จั๋วซือหรานถึงแม้จะไม่รู้ว่าโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษตระกูลเฟิงปกติแล้วเป็นแบบไหน แต่วันนี้ดูเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัดเป็นไปได้ว่าเฟิงจื๋อกันคนออกไปเพื่อจะล่อนางมาที่นี่ เพื่อคิดจะรับมือกับนาง วางสถานการณ์เช่นนี้เฟิงจื๋อน่าจะรู้สึกว่าสถานการณ์นี้มั่นใจไปได้เก้าส่วนแล้ว ด้านในโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษนี้จึงไม่มีอะไรอยู่เลย...เอาเปรียบจั๋วซือหรานเสียจริงเฟิงจื๋อหลังจากที่ออกไปภายใต้การควบคุมของเจ้าชามขนม ความรู้สึกเชื่องช้าเหมือนจมอยู่ในบึงโคลนบนตัวจั๋วซือหรานก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วนางค่อยๆ ยกมือยกเท้าขยับเขยื้อนตัวอยู่ครู่หนึ่งพอยืนยันว่าความรู้สึกเชื่องช้าเหล่านั้นสลายหายไปหมดแล้ว จั๋วซือหรานก็เดินอย่างไม่เร่งรีบ ตรงไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษแห่งนี้ในโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษ มีป้ายวิญญาณเรียงอยู่เป็นแถวๆ ด้านหน้าสว่างไสวไปด้วยโคมไฟที่จุดสว่างไว้หลายใบแสงไฟโยกไหว แต่กลับยังคงไม่สว่างอย่างที่ควรเป็นป้ายวิญญาณเป็นแถวๆ ด้านใน ให้ความรู้สึกบีบคั้นอย่างชัดเจนและคิดว่าคนที่ขี้ขลาดหน่อย อยู่ในสถานที่เช่นนี้จิตใจคงจะลนลานไปหมดแต่ว่าจั๋วซือหราน...ไม่ใช่คนเช่นนั้นสองมือขอ
ตอนที่จั๋วซือหรานพูดประโยคนี้ ไฟเทียนทั่วทั้งโถงศักดิ์สิทธิ์ก็สว่างวาบขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ไม่มีลม แต่ไฟเทียนกลับโยกไหวราวกับกำลังจะดับมอดลงได้ทุกขณะ!ท่ามกลางเส้นแสงวูบวาบเช่นนี้ บนพื้นที่กว้างขวางของโถงศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์สีทึบรูปหนึ่ง กลับยิ่งดูแจ่มชัดขึ้นท่ามกลางเส้นแสงเช่นนี้นั่นเป็น...สัญลักษณ์รูปร่างนกสีแดงทึบ เพียงแต่ขนนกของหางทั้งเก้าเส้น ล้วนเป็นลักษณะเปลวเพลิง...หงส์แดง!จั๋วซือหรานแน่นอนว่าสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ ถ้าเป็นคนที่ความกล้าน้อยหน่อย พอเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ในที่ที่มีป้ายวิญญาณมากขนาดนี้ คงได้ตกใจจนเยี่ยวเล็ดไปแล้วแต่จั๋วซือหราน ไม่ใช่คนธรรมดา!นางแค่รู้สึกว่าสถานการณ์ประหลาดนี้มีจุดผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวลนลานแต่อย่างใด กระทั่งไม่ตึงเครียดเสียด้วยซ้ำนางเลิกคิ้วขึ้น “ดูท่าจะเดาออกแล้ว พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง...ไม่สิ พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงถูกท่านอ๋องที่ทั้งหน้าตาดีทั้งน่าสงสารของข้าสืบทอดไปแล้ว แล้วยังทรมานเขาไปไม่น้อย นั่นจะต้องไม่ใช่พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดง”“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดวงใจแห่งหงส์แดง...น่าจะมีไว้ใช้ควบคุมท่านอ๋องที่ทั้งหน้าตาตีทั
