เส้นเลือดที่คอของเขาปูดขึ้น ดวงตาของเขาแดงก่ำ ตาขาวของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด และดวงตาของเขาดูเหมือนจะหลุดออกมาจากเบ้าตาดูเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาส่งเสียงไม่ได้ เขาส่งเสียงคำรามอย่างน่าสะพรึงกลัว แต่เขาพูดไม่ได้ตามอาการเช่นนี้ รูปร่างหน้าตานี้ค่อนข้างน่ากลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อก่อนเหยียนชางเคยเป็นหัวหน้าสถาบันแพทย์หลวง เป็นคนที่มีกิริยาสง่างามตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขาอยู่บนพื้น คุกเข่าต่อหน้าจั๋วซือหราน ดิ้นรนทุรนทุรายมันน่าตกใจจริง ๆ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เงียบลงทันทีคนของตระกูลเหยียนรู้ตัวก่อน“อาสาม”“อาสาม เป็นอะไรขอรับ”คนของตระกูลเหยียนรวมตัวกันอยู่รอบ ๆเหยียนชาง ท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลเหยียนเป็นครอบครัวแพทย์ และโดยพื้นฐานแล้วสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็เก่งเรื่องการแพทย์ ในไม่ช้า พวกเขาก็เริ่มวินิจฉัยและรักษาเหยียนชางแต่ไม่นานพวกเขาก็พบว่า มันไม่ได้ประโยชน์!ไม่ว่าพวกเขาจะใช้วิธีรักษาแบบใด ยาแก้ปวดชนิดใด การฝังเข็มยาแก้ปวดชนิดใด ล้วนแก้ปัญหาไม่ได้อาการไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยเหยียนชางยังคงเจ็บเหมือนเดิม เขาพยายามดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดบนพื้นโดยสูญเสียหน้าท
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของจั๋วซือหรานดูบริสุทธิ์และอ่อนโยน นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวและดูสง่างาม อีกทั้งเป็นเพราะนางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งทำให้นางดูสวยงามมาก และทำให้ตราแพทย์ที่ทำจากไม้ตะโกบนเอวของนางเด่นชัดยิ่งขึ้นแม่นางผู้นี้คือคุณหนูเจ็ดของตระกูลเหยียน เหยียนหยี่หลิงนางยืนอยู่ตรงข้ามกับจั๋วซือหราน คนหนึ่งสวมเสื้อสีแดง อีกคนหนึ่งสวมกระโปรงสีขาว ความแตกต่างนั้นชัดเจนมากเมื่อเผชิญหน้ากับสีหน้าที่น่าสงสารของเหยียนหยี่หลิง จั๋วซือหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย นางมีท่าทีที่ไร้ระเบียบวินัย เมื่อคู่กับชุดสีแดง ทำให้นางดูมีเสน่ห์พิเศษ“ คุณหนูจั๋วจิ่วใช่ไหม” เหยียนหยี่หลิงเห็นจั๋วซือหรานไม่ตอบนาง ก็ขมวดคิ้วและเรียกนางอีกครั้งในที่สุดจั๋วซือหรานยิ้ม“คุณหนูเจ็ดเหยียน เจ้าไม่เป็นอะไรหรอกนะ”เหยียนหยี่หลิงไม่เข้าใจคำพูดนี้ นางขมวดคิ้ว "ข้าสบายดี คนที่เดือดร้อนตอนนี้คืออายามของข้า คุณหนูจั๋วจิ่ว หวังว่าเจ้าเอายาแก้พิษให้เราเดี๋ยวนี้ ครอบครัวของเราจะไม่หาเรื่องเจ้า”จั๋วซือหรานยืนตรงกอดอกและมองเหยียนหยี่หลิง นางรู้สึกตลก"เจ้าหมายถึง เหยียนชางเป็นเช่นนี้เพราะข้าวางยาพิษเขาหรือ"เหยียนหยี่หลิงขมวด
