ซือคงเซี่ยนถอนหายใจ จั๋วซือหรานไม่ฉลาดได้อย่างไร นางฉลาดเหลือเกินหากนางไม่ฉลาด นางจะไม่สามารถมองทะลุถึงจุดนี้และเมื่อมองทะลุถึงจุดนี้ ความจริงก็ใกล้ถูกเปิดเผยแล้ว ซือคงเซี่ยนรู้สึกจั๋วซือหรานอาจเดาความจริงได้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำมันเป็นเพียงเรื่องเกี่ยวถึงชื่อเสียงของราชวงศ์ ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดตรง ๆ แต่แกล้งทำตัวโง่ ๆไท่จื่อที่เป็นองค์ชายที่ได้รับความเมตตาพิเศษจากฮ่องเต้ ในสายตาของทุกคน ไท่จื่อต้องเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัยข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือสายเลือดอันสูงส่งและสถานะของเขาในฐานที่เป็นไท่จื่อตราบใดที่เขามีไพ่เด็ด เขาก็แทบไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแต่ทำไมเขาถึงกลัวไทเฮาและองค์ชายเจ็ดที่ถูกตรวจสอบขนาดนี้เว้นแต่สายเลือดนี้จั๋วซือหรานลอกความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างราชวงศ์ทีละชั้น และในท้ายที่สุด นางเดาความจริงออก ซึ่งฟังแล้วรู้สึกไร้สาระบางทีองค์ชายห้าอาจไม่ใช่สายเลือดของฮ่องเต้ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเข้ารู้สึกว่า มันไม่ปลอดภัยพอ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกผิดและกลัวแต่นางไม่ควรพูดเช่นนั้นได้ นางจึงแสร้งทำเป็นโง่และถามซือคงเซี่ยน
ซือคงยวี่รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขามองไปที่ซือคงเซี่ยนอีกครั้งเขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "แม่นางที่อยู่ข้างกายน้องเจ็ดคือแม่นางของเรือนใด"“กราบท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ นั่นคือคุณหนูจิ่วของตระกูลจั๋ว จั๋วซือหรานพ่ะย่ะค่ะ ”“แม่นางที่รักษาหญิงชราตำหนักหย่งโซ่ว...เสด็จย่าเมื่อครั้งที่แล้วหรือ” ซือคงยวี่เลิกคิ้ว“ใช่พ่ะย่ะค่ะ วันนี้ข่าวที่ถูกแพร่กระจายทั่วเมืองหลวงล้วนเกี่ยวนางแข่งวิชาการแพทย์กับตระกูลเหยียน” เจ้าหน้าที่วังตอบซือคงยวี่เยาะเย้ย "ช่างเพ้อฝันเสียจริง ตระกูลจั๋วเป็นพ่อค้าที่ไร้ความรู้ กว่าจะมีพรสวรรค์ในการฝึกฝน ทักษะทางการแพทย์หรือ หลังจากนางรักษา...ชรา...ไทเฮา นางเกิดความเข้าใจที่ผิด และนึกว่าตัวเองมีทักษะทางการแพทย์ที่โดดเด่นหรือ ”“กระหม่อมมิทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่ตระกูลจั๋วไม่มีความมั่นใจในเรื่องนี้และไม่สนับสนุน แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ตามข่าวลือ ดูเหมือนจั๋วซือหรานถูกไล่ออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลจั๋วพ่ะย่ะค่ะ ” ผู้รับใช้ตอบด้วยความเคารพซือคงยวี่หัวเราะ “ ตระกูลจั๋วเป็นพ่อค้านานแล้วเสียจริง พวกเขาคำนึงถึงผลประโยชน์เสียเร็ว”เขามองไปในทิศทางนั้นอีกครั้ง จากนั้นดว
ไม่ต้องพูดถึงที่นี่เลย แม้แต่ในจวนจั๋ว คนรับใช้หลายคนล้วนเคารพผู้มีฐานะ แต่ดูถูกผู้ที่ไร้ฐานะดังนั้นหลังจากเจ้าของร่างเดิมตัดสินใจแต่งงานกับฉินตวนหยาง แม่ของเจ้าของร่างเดิมและจั๋วหวายต่างเริ่มได้รับการดูถูกในจวนจั๋วคนรับใช้วัยกลางคนคนนี้ถูกสั่งมาที่นี่เป็นพ่อดูแลบ้าน และเดิมทีเขาไม่พอใจกับชะตากรรมของเขาที่ถูก 'เนรเทศ'นอกจากนี้ เมื่อเขาเห็นจั๋วซือหรานเพิ่งตื่นและนางดูเหมือนอ่อนแอและถูกกลั่นแกล้งได้ง่าย เขาเลยดูถูกในใจจั๋วซือหรานเล็กน้อย และทัศนคติในการพูดของเขาก็เป็นการไม่ให้ความเคารพโดยธรรมชาติฝูซูขมวดคิ้วขณะที่เขาฟัง"เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ทำไมเจ้าถึงพูดกับคุณหนุเช่นนี้"คนรับใช้วัยกลางคนโค้งริมฝีปากแล้วพูดว่า "ข้าพูดอะไรผิดไป อีกอย่าง คุณท่านลิ่วเป็นผู้ที่สั่งข้ามาเป็นพ่อดูแลบ้านของคุณหนูจิ่ว โดยปกติแล้ว เจ้าต้องรับใช้ข้า ดังนั้นเจ้าต้องพูดดี ๆ กับข้าต่างหาก”“เจ้า” ฝูซูโกรธมากจนหน้าแดง เขาเป็นเพียงชายหนุ่มผู้ภักดีต่อเจ้านายของเขา เขามีนิสัยเรียบง่ายแต่พูดไม่เก่ง ทันใดนั้น เขาไม่ทราบต้องโต้เถียงกับคำพูดนี้เมื่อจั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนั้น นางหรี่ตาลง บัดนี้นางไม่ง่วงนอนแ
“เจ้าสองคนแหละ เจ้าคุมเหล่าคนรับใช้เพศชาย ส่วนเจ้า คุมเหล่าคนรับใช้เพศผู้หญิง พวกเจ้าสั่งงานเอง”มีว่างฝูอันน่าเวทนาเป็นตัวอย่าง จั๋วซือหรานเชื่อพวกเขาจะไม่กล้าก่อเรื่องในชั่วคราว“ในเมื่อพวกเจ้ามาจากจวนจั๋ว ทางนั้นว่าอย่างไร หนังสือสารกรมธรรม์ของพวกเจ้าจะให้ข้าเก็บไว้หรือให้จวนจั๋วเก็บไว้เหมือนเดิม” จั๋วซือหรานถาม แต่เมื่อนางเห็นพวกเขายังหวาดกลัวอยู่ ดูเหมือนนางคงไม่ได้คำตอบหรอกจั๋วซือหรานโบกมือ "ช่างมันเถิด วันหลังข้าไปหาผู้อาวุโสใหญ่เอง เอาหนังสือสารกรมธรรม์ของพวกเจ้ากลับมาละกัน"จั๋วซือหรานไม่แน่ใจนางจะเอาหนังสือสารกรมธรรม์กลับมาได้หรือไม่ แต่สิ่งที่นางมั่นใจนั้นก็คือ ในบรรดาคนรับใช้ที่ตระกูลจั๋ว จัดไว้นั้น จะต้องมีสายลับของตระกูลจั๋วแน่ ๆว่างฝูนั้นที่ขดตัวเป็นกลอม ๆ นอนบนพื้นตรงนั้น ดูเหมือนว่าเขายังไม่หายจากอาการตกใจครั้งก่อนแต่ทันทีที่เขาได้ยินจั๋วซือหรานพูดถึงหนังสือสารกรมธรรม์ เขาก็ลุกขึ้นยืนและคลานไปหาจั๋วซือหรานทันที ราวกับว่าเขาฟื้นคืนสติก่อนที่จะเสียชีวิตหากคุณหนูจิ่วไปเอาหนังสือสารกรมธรรม์ของพวกเขาจากจวนจั๋วจริง ๆ นั่นหมายความว่า นางมีสิทธิ์ขายได้ตามใจชอบแม้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับจั๋วซือหราน ผู้หญิงที่เกือบถูกครอบครัวของทอดทิ้ง สถาบันแพทย์หลวงสนใจผู้ที่เป็นเส้นสายและผู้ที่มีบุญคุณมากกว่า และยินดีกับคนเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัยดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่มีหนวดคนนี้จึงตัดสินใจกีดขวางจั๋วซือหรานสอบใบอนุญาตแพทย์ เพื่อแสดงความเป็นมิตรกับเหยียนชางสถาบันแพทย์หลวงใครจะไปรู้คุณหนูจั๋วจิ่วผู้นี้ พูดจาโหดเช่นนี้เจ้าหน้าที่ที่มีหนวดโกรธมาก เขาพูดอย่างไม่พอใจ "เจ้ากล้าเรียกชื่อของหัวหน้าของสถาบันแพทย์หลวงได้อย่างไร คุณหนูจั๋วจิ่ว หัวหน้าของสถาบันแพทย์หลวงกลัวหญิงสาวที่ไร้เตียงสาอย่างเจ้าหรือ เจ้าไม่กล้วหาเรื่องใส่ตัวเองหรือ "จั๋วซือหรานเหลือบมองชายที่มีหนวดสั้น ๆ นางโบกมือแล้วพูดว่า "ช่างเถิด ทำไมข้าต้องเสียเวลามาคุยกับเจ้า... "ชายที่หนวดสั้น ๆ ยังคงอยู่ที่นั่นและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดุถูก"ในเมื่อเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ อย่าสอบใบอนุญาตแพทย์ละกัน แม่นางจั๋วจิ่วเย่อหยิ่งเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่ไปสอบแพทย์กลั่นยาล่ะ โถ มีทักษะการแพทย์ไม่มาก คิดว่าตัวเป็นหมอเทวดา ถุย”จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "แพทย์กลั่นยาหรือ เจ้าเตือนฉันพอดี"นางสะบัดแขนเสื้อแล้วหันตัวบ
เพียงแต่หลังจากที่ฝูซูดีใจ เขาก็เริ่มคิดอย่างมีเหตุผล เขาขมวดคิ้วและกระซิบว่า “แต่คุณหนูคะ หน่วยสืบสวนพิเศษไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าเลย เราคงเข้าไปไม่ได้หรอกนะ”หลังจากที่จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดของเขา นางมองไปในทิศทางหนึ่งอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ยกมือขึ้นทันทีไม่มีใครสังเกตนางมีอาวุธสีดำอยู่ในมือของนางเมื่อไร เสียง ปัง ปัง ปัง ปัง ดังขึ้น เสียงหลายเสียงดังทะลุอากาศติดต่อกัน มุ่งหน้าตรงไปในทิศทางนั้นและในทิศทางนั้น เพื่อหลบการโจมตีฉับพลันของนาง ชายที่สวมชุดดำปรากฏตัวจากมุมถนนด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อยชายชุดดำตกตะลึงอย่างมาก ไม่เพียงเพราะจั๋วซือหรานสังเกตร่องรอยของเขาอย่างง่ายดาย แต่จากการโจมตีอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้นของจั๋วซือหราน นางอาจสังเกตการติดตามของเขาเสียนานแล้ว เพียงแต่นางทนถึงเวลานี้ จึงโจมตีเขาสิ่งที่ทำให้ชายชุดดำตกใจยิ่งกว่านั้นคือการโจมตีของจั๋วซือหราน เขาไม่รู้ว่ามันเป็นอาวุธประเภทใด แต่มันรวดเร็วและแม่นยำมาก หากเขาไม่หลบ เขาอาจจะโดนลูกศรเหล็กอันสั้นสี่ดอกนั้นไม่ต้องพูดถึงว่าชายชุดดำมองเห็นไม่ชัดเจน ฝูซูเองก็ไม่ทันมองคุณหนูของเขาลงมือเมื่อไรเขาเพียงรู้สึกคุณหนู
แพทย์กลั่นยามีจำนวนที่น้อยมาก นั่นเป็นเพราะว่าเกณฑ์นั้นสูงมากหากผู้ใดอยากเป็นแพทย์กลั่นยา ผู้ที่สอบไม่เพียงต้องต้องรู้วิชาการแพทย์เท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจเภสัชวิทยาและพิษวิทยาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สอบต้องรู้จักสมุนไพรนับร้อยชนิดและรู้วิธีจับคู่และประสานกันดังนั้นเมื่อเทียบกับแพทย์กลั่นยา การสอบใบอนุญาตแพทย์ก็ง่ายพอ ๆ กับน้ำดื่มและเนื่องจากการที่เป็นแพทย์กลั่นยาต้องมีความสามารถขั้นเทพ โดยปกติแล้ว ไม่หมอกลั่นยานอกระบบคนไหนมาสอบเป็นแพทย์กลั่นยาแพทย์กลั่นยาของแผ่นดินใหญ่มักจะรวมตัวในเจ็ดลัทธิหลัก และแพทย์กลั่นยาที่เก่งที่สุดในเจ็ดลัทธิหลักมักจะรวมตัวอยู่ในลัทธิตันติ่งจั๋วซือหรานรู้ทั้งหมดนี้ และนางทราบดีด้วยว่า ไม่เคยมีผู้ที่อยู่นอกระบบนิกายสอบเป็นแพทย์กลั่นยาได้ แน่นอนว่าไม่สามารถพูดได้ว่า ไม่มีนักเล่นแร่แปรธาตุที่นอกระบบ แต่มีแพทย์กลั่นยานอกระบบที่เรียนด้วยตนเองเดิมทีพวกเขาชินกับการมีความเป็นอิสระแล้ว พวกเขาไม่อยากมาสอบเป็นแพทย์กลั่นยาหรอกดังนั้นจึงเป็นเรื่องจริงที่ว่า แทบไม่มีใครสอบแพทย์กลั่นยาเมื่อซือหลี่ตันติ่งได้ยินจุดประสงค์ของจั๋วซือหราน เขาก็เงียบ "ไม่เคยมีคนมาสอ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ซือหลี่ตันติ่งคิดว่าจั๋วซือหรานจะยอมแพ้แต่จั๋วซือหรานไม่ยอมแพ้ นางถามคำถามอื่นเท่านั้น "ใต้เท้าเจ้าคะ ตามหลัก ความเสี่ยงและผลประโยชน์ควรมีอยู่ร่วมกัน หากข้าสอบไม่ผ่านแพทย์กลั่นยา ข้าต้องรับโทษหนักเช่นนี้เพื่อชดใช้ความประมาทเลินเล่อของข้า…”ทันใดนั้น ในดวงตาที่อยู่ด้านหลังของหน้ากากของซือหลี่ตันติ่งเริ่มเกิดความสนใจออันแปลกประหลาดผู้หญิงคนนี้...ไม่กลัวหรือเห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านี้เขาเห็นความตกใจเล็กน้อยในดวงตาของนาง แต่ตอนนี้ดวงตาสีน้ำตาลของนางไม่มีสีหน้าที่สั่นเทาอีกต่อไป แต่ยังคงสงบราวกับว่าแค่มองดวงตาของนางก็จะรู้สึกว่า นางทำได้ง่ายมากจั๋วซือหรานกล่าวต่อ "...ตามเกณฑ์ หากข้าผ่านการสอบแพทย์กลั่นยา ข้าควรได้รับผลประโยชน์มากมาย ท่านคิดว่าอย่างไร"ซือหลี่ตันติ่งหรี่ตาลง และในทันใดนั้น ในน้ำเสียงอันดังของเขาเต็มไปด้วยความดีใจพวกเขาอยู่ห่างไกลจากลัทธิและได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นซือหลี่ในหน่วยสืบสวนพิเศษแคว้นต่าง ๆ แม้ว่างานนี้จะเป็นคุณสมบัติ แต่จริง ๆ แล้วในช่วงเวลาที่รับหน้าที่ ชีวิตของพวกเขาค่อนข้างน่าเบื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่น่าสนใจใ
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"