“แต่จะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อยก็ได้”สิ่งของที่เป็นรูดำๆ ชิ้นหนึ่ง ชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจของเฟิงอวี้เฟิงอวี้มองเห็นสิ่งของรูดำ ชิ้นนี้ แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ก็เหมือนจะเข้าใจขึ้นรางๆตอนนั้นหลังจากที่พวกเฟิงช่านเฟิงจู๋พิษกู่กำเริบขึ้นมา ในถ้ำใต้ดินนั่น...ตอนที่จั๋วซือหรานเข้ามาคลายวงล้อม ใช้อุปกรณ์แปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่มีเสียงดังมาก และคลี่คลายทั้งสี่คนนั้นอย่างรวดเร็วเฟิงอวี้รู้สึกขึ้นด้วยสัญชาตญาณ ว่าสิ่งของในมือจั๋วซือหรานนั้นอันตราย “นี่มันอะไร?” เฟิงอวี้ขมวดคิ้วคิดจะชักกระบี่ประจำตระกูลของตนเองออก แต่ว่าตอนนี้เอง กลับไม่สามารถดึงออกมาได้! หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่แค่แพทย์หรอกหรือ?!พละกำลังมหาศาล...หลังจากนั้น ก็เห็นนิ้วที่นางถือสิ่งของดำๆ มีรูนี้ขยับปัง!เสียงดังขึ้นมา แต่แตกต่างกับเสียงดังที่เฟิงอวี้เข้าใจอย่างมาก นี่เป็นเสียงที่เบาลงหน่อย ฟังแล้วดูทุ้มๆ ต่ำๆเฟิงอวี้ก้มลงมองหน้าอกตนเองอย่างงงงัน “เจ้า...”เพราะรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้อันตราย ดังนั้นเฟิงอวี้อันที่จริงก็ถอยห่างออกมาด้วยสัญชาตญาณแล้วแต่คิดไม่ถึงว่าจะเลี่ยงแค่แค่จุดสำคัญ ไม่สามารถเลี่ยงการโจมตีได้อย่าง
เดิมทีตระกูลเฟิงก็มีพลังป้องกันต่อโรคระบาดพิษกู่สูงอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเพราะธาตุไฟแต่กำเนิดนั่นเองและสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ใช้เจ้าขนมชามรับมือกับเฟิงจื๋อ หนึ่งก็เพราะเฟิงจื๋อไม่ได้เก่งกาจเท่ากับเฟิงอวี้ สองคือ เจ้าขนมชามนั้นถูกดึงออกมาจากในชีพจรหัวใจของเฟิงช่านพอมีไฟวิเศษของเฟิงช่าน ดังนั้นจึงมีพลังการต่อต้านต่อพลังวิญญาณของเฟิงจื๋อที่สูงกว่าแต่ว่าตอนนี้ ด้วยการโจมตีระดับนี้ของเฟิงอวี้ จั๋วซือหรานกล้าปล่อยเจ้าพวกก้อนเนื้อออกมามาตายเปล่าเสียที่ไหน!เฟิงอวี้พอเห็นว่าจั๋วจิ่วคนนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดหลังจากได้ยินคำพูดเขา ก็ทำแค่ยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม เหมือนกับว่า...ยอมรับในชะตากรรมแล้ว ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์อีก จึงยืนอยู่นิ่งๆเฟิ่งอวี้หัวเราะเย็นชาขึ้นเสียงหนึ่ง “วางใจเถอะ เหยียนเอ๋อร์รักชอบในตัวเจ้า ข้าเองจะไม่ให้เจ้าตายอย่างน่าเกลียดหรอก หลังจากทำลายรากฐานของเจ้า หลังจากทำลายพลังฝึกฝนกับความสามารถทั้งหมดของเจ้าแล้ว พอเจ้าไม่มีความสามารถในการขโมยพลังของตระกูลเฟิงแล้ว ข้าจะเว้นชีวิตของเจ้าไว้ก็ได้”เฟิงอวี้ขณะที่พูด สีของกระบี่ประจำตระกูลในมือก็ยิ่งแดงเข้มขึ้นหลังจ
