทันทีที่นางกลับมาถึงที่บ้านผู้ที่มาไม่ใช่ใคร เป็นผู้อาวุโสสาม จั๋วยูง นั่นเองจั๋วยูงเห็นจั๋วซือหรานไม่อยู่บ้านและทำให้เขารอเสียนาน เขาไม่พอใจ เขาขมวดคิ้วและพูดว่า " เสียวจิ่ว อย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นคุณหนูของตระกูลสูงส่ง ทำไมเจ้าต้องวิ่งเล่นด้านนอกบ่อยครั้ง และตอนนี้มืดแล้ว เจ้าจึงกลับมา มันไม่เหมาะสม”จั๋วซือหรานมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก ดวงตาของนางไม่มีอารมณ์ใด ๆ และนางยังคงเงียบเมื่อถูกจั๋วซือหรานจ้องมองเช่นนี้ ทันใดนั้น จั๋วยูงมีความรู้สึก... ราวกับว่าเขาได้เห็นภาพที่จั๋วซือหรานเดินออกมาจากหน่วยสืบสวนพิเศษหลังจากนางผ่านการสอบของการแพทย์กลั่นยานั่นเป็นความรู้สึกอย่างเขา... สูญเสียการควบคุม ราวกับว่ามีบางอย่างควบคุมไม่ได้ หรือผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นบุคคลที่เขาควบคุมไม่ได้โดยสิ้นเชิงจั๋วยูงถูกจั๋วซือหรานจ้องมองเช่นนี้ เขาจึงเอากำปั้นไปที่ริมฝีปาก และไอเบา ๆ และในที่สุดก็เริ่มเข้าเรื่อง“อย่างไรก็ตาม เสียวจิ่ว วันนี้มาที่นี่ มีเรื่องอ
ดังนั้นเขาจึงเกิดความโกรธขึ้นเป็นปกติว่า "ตระกูลต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้าทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร"จั๋วยูงโกรธอย่างมาก จนใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง และหลอดเลือดบนหน้าผากของเขาโป่งขึ้น เขาพูดอีกด้วยว่า "...ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอทาน"ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า ทำไมเขาถึงรู้สึกเสียหน้าเพราะทัศนคติของผู้หญิงคนนี้ในเมื่อครู่นี้เป็นเพราะทัศนคติของนางททำให้จั๋วยูงรู้สึกเหมือนเขามาที่นี่เพื่อขอทานหรือเปล่าสิ่งที่ทำให้เขาโกรธที่สุดคือ หลังจากเขาพูดคำเหล่านี้ จั๋วซือหรานยังทำตัวเช่นนั้นเหมือนเดิม ยิ่งไปกว่านั้น นางยังเลิกคิ้วเล็กน้อย "ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้นนะ"เขาพูดเช่นนี้เองจั๋วยูงยิ่งโกรธมากขึ้น เขาหายใจเข้าลึก ๆ สักสองสามทีจึงสงบอารมณ์ได้ เขาพูดว่า "ก็แค่คิดว่าข้าคิดเยอะละกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ตอนนี้ตระกูลต้องการเจ้า ทุกวันนี้ เจ้าคงได้ยินเรื่องราวในเมืองหลวงบ้าง ตระกูลเหยียนเรียกราคาอย่างโหด ราคาวัสดุยาที่พวกเขาเสนอให้พวกเราโหดสุด ๆ จะว่าไป ในเรื่องนี้ เจ้าต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งด้วย“หากไม่ใช่เพราะเจ้าทำให้ตระกูลเหยียนขุ่นเคือง พวกเขาคงไม่มีความแค้นต่อตระกูลของเรา อย่างไรก็ต
รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขอ ผู้อาวุโสสาม“เฮ้ ดี ๆ ดีมากเลย ข้ารู้เลยว่า เจ้าเป็นเด็กดี เจ้าทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว แม้ว่าตระกูลของเราจะมีความขัดแย้งภายในบ้าง แต่ก็ยังเป็นเรื่องภายในตระกูลเรา เมื่อถึงเวลาต้องสู้กับโลกภายนอก เราร่วมใจกัน”รอยยิ้มบนใบหน้าของจั๋วซือหรานดูเหมือนถูกวาดโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือความจริงใจใด ๆนางพูดกับจั๋วยูง " ผู้อาวุโสสามพูดถูก"“ใช่แล้ว เด็กดี เช่นนั้นข้าฝากเจ้าจัดการเรื่องนี้” จั๋วยูง ยิ้มกว้างจั๋วซือหรานมองเขาแล้วรู้สึกว่า หากไม่ใ่เพราะไม่ถูกมารยาท เขาอาจตบไหล่ของจั๋วซือหรานแล้วจั๋วยูงยิ้มและถามจั๋วซือหราน " เสียวจิ่ว เจ้าคิดว่าเราจะได้คำตอบเมื่อใด"ตอนนี้พวกเขาวิตกกังวลมากและไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วันเดียวจั๋วซือหรานตอบ "หากทางบ้านรีบร้อย ข้าไปไปคุยกับ ตระกูลเหยียนคืนนี้ได้เลย ข้าน่าจะให้คำตอบได้ในเช้าวันพรุ่งนี้"จั๋วยูงคิดอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว และท้องฟ้าก็มืดลง โดยปกติแล้วเขาจะไม่ต้องรีบเร่งขนาดนี้ แต่เขารู้สึกกังวลเล็กน้อยจั๋วยูงกล่าวว่า "ทางบ้านกำลังรีบร้อนแล้วจริง ๆ เอาอย่างนี้ละกัน คืนนี้เจ้าไปคุยกับตระกูลเหยียนกันเถิด คืนนี้ข
จั๋วซือหรานเดินไปทางทิศตะวันตกของเมืองนางไม่จำเป็นไปถึงทางตะวันตกของเมืองจริง ๆ เมื่อนางใกล้จะถึงเขตตะวันตกของเมือง นางสังเกตสภาพแวดล้อมและถนนโดยรอบเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัดจั๋วซือหรานสวมหมวกผ้าอย่างไม่ตั้งใจ ม่านผ้ากอซยาวก็ปิดบังใบหน้าของนางนางเดินเข้าไปในเขตตะวันตกของเมืองแม้ว่านางสวมผ้ากอซ แต่รูปร่างของนางยังคงดูเรียวและสง่างามเกินไป และนางก็ดึงดูดความสนใจอย่างมากในเวลากลางคืนทางตะวันตกของเมืองเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีหุนหันพลันแล่นผู้ที่สามารถอยู่รอดได้ในเขตตะวันตกของเมืองไม่โง่ ไม่มีใครคิดว่าผู้หญิงที่กล้ามาตลาดกลางคืนของเขตตะวันออกของเมืองในยามกลางคืนเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอจริง ๆก็ไม่รู้ว่าใครเคยกล่าวไว้ หากเจ้าดูถูกผู้หญิง เจ้าจะประสบความสูญเสียครั้งใหญ่และทุกคนต่างทราบกันดีว่าว่า คุณหนูจิ่วของตระกูลจั๋ว ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองหลวงเมื่อเร็ว ๆ นี้ตีความประโยคนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบดังนั้น ในระหว่างทางที่จั๋วซือหรานเดินไปตลาดกลางคืนของเขตตะวันตกของเมือง ถือว่านางเดินราบรื่นอยู่ และไม่มีผู้ที่ไม่มีตากล้ามาหาเรื่องนางแต่เมื่อนางเดินม
เด็กคนนั้นอาจไม่เคยเห็นเหรียญเงินสักสองสามเหรียญมาตลอดชีวิต เขาตกตะลึงอย่างมากเมื่อเขารู้ตัว จั๋วซือหรานเดินไปใกล ๆ แล้วในที่สุดเขารู้ตัว เขากระโดดขึ้นและไล่ตามจั๋วซือหรานไป “ท่าน... ท่าน ท่านรอข้าด้วย...”จั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่า การกระทำอย่างไม่สนใจของนางจะกลายนำปัญหาผู้ชายคนนี้เดินตามนางตลอดและไม่เคยจากไป“...แต่ข้าไม่ควรเอาเงินของท่านโดยเปล่า ๆ ขอรับ” เขาพูดเช่นนี้ จากนั้นเดินตามจั๋วซือหรานอย่างใกล้ชิดเขาไม่สนใจจั๋วซือหรานจะชอบหรือไม่ เขาก็ไม่ได้อยากะจากไปอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงเดินตามจั๋วซือหราน และเล่าสถานการณ์ที่ตลาดกลางคืนของเขตตะวันออกของเมืองให้นางฟังอาจเป็นเพราะในระหว่างเขาพูด เขาสังเกตเห็นแม้ว่าจั๋วซือหรานรู้สึดหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นางก็ไม่โกรธหรือไล่เขา ดูเหมือนว่านางเป็นผู้ที่มีนิสัยดีดังนั้นเขาจึงพูดไปเรื่อย ๆ และแม้แต่แต่เดิมเขาพูดติดอ่างเล็กน้อย ก็ยังค่อย ๆ พูดคล่องมากขึ้นจั๋วซือหรานได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ และกฎของเขตตะวันตกของเมืองจากเขา“เพราะตอนที่ท่านมถึงตลาดกลางคืน ท่านได้แสดงให้เห็นว่าท่านมีความสามารถที่เก่งกาจ ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงไม่
เด็กฉลาดกระซิบว่า "ท่านขอรับ ที่นั่นคือสนามฝึก พูดไม่ได้ บางครั้งมันก็เป็นการฆาตกรรมจริง ๆ ... "เสียงของเด็กฉลาดเริ่มเงียบลงไปเรื่อย ๆจั๋วซือหรานเลิกคิ้วและตระหนักว่านางเดาถูกจริง ๆ ใช่ที่นั่นเลยเดิมทีเด็กฉลาดพูดเช่นนี้ โดยหวังว่าจั๋วซือหรานกลัวและเลิกสนใจที่นั่นใครจะรู้ว่าเมื่อแขกผู้มีเกียรติท่านนี้ได้ยินเช่นนี้ นางไม่มีเจตนาที่จะกลัวเลย นางเดินไปที่นั่นอย่างไม่ลังเลเด็กผู้ฉลาดเหงื่อออกบนหลังของเขา แต่เขาก็ยังรีบเดินตาม เขารีบโน้มน้าว "ท่าน ท่านขอรับ โปรดใจเย็น ๆ ที่นั่นวุ่นวายจริง ๆ คนหลายประเภทปะปนกันหมด อีกอย่าง ท่านเป็นหญิงสาวผู้หนึ่ง ข้ากลัวกลัวท่านถูกคนร้ายรังแก หากคนอันธพาลที่นั่นเดิมพันแพ้ พวกเขาอาจะทำทุกอรื่อง ยิ่งไปกว่านั้น หากท่านบังเอิญเข้าไปเดิมพนัน เท่ากับว่า จะครอบครัวจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง”ในตอนท้ายของประโยค เสียงของเด็กฉลาดเศร้าหมองเล็กน้อยจั๋วซือหรานเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย นางฟังออก ในความเป็นจริงแล้ว เด็กคนนี้กลัวนางถูกคนรังแกเมื่อนางไปสนามฝึกฝน เขากลัวนางติดการพนันที่สนามฝึกฝนมากกว่านางไม่ทราบเขาเคยประสบสมาชิกในครอบครัวติดการพนันหรือเ
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"