เหยียนหยี่หลิงยิ่งเห็นจั๋วซือหรานมีท่าทีเช่นนี้ นางไม่พอใจมากขึ้น นางฉวยโอกาสพูดทันที "ดูสิ เจ้าอธิบายไม่ได้ ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเช่นกัน และเจ้ามีชื่อเสียงอย่างมาก เจ้าจะเลวทรามขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากตระกูลเฟิงเลิกหมั้นกับเจ้าแล้ว พวกเขาไม่อยากติดต่อกับเจ้าเลย…”คำพูดของเหยียนหยี่หลิง ซึ่งฟังแล้วค่อนข้างสมเหตุสมผลเมื่อฟังแรก ๆ ทำให้หลายคนเริ่มเชื่อคำพูดของนาง และมีบางคนเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยแล้ว"ใช่ ๆ ตระกูลเหยียนไม่แย่งอะไรกับคนอื่นมาตลอด จั๋วจิ่วนี่มันจริง ๆ เลย มาหาเรื่องกับคนดี ๆ อย่างคนของตระกูลเหยียน เสมอ"“แถมยังทำให้เหยียนชางเป็นเช่นนี้ เหยียนชางซวยจริง ๆ ต้องเสียชื่อเสียงที่เขารักษามานาน…”“นี่ แม่นางจั๋วจิ่ว อะไรที่ให้อภัยได้ ให้อภัยเถิด เจ้ารีบเอายาถอนพิษออกมาสิ อย่าทำให้สองตระกูลต้องโกรธกัน”แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังคงรู้เรื่องอยู่และไม่ถูกคำพูดนั้นปิดบังสายตา ตัวอย่างเช่น คุณชายห้าของตระกูลฮั่ว ฮั่วชิงหยวน เขาขมวดคิ้วและพึมพำว่า "ไม่ใช่สิ ทั้ง ๆ ที่จั๋วจิ่วเป็นผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด มันจะเป็นความผิดของนางได้อ
ทุกประโยคกำลังตบหน้าเหยียนหยี่หลิงและสมาชิกของตระกูลเหยียนเหยียนหยี่หลิงอ้าปาก เหมือนอยากพูดอะไรอีกแต่ชายหนุ่มของตระกูลเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงเข้มว "หยี่หลิง ไปกันเถิด อาการของอาสามไม่ดี เรากลับไปก่อน"ว่าเขาอาการไม่ดี แต่จริง ๆ แล้ว หากต้องพูดตามความจริง มันก็เหมือนครร้ายอย่างจั๋วจิ่วพูดในก่อนหน้านี้เหยียนชางเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ จนเขาเกือบหมดสติ... ไม่ อาจไม่สามารถพูดได้ว่าเขาหมดสติต้องยอมรับว่า ฝีมือของซือหลี่ตันติ่งโหดร้ายจริง ๆ ไม่รู้เขาใช้ยาชนิดใด เหยียนชางเจ็บปวดมากจนเกือบจะสูญเสียร่างมนุษย์ แต่เขายังคงตื่นตัวอยู่มาก มีสติอย่างมากเขายังได้ยินคำพูดของพวกเขาเขาไม่อาจเป็นลมได้ เขาทำได้เพียงตื่นตัวและทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดแสนสาหัสเขาจะรู้สึกอย่างไรหลังจากการทรมานนี้จบลง เขาจะโกรธหรือจะเกลียดชัง หรือกลัวจนตัวสั่น ยากที่จะพูดแต่ในขณะนี้ อารมณ์ในใจของเหยียนชางคือความเสียใจ เขาเสียใจจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงยุ่งกับผู้หญิงคนนี้จากตระกูลจั๋ว ทำไมเขาถึงยุ่งกับคนบ้าคนนี้ของตระกูลจั๋วผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วจริง ๆ เมื่อก่อนนางยอมถอนหมั้นกับตระกูลเฟิง และต่อต้านกับตระก
ตอนนี้เขาทำได้เพียงไปจากที่นี่ต่อหน้าทุกคนเท่านั้น ถึงแม้มันจะดูน่าอายนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว แม้ว่ามันจะน่าอายหรือต้องเสียหน้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีตระกูลเหยียน ที่น่าอายกว่านี้อีก ตระกูลเหยียนและเหยียนชางที่กลั้นขับถ่ายไม่อยู่เสียหน้าหนักกว่าเขาเพียงแต่คุณท่านจั๋วลิ่วยังไม่ทันกัดฝันไปจากที่นี่มีคนฝูงหนึ่งรีบมาที่นี่แล้วผู้คนจำนวนมากในปัจจุบันต่างมาจากครอบครัวชนชั้นสูง ดังนั้นพวกเขาจึงจำคนฝูงนี้ได้โดยดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา“นั่นเป็นเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจั๋ว …ไม่ใช่หรือ”“ดูท่าทาง ข่าวจะแพร่กระจายเร็วพอเนี่ยนะ”แน่นอนว่า พวกคนที่กำลังมานั้นไม่ใช่ผู้อาวุโสของสำนักงานใหญ่ของตระกูลจั๋ว แต่เป็นคนรับใช้ของผู้อาวุโสแต่ละคน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงคนรับใช้ แต่ฐานะของพวกเขาในตระกูลจั๋ว ก็ไม่ได้ต่ำเกินไปการที่พวกเขามาที่นี่ โดยพื้นฐานแล้วแสดงถึงเจตจำนงของผู้เฒ่าแต่ละท่านแล้วคนรับใช้สองคนเดินไปหาคุณท่านจั๋วลิ่ว ส่วนคนรับใช้อีกสองคนเดินไปหาจั๋วซือหรานคนรับใช้สองคนกำลังเดินไปหาคุณท่านจั๋วลิ่วด้วยใบหน้าบูดบึ้งและกระซิบว่า " คุณท่านลิ่ขอรับ เหล่าผู้อาวุโสอยากให้ท่านกลับไปประเดี๋
ถังหยวนมีนิสัยเช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสใหญ่ เป็นคนที่พูดไม่มาก หลังจากได้เขายินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาก็เงียบไปสองสามวินาทีแล้วพยักหน้า“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ ข้าจะถ่ายทอดคำพูดของคุณหนูแก่ผู้อาวุโสใหญ่ขอรับ ”ถังหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามอีก"ข้าน้อยอยากจะถามคุณหนูอีกครั้ง พลังแห่งสายเลือดของตระกูลจั๋วตื่นตัวจริง ๆ หรือขอรับ"จั๋วซือหรานยิ้มอย่างเดียว แต่นางไม่ได้ตอบคำถามนี้ นางเพียงแค่พูดว่า " ท่านลุงถัง สรุปข้าต้องให้พลังแห่งสายเลือดของตระกูลจั๋วตื่นตัวก่อน ถึงจะได้รับความยุติธรรม หรือความยุติธรรมจะมีอยู่เสมอเจ้าคะ"ถังหยวนได้ยินคำพูดนี้ เขาไม่พูดอะไร ในที่สุดก็หันหลังกลับไปกับคนรับใช้อีกคนความตื่นเต้นเกือบจะสิ้นสุดลงแล้ว จั๋วซือหรานไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป นางมองไปที่ผู้คนรอบตัวนางที่กำลังรอดูเรื่องตลกของนางนางพูดเสียงดัง"วันนี้ทุกคนมาที่นี่เพื่อดูเรื่องตลกของข้า ข้าขอโทษที่ข้าทำให้ทุกคนดูเรื่องตลกไม่ได้ แต่วันนี้มีการแสดงที่ดีให้ทุกคนชม ดังนั้นทุกคนไม่ได้มาเสียเปล่า ๆ ""การแข่งขันที่ตระกูลเหยียนประกาศในอีกไม่กี่วัน ราวกับว่าชัยชนะอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือ
“ใช่ คุณหนูจิ่ว บ้าของข้าจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาในอีกสองวันข้างหน้า มิทราบว่าคุณหนูจิ่วโปรดให้เกียรติข้าไหม”ไม่น่าแปลกทำไมคนเหล่านี้จึงเปลี่ยนทัศนคติต่อจั๋วซือหรานทันที เพราะแพทย์กลั่นยาในเมืองหลวงไม่ได้มีฐานะสูงส่งสักเท่าไร ก็เพียงพอที่จะให้เหล่าตระกูลที่พอมีฐานะไปตีสนิทยิ่งไปกว่านั้น แพทย์กลั่นยาคนนี้เป็นลูกหลานของตระกูลจั๋ว ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลชนชั้นสูงขุนนางธรรมดา ๆ อย่างพวกเขาสามารถส้างโอกาสกับผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างจั๋วซือหราน และไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาจะมีชื่อเสียงที่ดีโดยไม่มีวันเสียหน้าแต่จั๋วซือหรานไม่สนใจการพยายามสร้างความสัมพันธ์ของคนเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงจากไปและกลับไปที่จวนของนางโดยตรงฝูซูเห็นคุณหนูของเขาสอบติดแพทย์กลั่นยาอย่างราบรื่น เขาดีใจอย่างมากเขาตื่นเต้นจนนั่งไม่ลงและวนเวียนอยู่ในสนามต่อไป เพื่อแสดงความดีใจของเขา“คุณหนู คุณหนูเก่งมากจริง ๆ เราควรไปบอกเรื่องนี้กับฮูหยิน ฮูหยินจะได้มีความสุขดีไหมขอรับ” ฝูซูเสนอความคิดเห็นจั๋วซือหรานส่ายหัว "ไม่จำเป็นต้องบอกแม่อย่างจงใจ จวนจั๋วต้องรู้เรื่องของวันแล้วแน่ ๆ และแน่นอนว่าเรื่องนี้จะแพร่กระจายไปสู่หูของแม่"
ถึงจะพูดเช่นนั้น ฝูซูยังคงหวาดกลัวเรื่องที่หลิ่วเย่ก่อมา และเขายังคงกลัวคนรับใช้ใหม่ที่มาในช่วงนี้ดังนั้นเขาจึงโน้มน้าวตลอด "จริงสิขอรับ คุณหนู อย่าใช้คนพวกนั้นเลย เท่าที่ข้าเห็นมา มีหลายคนถูกผู้ใหญ่ในจวนจั๋วส่งมา"“คนที่เดิมทีควรจะเป็นพ่อดูแลบ้านของเรานั้นเป็นคนของคุณท่านจั๋วลิ่ว อีกสองคนที่ต้องดูแลชีวิตประจำวันของคุณหนูนั้นเป็นคนของฮูหยินสี่า เท่าที่ข้าเห็น มีคนเหล่านี้แล้ว ขนาดข้ายังโง่มากเลยนะขอรับ และอาจมีอีกหลาย ๆ คน ซึ่งข้ามองไม่ออก”ฝูซูถามอีกครั้ง “คุณหนู เราจำเป็นต้องใช้พวกเขาหรือ”จั๋วซือหรานหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ "เจ้าเก่งสินะ ตอนนี้ฝูซูฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ และเขาสามารถดูแลงานต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้แล้วสินะ"ฝูซูไม่มีความสุขเลยหลังจากได้รับคำชมจากนางเช่นนี้ และยังดูเศร้าใจมาก“คุณหนู คุณหนูอย่าล้อข้าสิขอรับ ข้ากังวลแทบตาย”จั๋วซือหรานกล่าวว่า "มีอะไรต้องกังวล ในเมื่อพวกเขาส่งคนมาที่นี่ เราใช้พวกเขากันเถอะ ทำไมจะไม่ใช้ล่ะ นอกจากรับใช้ข้า ในบ้านเรา ยังมีงานบ้านอีกมากมาย ไม่มีใครทำเลย”“หากเจ้าไม่ให้พวกเขาทำ เจ้าอยากทำเองหรือ เมื่อก่อนหลิ่วเย่ สั่งพวกเจ้าพี่น้องสองคนไปที่
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"