สายตาของเฟิงอวี้เพ่งสมาธิ แม้เขาจะรู้สึกตกใจที่จั๋วซือหรานเลือกรับมือการโจมตีของเขาแทนที่จะหนีออกไป!แต่ว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนตระกูลเฟิง เดิมทีก็ถนัดการต่อสู้อยู่แล้วต่อให้รู้สึกว่าจั๋วซือหรานมีท่าทีในการเผชิญหน้ากับการโจมตีของคนอื่นแตกต่างจากแพทย์ทั่วไปเฟิงอวี้ก็ยังไม่มีทางถอยหนีเช่นกันเขาโจมตีทันที ฟาดฟันไปทางจั๋วซือหราน!วิชาของเฟิงอวี้ยอดเยี่ยมมาก กระบี่ประจำตระกูลของเขา ตัวกระบี่ค่อนข้างกว้าง ดังนั้นพอเทียบกับความคล่องแคล่วในการฟันของกระบี่ทั่วไปการโจมตีของเฟิงอวี้จึงมีพลังฟาดฟันที่มากกว่า! กระบี่ประจำตระกูลหนึ่งเล่มในมือเขาใช้ออกมาราวกับเป็นดาบยาวอย่างไรอย่างนั้น!พูดได้ว่าพลังมหาศาลประดุจสายรุ้งเลยทีเดียว!ในอากาศก็ยังได้ยินเสียงลมอื้ออึงจากการที่อากาศถูกฟันผ่าเป็นระยะอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้นทุกการฟาดฟัน ก็ล้วนมีคลื่นความร้อนมาด้วยแต่กลับไม่มีสักครั้งที่สามารถสร้างบาดแผลให้กับจั๋วซือหรานได้ อย่าว่าแต่สร้างบาดแผลเลยการโจมตีของเฟิงอวี้กระทั่งสัมผัสไม่โดนจั๋วซือหรานเสียด้วยซ้ำเฟิงอวี้ดูโกรธหน่อยๆ เขากดเสียงต่ำคำรามขึ้นมา “จั๋วจิ่ว หรือว่าเจ้าหลบเป็นอย่างเดียว? เ
“ตูม...” เสียงดังสนั่นกระทั่งสิ่งปลูกสร้างอย่างโถงศักดิ์สิทธิ์บรรพบุรุษที่แข็งแรง ก็ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเพราะการโจมตีนี้ จึงทำให้ควันธูปควันเทียนในโถงศักดิ์สิทธิ์คลุ้งขึ้นมา!จั๋วอวี้เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “อย่ามาโทษข้าที่ลงมือแบบไม่ปราณี เดิมทีก็คิดจะไว้ชีวิตเจ้าเหมือนกัน แต่เจ้ามันรนหาที่ตาย...ถ้าชาติหน้ามีจริง ก็อย่าทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้อีก อายุจะไม่ยืนยาวเอา”ควันธูปควันเทียนค่อยๆ สงบลง ดวงตาของเฟิงอวี้นิ่งแข็ง เพราะหางตาของเขา...จับได้ว่าด้านหลังควันธูปที่ค่อยๆ สงบลงนั้นยังคงมีร่างหญิงสาวชุดแดงยืนตระหง่านอยู่นางยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเสียงของนางยังคงแจ่มชัด ในน้ำเสียงมีความขบขันอยู่ด้วยเอ่ยขึ้นว่า “คำพูดนี้เดิมทีข้าขอคืนให้เจ้านะ คนที่กำเริบเสิบสาน อายุจะไม่ยืนยาวเอา”จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ “พวกเราสองคนใครกันแน่ที่ทำตัวกำเริบเสิบสาน? ยังไม่ทันเห็นหัวของข้าหลุดจากร่างเลย ก็กล้าบอกให้ข้ารีบไปเกิดใหม่เสียแล้ว?”พอได้ยินเสียงของจั๋วซือหราน ร่างของเฟิงอวี้ก็แข็งทื่อไปเสียงของเขาก็แข็งทื่อด้วยเช่นกัน ในน้ำเสียงเผยอารมณ์ไม่อยากเชื่อออกมา “เจ้า...ทำไม...เป็นไปได้อย่างไร
เฟิงอวี้มองหญิงสาวชุดแดงตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อในสายตาเขามีความตกตะลึงมหาศาล“เป็นไปไม่ได้...มันเป็นไปได้อย่างไร...” เฟิงอวี้งึมงำขึ้นมาหลังจากนั้นก็กระอักเลือดโฮกใหญ่ร่างของจั๋วซือหราน เปล่งแสงวาบ จากนั้นจึงเข้าคว้าคอเสื้อของเฟิงอวี้ กดเขาไว้บนกำแพงด้วยพลังมหาศาล จึงมีเสียงเปรี๊ยะดังขึ้นมา“อั่ก!” เฟิงอวี้กระอักเลือดสดออกมาอีกครั้งกำปั้นจั๋วซือหรานอัดเข้าไปบนหน้าเขาอีกครั้ง ใบหน้าครึ่งซีกของเฟิงอวี้บวมขึ้นมา กระทั่งสมองก็เหมือนจะดังวิ้งๆ ในหัวเขาถลึงตาอ้าปากค้างมองจั๋วซือหราน ราวกับว่าไม่อยากเชื่อถึงพลังที่จั๋วซือหรานสำแดงออกมาเช่นนี้“มีอะไรเป็นไปไม่ได้กัน หรือว่าใต้หล้านี้ มีแต่ตระกูลเฟิงของเจ้าที่ทะเลาะกับชาวบ้านเขาเป็น” จั๋วซือหรานเบ้ปากเย็นชา “ข้าว่า เจ้าคงจะคุกเข่านานไปจนลุกไม่ไหวแล้วสินะ”สายตาของเฟิงอวี้ดูเหม่อลอย และไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกจั๋วซือหรานจัดการจนส่งผลกระทบมากไปหรือเปล่าจั๋วซือหรานหิ้วคอเสื้อเขากดไว้บนกำแพงอดพูดไม่ได้เลย ว่าฉากนี้ดูแล้วแปลกประหลาดหน่อยๆ และยังดูมีแรงกระทบกับสายตาอีกด้วยหญิงสาวร่างบางคนหนึ่ง ยกชายร่างสูงเจ็ดฉื่อกดไว้บนกำแพง จนแท
ดึงลงมาไม่ได้ป้ายวิญญาณนั้นมีกลไกบางอย่างอยู่ มันหมุนไปเล็กน้อยจากการดึงของไหมแมลงกู่หลังจากมีเสียงฟันเฟืองดังขึ้นแกร๊กๆๆ อยู่ครู่หนึ่งแท่นบูชาด้านล่างที่วางป้ายวิญญาณทั้งหมดนี้ ก็มีประตูขนาดฝ่ามือบานหนึ่ง ค่อยๆ เปิดออกจั๋วซือหรานหรี่ตา เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อให้มองเห็นสถานการณ์ด้านในประตูได้ชัดขึ้นอีกหน่อย!นางสัมผัสได้ว่าในประตูเล็กบานนี้ มีกลิ่นอายความร้อนแผ่ออกมาสายตาของนาง ก็สัมผัสได้ถึงแสงจ้าแยงตาที่แผ่ออกมาจากในประตูเล็กบานนี้ แสงสีแดงทอง กระพริบๆกระพริบๆ...เหมือนกำลังเต้นอยู่อย่างไรอย่างไรอย่างนั้นเหมือนหัวใจกำลังเต้นจั๋วซือหรานมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในประตูนี้ชัดเจนแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่มีเลือดท่วม กระทั่งยังมองไม่ออกถึงความเป็นรูปธรรม สิ่งที่เห็นเป็นแค่แสงสีแดงทองวูบหนึ่ง รูปร่างเหมือนหัวใจดวงหนึ่งราวกับว่ายังมีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างนั้น กำลังเต้นอยู่ แสงสีแดงทองนั่น ก็กระพริบขึ้นมาตามจังหวะการเต้นของมัน และอุณหภูมิความร้อนที่จั๋วซือหรานสัมผัสได้ ก็แผ่ออกมาจากตัวมันเช่นกัน“ดวงใจแห่งหงส์แดง” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นงึมงำสายตาของนางจ้องมองสิ่งที่อยู่ในประตูเล็กนี้
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย