บ้านของนาง ถือว่าเป็นตระกูลสาขาเดียวกับผู้อาวุโสเฟิงฉี คิดดูแล้ว ก็เป็นเพราะชุบแสงของผู้อาวุโสเฟิงฉี ถึงได้เข้ามาในตระกูล ตามหลักการแล้วคือต้องฟังคำพูดของผู้อาวุโสเฟิงฉีมากที่สุด เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ท่านพ่อกลับโต้เถียงผู้อาวุโสเฟิงฉีเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนางด้วยนิสัยของผู้อาวุโสเฟิงฉี เฟิงหร่านรู้ว่า ท่านพ่อต่อให้จะพูดอีกแค่ไหน ก็คงโดนลงโทษแน่นอน กฏของตระกูลเฟิงเองก็ไม่ได้เบากว่าของตระกูลจั๋วเลยหลังจากที่เฟิงหร่านยั้งคำพูดพ่อของนางไว้ ก็รีบเอ่ยกับเฟิงฉีว่า “ผู้อาวุโสโปรดระงับความโกรธ ท่านพ่อแค่เป็นห่วงลูกสาวจนจิตใจว้าวุ่น หร่านเอ๋อร์ไม่มีความเห็นใดต่อคำพูดของผู้อาวุโส หร่านเอ๋อร์จะไปเอง”เฟิงฉีเดิมทีก็รู้สึกโกรธอยู่ที่พ่อของเฟิงหร่านดื้อรั้น เดิมทีเขาก็เจอเรื่องไม่ดีมาก่อนหน้าแล้ว จึงยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นไปอีกแต่ว่าคำพูดของเฟิงหร่านกลับทำให้เขาสงบลงไปไม่น้อยมีคนไม่เข้าใจกับวิธีการของเฟิงฉี“เจ้าให้เด็กสาวคนหนึ่งไปเจรจากับจั๋วจิ่ว แล้วจะเจรจาอะไรมาได้กัน?”เฟิงฉีตอบ “ก็เพราะนางเป็นเด็กสาวคนหนึ่งนี่ล่ะ ถึงจะทำให้จั๋วจิ่วลดการป้องกันลง เจ้านั่นถ้าไม่ลดการป้อง
จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็เพียงแค่เหลือบมองนางผาดหนึ่ง จากนั้นก็ร้องเรียกเฉวียนคุนเข้ามาเฉวียนคุนกำลังกินเคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปาก สองตาเปล่งประกาย “นายท่าน มีอะไรหรือ?”“ไป เตรียมอาหารเช้าให้คุณหนูเฟิงสือสักชามนึง” จั๋วซือหรานกำชับขึ้นมาเฉวียนคุนรู้สึกว่าฝีมือทำอาหารของคุณหนูแทบจะพลิกแผ่นฟ้าอยู่แล้ว แค่บะหมี่ราดหน้าชามเดียว เด็กฉลาดนั่นก็กินจนตาเป็นประกาย ส่วนเขาก็เคี้ยวตุ้ยๆ เต็มปาก ส่วนเฮยหลิงนั่นก็ตัวดีเลย!เกือบจะเอาหม้อมาทุบกันอยู่แล้ว!ยิ่งไปกว่านั้นเฉวียนคุนยังรู้สึกว่า ถ้าเฮยหลิงเคยสูญเสียอิสระในตลาดมืด จนรู้สึกไม่ชอบที่ต้องมาคุดคู้อยู่ในที่ของผู้อื่นอีกล่ะก็บะหมี่ราดหน้าวันนี้ก็แทบจะทำให้ความรู้สึกไม่พอใจของเขาลดไปกว่าครึ่งเฉวียนคุนกระทั่งรู้สึกว่าที่หายไปครึ่งหนึ่งนี้ตนเองยังพูดน้อยไปด้วยซ้ำ ไม่แน่ในใจเฮยหลิงอาจจะโห่ร้องสรรเสริญคุณหนูหมื่นปีหมื่นหมื่นปีอยู่ก็ได้!แต่ว่าพวกเขาก็รู้สึกว่ามันอร่อยมากจริงๆทว่าตรงหน้าคนนี้ คุณหนูเฟิงสือเป็นถึงตระกูลเฟิงหนึ่งในห้าผู้นำตระกูลขุนนางเลยนะ!เฉวียนคุนกังวลเล็กน้อย ว่าอาหารเช้าของตนเอง จะดูถูกคุณหนูเฟิงสือคนนี้ไปไหม แล้วจะทำให้ค
“อื๋อ?” ข้อศอกจั๋วซือหรานเท้าอยู่บนโต๊ะ นิ้วรองคาง จ้องมองเฟิงหร่าน เป็นท่าทางที่กำลังตั้งใจฟัง รอคำพูดต่อไปของนางอยู่“พี่สาวจั๋ว อันที่จริง ไม่ใช่แค่ข้าที่มองออกว่าพวกเขามันเน่าไปจนถึงรากในแล้ว” ในสายตาเฟิงหร่าน มีประกายสุกใสบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มองจั๋วซือหรานตาไม่กระพริบ “ข้าเองก็มองออก ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังคิดว่า คนอีกมากก็มองออกแล้วด้วย”จั๋วซือหรานไม่พูดอะไร ฟังเฟิงหร่านพูดต่อเงียบๆ“แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคนยอมต่อต้านพวกเขา” เฟิงหร่านเอ่ยเสียงต่ำ “ต่อให้พวกเขาจะรู้ ว่าตระกูลนี้ เป็นพวกที่เน่าในถึงรากแก่น...แล้วมันทำไมล่ะ? พวกเขาที่รากฝังลึกเน่าเปื่อยมาหลายปี ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำอะไรได้”“ดังนั้นจึงมีคนอีกมากที่เลือกตามน้ำ” เฟิงหรานพูด หัวเราะจืดจางขึ้นมา ฟังแล้ว ดูมีความประชดประชันอยู่ “ข้าเองก็เคยคิดที่จะเลือกตามน้ำ เพราะว่าตระกูลนี้ ก็ยังค่อนข้างทำให้คนรู้สึกมั่นใจอยู่ ไม่ใช่หรือ?”“เทียบกับการต่อต้านแล้ว” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ทำตามกระแสไปมันง่ายกว่าเยอะ การต่อต้านเป็นเส้นทางที่ยากลำบากกว่าเสมอ”“ใช่แล้ว” เฟิงหร่านหัวเราะขึ้นมาอีก นางจ้องมองดวงตาจั๋วซือหรานจั๋วซือห
จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายจากอักษร รู้สึกว่า ในสุสานกระบี่น่าจะเป็นเศษกระบี่ที่ใช้หลอมกระบี่ให้กับลูกหลานตระกูลเฟิงถึงอย่างไรในงานหลอมใดก็ตาม ล้วนต้องมีพวกเศษชิ้นส่วนอยู่แล้วจั๋วซือหรานลองถามดู “ในสุสานกระบี่ คือเศษชิ้นส่วนกระบี่ของกระบี่ตระกูลเฟิงใช่ไหม?”เฟิงหร่านส่ายหัว “พี่สาวจั๋ว ในสุสานกระบี่คือกระบี่ตระกูลของคนในตระกูลเฟิงที่ตายไป”จั๋วซือหรานแม้จะบอกว่าคิดไม่ถึงคำตอบนี้ แต่พอได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลอยู่คนตายมีสุสานฝังศพ กระบี่เองก็ต้องมีสุสานกระบี่ด้วยสิแต่ว่า สีหน้าของเฟิงหรานดูแล้ว จั๋วซือหรานรู้สึกว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายแบบนั้น“เท่านี้หรือ?” จั๋วซือหรานถามต่อเฟิงหร่านยิ้มๆ เพียงแต่รอยยิ้มดูขมขื่น “ตระกูลเฟิงให้พวกเราเห็นเพียงเท่านี้ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้ ตามหลักการแล้ว พวกเขาคงไม่หวังให้คนในตระกูลรู้เรื่องอื่น...และไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย...”เฟิงหร่านเอ่ยขึ้น “ลูกหลานอย่างพวกเราตอนที่ไปเข้าชมสวนหลอมกระบี่ ตอนที่ถูกพาเข้าไปยังสุสานกระบี่ ข้าดันหลงทาง”“แล้วเจ้าไปเห็นอะไรมาหรือ?” จั๋วซือหรานขมวดคิ้วถาม“โถงบรรพบุรุษ...แห่งหนึ่ง? โถงศักดิ์สิทธิ์? จาก
จั๋วซือหรานถามนาง “แต่เจ้าทำไมถึงรู้ล่ะ ว่าที่นั่นเป็นโถงลงโทษ? ถ้าหากมีไว้สำหรับคนเป็น โถงลงโทษมองแวบเดียวก็รู้แล้ว แต่พวกนั้น...เป็นดวงวิญญาณ ไม่ใช่ว่าตายไปแล้วหรอกหรือ?”“ข้า...ไม่แน่ใจ ” ในดวงตาเฟิงหราน มี อารมณ์ หวาดกลัวค่อยๆ ปรากฏขึ้นแล้วจั๋วซือหรานตกตะล ง “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเจ้าถึงไม่แน่ใจ?”“พี่สาวจั๋ว ท่านรู้ไหมว่าการหลอมกระบี่ตระกูลของตระกุลเฟิง...เป็นเรื่องของคนเพียงคนเดียว?” เฟิงหร่านเอ่ยขึ้น “ตามหลักการ เรื่องอย่างกระบี่ตระกูล อันที่จริงหลอมตีออกมาในฐานะอาวุธวิญญาณก็พอแล้ว แต่ว่าของตระกูลเฟิงกลับตีหลอมออกมา..เป็นภาชนะวิญญาณ”จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายของเฟิงหร่าน ม่านตานางหดลงจ้องเฟิงหร่าน “ดังนั้นความหมายของเจ้าคือ...”เพราะการหลอมภาชนะวิญญาณ จำเป็นต้องใช้พลังดวงวิญญาณของเจ้าของภาชนะวิญญาณและพลังดวงวิญยาณเดิมทีก็เป็นของที่สำคัญอย่างมาก แต่ว่าเหล่าคนในตระกูลที่เชื่อในตระกูลเหล่านั้น ล้วนรู้สึกว่ามานำพลังดวงวิญญาณส่วนหนึ่งของตนเอง มาผนึกไว้ในสถานที่ที่ลึกลับที่สุดอย่างสวนหลอมกระบี่ของตระกูล ถือว่าปลอดภัยและมั่นคงพวกเขาไม่รู้สึกว่ามีอันตรายใด พวกเขายินยอมพร้อมใจนำพล
นี่ถึงจะเป็นสาเหตุที่เฟิงหร่านหวาดกลัวจั๋วซือหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามออกมาว่า “แล้วเจ้าล่ะ?”เฟิงหร่านยิ้ม ยิ้มอย่างขมขื่น แสดงออกมาอย่างแจ่มชัดว่าอะไรคือการยิ้มที่ดูแล้วน่าเกลียดกว่าร้องไห้“ข้า? ข้ายังไม่รู้ว่าข้าโชคดีหรือว่าโชคร้าย” เฟิงหร่านมองจั๋วซ์อหราน “ในรุ่นเดียวกัน ข้ากับพี่ชาย เกรงว่าจะเป็นสองคนที่ไม่ได้ถูกผลึกพลังดวงวิญญาณเอาไว้ในสุสานกระบี่”“โอ๋? เพราอะไรกัน?” จั๋วซือหรานประหลาดใจหน่อยๆ ต่อให้เฟิงหร่านเป็นปลาที่หลุดรอดออกมาจากในตาข่าย ตระกูลเฟิงจะไม่สนใจมันก็เรื่องนึง แต่นี่กระทั่งเฟิงเหยียนก็...?เฟิงหร่านพยักหน้า “ข้ากับพี่ชายเป็นสองคนในรุ่นเดียวกันที่ไม่ได้ถูกผนึกพลังดวงวิญญาณไว้ ไม่ได้สร้างการสื่อสารกับดวงวิญญาณกับกระบี่ประจำตระกูล กระบี่ประจำตระกูลของพวกเราไม่ใช่ภาชนะวิญญาณ เป็นเพียงอาวุธวิญญาณเท่านั้น”“และเพราะข้าดวงดี ที่ได้ไปรับกระบี่วันเดียวกับพี่ชาย ตามหลักการแล้ว วันที่รับกระบี่ จำเป็นต้องมีการสื่อสารกับดวงวิญญาณ หรือก็คือ...ต้องผนึกพลังดวงวิญญาณบางส่วนเข้าไปในหินวิญญาณ แล้ววางเก็บรักษาไว้ที่สวนหลอมกระบี่”เฟิงหร่านตาเป็นประกาย “แต่ว่า! ดวงวิญญ
เฟิงหร่านสูดหายใจลึกไปสองที เหมือนเป็นการปรับอารมณ์จั๋วซือหรานรู้สึกว่าแม่นางคนนี้เหมือนจะมีท่าทีที่จริงจังต่ออาหารอย่างมาก พยายามปรับอารมณ์ให้ดีก่อนแล้วค่อยกิน ราวกับว่า ไม่อยากให้อารมณ์ที่ไม่ดีของตนเองส่งผลกระทบกับความสุขในการกินอย่างไรอย่างนั้นหลังจากรอจนกินหมด จั๋วซือหรานจึงลุกขึ้นยืน เอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ วันนี้ข้าอยู่เล่นกับเจ้าไม่ได้แล้ว ยังมีเรื่องต้องไปทำอีก...”จั๋วซือหรานเหลือบมองเฟิงหร่านผาดหนึ่งไม่รู้เพราะอะไร เฟิงหร่านจู่ๆ ก็มีลางสังหรณ์ไม่ดีกับเฟิงหร่าน “พี่ พี่สาวจั๋ว...”จั๋วซือหรานจ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลเฟิงเรียกเจ้าเข้ามาเป็นสายลับ ต้องรู้สึกแน่นอนว่าคนที่มีนิสัยอย่างข้า จะมีวันไหนที่เชื่อเจ้า ดังนั้น...”เฟิงหร่านปิดหน้าตนเอง “จะโดนอัดอีกแล้วหรือ?” รอยปูดบวมบนหน้านางยังไม่ยุบเลยนะ ต่อให้สายเลือดตระกูลเฟิงจะมีคุณสมบัติแข็งแกร่งก็เถอะ จะให้รอยช้ำนั้นหายไปยังต้องใช้ถึงสองวันเลยจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจ็บเสียหน่อย”“แต่มันก็ดูไม่ดีนี่นา” เฟิงหร่านตอบเสียงอ่อยจั๋วซือหรานจ้องมองเฟิงหร่านเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เฟิงหร่านกลั้นหายใจ พี่ส
มีคำบอกเล่าของเฟิงหรานที่เป็น ‘สายลับสองหน้า’ เหล่าผู้อาวุโสตระกูลเฟิงเพียงไม่นานก็รู้ว่าจั๋วซือหรานถูกหอจันทร์เงินเพ่งเล็งอยู่ กำลังจะไปจัดการเรื่องไกล่เกลี่ยตัดสินใหม่“นางนี่มัน...ศัตรูเยอะจริงๆ ไม่ได้หยุดได้หย่อนกันเลย” มีผู้อาวุโสคนหนึ่งหัวเราะเย็นชาเอ่ยขึ้นเฟิงหร่านก้มหน้ายืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดกับคำพูดนี้ของผู้อาวุโสในใจเฟิงหร่านคิดเงียบๆ: นั่นไม่ใช่ว่าถูกบีบออกมาหรือไรกัน? ยิ่งไปกว่านั้น พี่สาวจั๋วเองก็มีความสามารถ ถึงไม่เคยพ่ายแพ้เลยแม้จะมีศัตรูมากขนาดนี้จั๋วซือหรานพาฝูซูออกนอกเมืองไปด้วยกันฝูซูมองเส้นทางนี้แล้วรู้สึกแปลกประหลาด “คุณหนู ไม่ใช่จะไปตลาดมืดหรือ?”“จะรีบไปทำไม ออกจากเมืองก่อนสักรอบหนึ่ง” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น เองหน้าเหลือบมองฝูซู ถามขึ้นว่า “ฝูซางเป็นอย่างไรบ้าง?”“พี่สาวดีขึ้นมากแล้ว” ฝูซูใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาดูท่าอาการบาดเจ็บของฝูซางคงจะดีขึ้นมากแล้วแน่นอน ไม่เช่นนั้นชายหนุ่มที่มีอารมณ์อะไรนิดหน่อยก็เขียนแปะอยู่บนหน้าคนนี้ คงจะยิ้มไม่ออกแน่ๆ“ต้องขอบคุณคุณหนู” ฝูซูผ่อนใจโล่งออกมาถ้าไม่ใช่ตอนที่คุณหนูกำลังเป็นที่สนอกสนใจของคนทุกคน ให้พี่น
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย