ในสายตา ก็เหมือนจะเป็นพิธีสาปแช่งอย่างหนึ่งจริงๆ ใครมาเห็น ก็น่าจะอารมณ์ไม่ดีนั่นล่ะแต่ว่าสีหน้าจั๋วซือหรานกลับเป็นปกติแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ข้าไม่เป็นไร ความคิดนางเองก็ดูไม่เลวอยู่"ซือคงเซี่ยนกระพริบตาปริบๆ ไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ "เคยได้ยินว่าเจาหมิ่นเชี่ยวชาญเรื่องการทำนายใช่ไหม?"ซือคงเซี่ยนครุ่นคิด พยักหน้า "สมัยก่อนหลังจากที่นางกลับไปดินแดนทางใต้แล้วกลับมา ก็บอกว่าความสามารถการทำนายปลุกขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้นก็ยังทำนายแผ่นดินไหวให้กับเสด็จพ่อไปครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้น เสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญกับนางขึ้นมา"จั๋วซือหรานพยักหน้าอย่างเข้าใจ "มิน่า ความคิดถึงได้ไม่ไหวขนาดนั้น แต่ดวงก็ไม่ได้ดีเหมือนกับข้า""ดวง?" ซือคงเซี่ยนมองนางจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ดวงของข้าก็คือเจ้า"พอคำนี้ออกไป หน้าของซือคงเซี่ยนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา "ซือหราน...ทำไมจึงพูดเช่นนี้?""เจ้าเห็นแล้วคงรู้สึกว่านางโรคจิตเท่านั้น แต่ถ้าหากเสด็จพอเจ้าเห็นสิ่งนี้ล่ะ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นบอกสมมติฐาน "ฝ่าบาทเดิมทีรู้ว่าความสามารถเจาหมิ่นทำนายได้ยอดเยี่ยม ถ้ามาเห็นเนื้อหานี้ เกรงว่าคงไม่คิด
จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว ทำงานแล้วหรือ?ซือคงเซี่ยนที่อยู่ข้างๆ พอเห็นฉากนี้ ก็กลั้นหายใจ จ้องเขม็งมองอักขระที่เปล่งแสงสีแดงหม่นนั่นเดิมทีอักขระสีเลือดเหล่านี้ดูแล้วก็รู้สึกแปลกประหลาดมาก เวลานี้พอเปล่งแสงแดงหม่นออกมา ก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นไปอีกดูเต็มไปด้วยความอันตรายในอากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กระตุ้นประสาทของซือคงเซี่ยนขึ้นบาดแผลน่ากลัวบนข้อมือจั๋วซือหราน กระตุ้นประสาทเขายิ่งกว่าซือคงเซี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา คิดจะขึ้นไปพันแผลให้นาง แต่เมื่อครู่พอเดินขึ้นไปก้าวหนึ่ง ก็เห็นซือหรานขมวดคิ้ว สายตาเย็นวาบไปนางดีดนิ้วจนเกิดลมขึ้นวูบหนึ่ง ผลักซือคงเซี่ยนกลับไปซือคงเซี่ยนเดิมทียังถลึงตาด้วยความไม่เข้าใจ จากนั้นจึงมองไปทางปลายจมูกตนเองอย่างไม่รู้ตัว ปลายเท้ามีอาการแสบร้อนแล่นขึ้นมาเมื่อครู่ตอนที่ตนเองจะเข้าไปพันแผลให้นาง ปลายรองเท้าต้นเองก็ถูกเผาไปแล้วเมื่อครู่เขาแค่...คิดจะเดินเข้าไปในอาณาเขตค่ายกลที่อักขระคำสาปนั่นสร้างขึ้นเท่านั้นปลายรองเท้ากลับถูกอักขระคำสาปที่อยู่วงนอกสุดเผาเสียแล้ว จนปลายเท้าเองก็ยังโดนผลกระทบไปด้วย ยังดีที่ไม่รุนแรงนักยังดีที่ซือหรานปฏิก
และจากนั้น ไม่รอให้จั๋วซือหรานถามละเอียด แสงแดงหม่นของค่ายกลคำสาปนั่นก็มอดดับลงจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว หมายความว่าอย่างไร?ไม่คิดจะตอบก็วางสายทิ้งหรือ? หน้าไม่อายเกินไปไหม?ซือคงเซี่ยนพอเห็นแสงหม่นของค่ายกลคำสาปดับไปก็ร้อนรนขึ้นมา คิดจะเดินเข้ามา จึงลองยื่นเท้าเข้าไปในชายขอบคำสาปเพื่อทดสอบและพบว่าค่ายกลคำสาปไม่ได้มีผลแผดเผาแบบก่อนหน้าแล้ว ซือคงเซี่ยนจึงพุ่งเข้าไปในค่ายกลคำสาป ไม่สนใจอะไรอีก อุ้มตัวจั๋วซือหรานออกมาทันทีจั๋วซือหรานรู้สึกจนใจ "ท่านอ๋อง..."ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "ขอโทษนะซือหราน สถานการณ์มันเร่งด่วนจนมาสนเรื่องชายหญิงไม่ได้แล้ว ค่ายกลคำสาปนี้ประหลาดเกินไป อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนมาทำลายห้องลับนี้ทิ้งเสีย ค่ายกลคำสาปนี้คงถูกทำลายไปด้วยกัน""ไม่ต้องนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าอยากจะค้นคว้าค่ายกลคำสาปนี้เสียหน่อย"ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกกังวล เขาขมวดคิ้วขึ้น "ซือหราน เมื่อกี้เจ้าพูดจริงหรือ? ที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสภาผู้อาวุโส?""ถ้าเขาไม่ใช่แล้วจะประหม่าทำไมกัน" จั๋วซือหรานเบ้ปาก ยังคงรู้สึกหงุดหงิดกับการ 'วางสาย' ของอีกฝ่ายอยู่จานกั้นจึงชี้ไปที่ค่ายกลคำสาปนั่น "ยิ่งไปกว่านั้น
และเป็นอย่างที่จั๋วซือหรานพูดไว้ สามวันต่อมา ราชโองการขององค์จักรพรรดิเฒ่าก็ประกาศไปทั้งฟ้าดินประกาศว่าสุขภาพไม่อำนวย ต้องการใช้ชีวิตบั้นปลาย จึงมอบเรื่องงานทั้งหมดให้องค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนจัดการองค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องสำเร็จราชการแทน ยศชินอ๋อง แม้จะไม่ค่อยตรงกับกฏหมายนัก แต่ก็ยังให้อ๋องสำเร็จราชการแทนเข้าอยู่ในวังตะวันออก แม้จะไม่ค่อยเข้ากับกฏแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ถึงอย่างไรก็เข้าวังตะวันออกไปแล้ว ใครมองออกถึงเจตนาขององค์จักรพรรดิเฒ่าได้ไม่ยากยิ่งไปกว่านั้นยังสำเร็จราชการแทนด้วย ใครอยากจะไปขัดใจกับคนที่จะเป็นใหญ่ในอนาคตกัน?จนถึงตอนนี้ ความวุ่นวายของอ๋องอวี้จึงยุติลงขณะข่าวที่ซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งลือกระจายทั่วเมืองหลวง จั๋วซือหรานกำลังวุ่นอยู่ในกรมสืบสวนพิเศษมาแล้วหลายวัน"ซือหราน ไม่ร้อนแล้ว ดื่มเถอะ" ชายหนุ่มหล่อเหล่ามีสายตาอ่อนโยน นำถ้วนในมือส่งไปตรงหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานรับแล้วดื่มลงไปอึกอัก หลังจากที่ดื่มลงไปเหมือนวัวเคี้ยวบัว จึงถอนใจยาวออกมา"โล่งเสียที" จั๋วซือหรานถอนหายใจ นางกลอกตามองชายหนุ่มหล่อเหลาข้างๆ อดยื่นมือไปหยิกแก้มเขาแล้วดึงเบ
ชิ่งหมิงยื่นมือไปหยิบเผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาผืนหนึ่ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นางเช็ดไปด้วยพลางพูดว่า "ปกติตอนเพิ่งเรียนหลอมวัตถุไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ควรค่อยๆ เรียนรู้ไปตามลำดับจึงจะถูก แต่เจ้าเป็นสถานการณ์พิเศษ ดังนั้นก็คงจะเหนื่อยไปจริงๆ"จั๋วซือหรานรู้ความหมายของชิ่งหมิง คนอื่นถ้าเรียนการหลอมสกัด ล้วนเริ่มจากการหลอมสกัดของชิ้นเล็กๆ ก่อนเหมือนนางเสียที่ไหน ตอนเริ่มก็เริ่มจากหลอมวัตถุซ้ำใหม่เลยการหลอมวัตถุเดิมทีก็ไม่ใช่งานที่ง่ายอะไร การหลอมซ้ำยิ่งยากขึ้นไปอีกนี่มันเหมือนกับยังไม่ทันจะเดินเป็น แต่ก็เรียนวิ่งข้ามคานเสียแล้ว...จั๋วซือหรานถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า "ไม่มีทางเลือก จงกระหายและทำตัวให้โง่ตลอดเวลา...เลยทำได้แค่ทำอะไรให้เห็นผลได้ไวขึ้นเท่านั้น ยังดีที่มีน้ำยาโอสถของป๋อยวนอยู่"หรือก็คือของเหลวขมๆในแก้วที่ดื่มลงไปในปากเมื่อครู่นั่นเองแม้จะขม แต่กลับเย็นโล่งมาก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ร้อนเช่นนี้ ดื่มลงไปกลับสบายขึ้นมากเลย"เอาล่ะ เริ่มเถอะ" จั๋วซือหรานมองขลุ่ยเลานั้นในเตาสำริดไม่ได้เป็นขลุ่ยดินเผารูปร่างอ้วนกลมแบบก่อนหน้าแล้วชิ่งหมิงบอกว่าถึงอย่างไรก็ต้องหลอมซ้ำ นา
มองกระบอกน้ำชาโอสถสามใบที่ว่างเปล่าตรงมุมกำแพงจั๋วซือหรานก็ยกมุมปากขึ้น ว่ายังไงดีล่ะ?พูดได้แค่ว่าใต้เท้าซือหลี่ตันติ่งของพวกเรา ปากไม่ตรงกับใจเลยจริงๆถึงอย่างไร ดูจากสภาพสบายๆ ที่ผิดปกติของชิ่งหมิงซึ่งไม่มีเหงื่อสักหยด น้ำชาโอสถในกระบอกน้ำชาโอสถที่มุมกำแพงเหล่านั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าใครเป็นคนเตรียมเอาไว้เพลิงห้าสีเผาเข้าไปในเตาสำริด อุณหภูมิของห้องหลอมก็เพิ่มสูงขึ้นทันทีจั๋วซือหรานถึงแม้จะเพิ่งหลอมวัตถุชั้นต้น แต่เนื่องจากเดิมทีพลังความเข้าใจค่อนข้างโดดเด่นอยู่แล้ว บวกกับมีทักษะการหลอมยาอยู่แล้วด้วยพลังควบคุมการหลอมสกัดก็ค่อนข้างโดดเด่น ดังนั้นอีกสองวันข้างหน้าก็ต้องทุ่มเทเสร็จสิ้นเรื่องนี้ตอนนี้ก็ดูเชี่ยวชาญมากแล้วด้วย กระทั่งสามารถหันมาคุยเล่นกับชิ่งหมิงได้บ้างแล้ว"...ดังนั้นข้าเองก็ถือว่าผิดใจกับพรมแดนใต้ไปทั่วแล้วด้วย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ครั้งนี้ที่ข้าจัดการไปตั้งมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกดินแดนทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงเจาหมิ่นนั่น..."ชิ่งหมิงกลอกตามองนาง "เจ้าของกล่องกู่พวกนั้นที่เจ้าเอามาน่ะหรือ? คนที่ใช้เสน่ห์หนอนพิษกู่เล่นงานเจ้าเมื่อตอนนั้นน่ะนะ?""อืม
นางยกมือขึ้นตบไปที่หลังของชิ่งหมิงเบาๆ "เจ้าติดอ่างโตแล้วสินะ"ข้าเดิมทีโตกว่าเจ้าเสียอีก" ชิ่งหมิงเอ่ยต่อ "เดี๋ยวตอนที่เจ้าไปพื้นที่ศักดินา ข้าจัดการงานในมือเสร็จแล้วจะไปหาเจ้าที่หลวนหนาน"จั๋วซือหรานตกตะลึง "เจ้า...ซือหลี่ไม่ไปทำงานตามใจชอบได้ด้วยหรือ?""ไม่ได้" ชิ่งหมิงตอบ "แต่ข้าไม่สนใจ อย่างมากก็แค่เลิกทำ ยิ่งไปกว่านั้น ใต้เท้าซือเจิ้งก่อนหน้าก็ไม่ได้ไปทำงานตั้งนานแล้ว ข้าก็แค่ทำตามคนอื่นเขา"จั๋วซือหรานพอได้ยินชิ่งหมิงเอ่ยถึงใต้เท้าซือเจิ้ง นางก็เม้มปาก สีหน้าชะงักไปถามขึ้นเบาๆ "ใต้เท้าซือเจิ้งไม่ได้ไปทำงานนานแค่ไหนแล้ว?""อืม ก็ซักพักก่อนหน้านี้แล้วล่ะ จู่ๆ ก็ไปทำงานเมื่อไม่กี่วันก่อน" ชิ่งหมิงบอกทุกเรื่องที่รู้จนหมดเปลือกจั๋วซือหรานยังคิดจะถามอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงติ๋งดังขึ้นมานางมองกลับไปทางเตาสำริดทันที แล้วจึงเห็น ว่าขลุ่ยเลานั้นที่นอนนิ่งอยู่ในเตา ตัวขลุ่ยมีแสงประกายระยิบระยับ เปล่งแสงห้าสี ราวกับน้ำมันบนผิวน้ำอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานตาเป็นประกาย "สำเร็จแล้ว!"นางดับเพลิงห้าสีของตนเองลงทันที จากนั้นมือก็คลุมด้วยสีหยกชั้นหนึ่ง ใช้งานหัตถ์เสวียนอวี้ ยื่นเข้าไป
ผู้ใต้บัญชาของชายหนุ่มเหมือนจะลังเลหน่อยๆ เอ่ยเตือนเสียงต่ำว่า "นายท่าน บางทีคงไม่ต้องรีบในตอนนี้กระมัง? ถึงอย่างไร พระราชโองการพระราชทานรางวัลให้หญิงสาวคนนี้ก็เพิ่งจะออกมาเอง"คิ้วชายหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า "เจ้าหมายถึงเรื่องที่พื้นที่ศักดินาของนางถูกแต่งตั้งไว้ที่มณฑลหลวนหนานน่ะหรือ?""ขอรับ" ผู้ใต้บัญชาขานรับเสียงหนักแน่น "เช่นนี้ก็เห็นได้ว่า จะช้าเร็วนางก็ต้องไปที่หลวนหนาน ส่วนหลวนหนาน..."ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก มณฑลหลวนหนานมีเส้นชายแดนของแคว้นชางกับพรมแดนใต้ทั้งสามแคว้นยาวๆ อยู่เส้นหนึ่งและเพราะอยู่ใกล้กับพรมแดนใต้ เทียบกับหญิงสาวชั้นสูงที่เข้าไปมีอำนาจในเมืองหลวงแคว้นชางแล้ว คนพรมแดนใต้ทางนั้นบางทีอาจจะคุ้นเคยกับสถานที่นั้นมากกว่าคนใต้บัญชาเอ่ยต่อว่า "นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ต่อให้เป็นหญิงชั้นสูงจากแคว้นชางแล้วทำไมกัน ถึงตอนนั้นพอนางไปถึงหลวนหนาน ไม่คุ้นคนไม่คุ้นที่ จะทำอะไรได้? มีแต่ให้นายท่านบังคับควบคุมเท่านั้นล่ะ..."ชายหนุ่มได้ยินผู้ใต้บัญชาพูดเช่นนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "ถ้านางบีบง่ายแบบที่เจ้าพูด ข้าคงไม่สนใจตัวนางหรอก"นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่
หุบเขาหมื่นพิษยามค่ำคืน เต็มไปด้วยหมอกลวงตาทุกหนแห่งอบอวลไปด้วยหมอกบางๆ ใต้แสงจันทร์ พุ่มไม้หมู่ไม้ล้วนกลายเป็นเงาร่างประหลาดในหมอกลวงตาดูเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาดและอันตรายพอควรคนกับม้ากลุ่มหนึ่งกำลังเดินทางตรงเข้าไปที่หุบเขาหมื่นพิษ"สัตว์ประหลาดนั่นก่อนหน้านี้ปรากฏตัวในคืนจันทร์เพ็ญที่นี่" เสียงของจั๋วเฮ่ออิงกดลงต่ำอดถอนหายใจเบาๆ ออกมาไม่ได้ "พวกรเาควรจะรออีกสักคืน พรุ่งนี้ฟ้าสางค่อยเดินทางจะเหมาะกว่า"เซี่ยอวิ๋นซีนั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าดูแล้วเคร่งขรึมไม่สู้ดีนัก พอได้ยินคำนี้ ก็เอียงตามองจั๋วเฮ่ออิงผาดหนึ่งไม่ใช่ว่านางไม่เข้าใจเหตุผลในคำพูดจั๋วเฮ่ออิง แต่ก็หลายครั้ง เวลาที่แม่เผชิญหน้ากับเรื่องที่เกี่ยวกับอันตรายของลูกๆ จะใจเย็นลงมาไม่ค่อยได้ยิ่งไปกว่านั้น...ยังไม่ทันที่เซี่ยอวิ๋นซีจะได้คิดเยอะ ตรงหน้าก็เกิดการเคลื่อนไหวผิดปกติขึ้นมา!เสียงนั้นชัดมาก!แค่ฟังจากเสียงนี้ก็ฟังออกได้ไม่ยาก ว่าร่างสัตว์ประหลาดที่พวกเขาจะเผชิญหน้าใหญ่โตแค่ไหน!นิ้วมือของเซี่ยอวิ๋นซีกำแน่น ริมฝีปากเองก็เม้มแน่นขึ้นมานางมองออกมาจากในรถม้า ก็เห็นว่าด้านหน้า สัตว์ประหลาดตัวมหึมาตัวหนึ่ง ปร
ปันอวิ๋นรู้สึกจนใจหน่อยๆ "เจ้าตามใจมันเข้าไปเถอะ..."จั๋วซือหรานยิ้มๆ"ช่วงนี้ดีขึ้นแล้วหรือ?" ปันอวิ๋นถาม"อืม" จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่ง คิดถึงชายคนนั้น...ในใจก็รู้สึกจนใจอยู่บ้างช่วงหลายวันนี้ นางนอนร่วมเตียงกับเขา ไม่ว่าในใจจะยินยอมหรือไม่ แต่เรื่องก็ยังเป็นเช่นนี้ในช่วงเวลานี้ นางยังไม่มีทางเลือกอื่นพอพูดไปก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นะอันที่จริงทั้งสองคนแทบจะไม่ได้คุยกันเลยในช่วงกลางวัน ต่างฝ่ายต่างยุ่งเรื่องของตัวเองนางช่วยปันอวิ๋นเลี้ยงแมลงกู่ และคอยชี้แนะแพทย์ในหุบเขาหมื่นพิษดูแลปรับสภาพร่างกายตนเอง ทำอาหารอร่อยออกมาทุกวันถือเป็นการบำรุงตัวเองไปด้วย และตอบแทนคนอื่น ที่รบกวนปันอวิ๋นในหุบเขาหมื่นพิษอยู่ตลอด รวมถึงชายคนนั้นด้วย...สรุปคือ ตอนนี้สถานการณ์ทุกวัน ก็ดูจะเข้ากันได้แบบแปลกๆทุกวัน ชายคนนั้นบางทีก็พาจั๋วหวายออกไปล่าสัตว์ในหุบเขา เอาอาหารสดบางส่วนกลับมา ในขั้นตอนนี้ ก็ยังคอยชี้แนะจั๋วหวายเรื่องทักษะต่อสู้ด้วยจากนั้นนางก็นำวัตถุดิบเหล่านั้นมาทำเป็นกับข้าวหอมกรุ่นเต็มโต๊ะแล้วพวกเขาก็มานั่งกินด้วยกันอีกครั้ง พวกเขาในที่นี้หมายถึงจั๋วซือหราน จั๋วหวา
พอได้ยินคำนี้ของจั๋วหวาย สีหน้าจั๋วซือหรานก็ชะงักไปพอนึกถึงจั๋วเฮ่ออิงที่สีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบร้อนออกไปวันนั้นนางรู้สึกว่าการคาดเดาของเสี่ยวหวาย...ดูสมเหตุสมผลดียังไม่ต้องพูดถึงว่าจั๋วเฮ่ออิงไปหาเซี่ยอวิ๋นซี แล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไรจั๋วซือหรานแม้จะไม่ใช่เจ้าของร่างเดิม แต่ก็มีความรู้สึกรักอย่างจริงใจต่อเซี่ยอวิ๋นซีด้วยความเข้าใจต่อตัวเซี่ยอวิ๋นซีของนาง จั๋วซือหรานรู้สึกว่า เซี่ยอวิ๋นซีเป็นคนที่อ่อนนอกแข็งในการที่นางสามารถเลี้ยงลูกสองคนจนโตได้เพียงลำพังก็มองออกได้ไม่ยากคนแบบนี้ ในสถานการณ์ปกติขีดจำกัดจะชัดเจนมากนางจะอ่อนโยนกับคนของตนเอง แต่มีนิสัยที่แข็งกร้าวในสายตาไม่อาจทนเห็นสิ่งไม่ดีได้ ยอมหักแต่ไม่ยอมงอตอนที่นางรักจั๋วเฮ่ออิงก็คือรักจริงๆ ถ้าหากไม่มีลูกน้อยสองคนคอยรั้งนางไว้ นางคงฆ่าตัวตายตามจั๋วเฮ่ออิงไปตั้งแต่ตอนรู้ว่าเขาตายแล้วแต่พอมีตัวตนอย่างสุ่ยจิ้งหลาน เซี่ยอวิ๋นซีก็ไม่แน่ว่าจะอดทนต่อจั๋วเฮ่ออิงได้อีกตอนที่ไม่รัก ก็อาจจะไม่รักได้จริงๆแต่แล้วทำไมล่ะ แค่จั๋วเฮ่ออิงไปบอกเรื่องของนาง ด้วยนิสัยของเซี่ยอวิ๋นซี ต่อให้ฟ้าถล่มก็คงจะรีบมาหาอยู่ดีจั๋วซือหรานถอนห
ตอนนี้ จั๋วซือหรานเห็นหน้าตนเองในน้ำได้เห็นสภาพของตนเองชัดๆ ดีขึ้นมากแล้วจริงๆแต่นางยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าสภาพของตนเองก็กำลังแย่ลงอย่างรวดเร็วดังนั้น ตนเองตอนนี้...อยู่ห่างจากชายคนนั้นไม่ได้จริงๆถ้าแค่ห่างจากชายคนนั้น ตนเองก็อาจจะทนต่อไปไม่ไหว แล้วกลับไปอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้อีก นั่นมันอันตรายเอามากๆส่วนตนเองถ้าหากยังตามชายคนนี้อยู่ตลอดล่ะก็...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ในใจก็อดคิดไม่ได้ ตอนนี้ตนเองอย่างน้อยยังพอทนไหว ไม่ต้องตัวติดกับเขาตลอดเวลาก็ได้แต่...นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นนะจั๋วซือหรานเป็นคนที่เตรียมพร้อมล่วงหน้าอยู่เสมอ นางยกมือขึ้นลูบท้องน้อยเบาๆในใจยังคิดขึ้นอย่างกังวล ถ้าหากอายุครรภ์มากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็น่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยถึงตอนนั้นหากตนเองต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาถึงจะรักษาสภาพให้คงที่ได้ล่ะ?ถ้าตนเองเป็นอย่างที่เขาบอกล่ะ ที่ว่าต้องการแสงแดดแล้วในเวลากลางวันแบบนั้น...คนนึงต้องการแสงแดด แต่อีกคนกลับถูกแสงแดดทำร้ายสถานการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆนางผ่อนคลายลงหน่อย แต่เขากลับทรมานขึ้นมาถ้าพอนางทรมาน เขาถึงจะผ่อนคลายลงมาได
ขณะที่ตระหนักถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานก็ตระหนักได้ถึงอีกจุดหนึ่งถ้าบอกว่า ตนเองหลังจากนี้อยู่ห่างเขาไม่ได้ แต่หลังจากนี้ยังต้องการแสงแดดล่ะก็เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...นางมองชายหนุ่มที่โผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม เห็นอักขระคำสาปประหลาดบนหน้าตาคนสมองทื่อนี้ ปรากฏขึ้นมาต่อเนื่อง หายไป แล้วก็โผล่ออกมารักษาแผลไฟไหม้...จั๋วซือหรานจึงเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่อยู่ พอมาถึงตรงหน้าเขา ก็ยกมือขึ้นมาเบาๆเขาไม่ขยับ จ้องมองนางนิ่งจั๋วซือหรานแตะลงไปบนหน้าเขาเบาๆ ราวกับว่าแค่สัมผัสเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนางขมวดคิ้วแน่นเขามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า "พลังวิญญาณของข้า ช่วยอะไรท่านไม่ได้แล้วหรือ"น่าจะเพราะตนเองตั้งท้องจนงงๆ ไปแล้วจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะไม่พอใจเจ้าคนสมองมีปัญหาตรงหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากกระทั่งถึงตอนนี้ จั๋วซือหรานจึงเพิ่งรู้สึกตัวพลังของตนเองก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่สามารถบรรเทาอาการทำร้ายตนเองของเฟิงเหยียนได้แท้ๆ แล้วยังทำให้เขาต้านทานแสงแดดได้ระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ตอนนี้ทำไมเหมือน...มันไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ?ทว่าเฟิงเหยียน ดูเหมือนจะ
ขณะที่จั๋วซือหรานขมวดคิ้วคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมถึงมุดเข้ามาด้วยกัน...กับเขาในผ้าห่มที่มืดสนิทนี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังขึ้นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ในผ้าห่มมืดๆ ภายใต้ระยะใกล้ชิดที่แทบจะเบียดกันของคนทั้งสองนี้ จึงยิ่งชัดเจนเป็นพิเศษ...กระทั่งความหยาบกร้านแหบพร่าเล็กๆ ในน้ำเสียง ก็ยังชัดเจน ชัดเจนเอามากๆ!ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความใกล้ชิดมากๆ ยังมีกระแสลมแผ่วๆ ที่เหมือนจะพัดผ่านข้างหูนางไปเหมือนกับแม้กระทั่งตอนที่เขาหัวเราะเสียงทุ้ม การสั่นสะเทือนของทรวงอก ตนเองก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วย!จั๋วซือหรานกัดริมฝีปากเบาๆจึงได้ยินเสียงของตาคนสมองทื่อ ยังคงเป็นเส้นเสียงหยาบๆ ที่ชวนหลงใหลนั่นอยู่บอกกับนางว่า "นี่เจ้ากำลัง...เชื้อเชิญข้าหรือ?"จั๋วซือหรานเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่อยู่กับคนรัก ถือว่าถูกกวนให้ตื่นก็ได้ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่บ้างก็เรื่องปกติดังนั้นนางจึงไม่มีเวลามาปรับอารมณ์กับตาคนสมองทื่อนี่จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าควรจะมองท่านถูกเผาตายทั้งเป็นไปซะ"ตาสมองทื่อนี่ก็ไม่รู้ทำไมผ่านไปคืนนึงนิสัยก็เปลี่ยนไป จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้นบางทีคงเพร
จั๋วซือหรานได้ยินอารมณ์เจ็บปวดจากในน้ำเสียงเขา และได้ยินถึงอารมณ์เสียใจด้วยอันที่จริงสำหรับสำหรับอาการข้าหึงตัวข้าเองที่แปลกใหม่นี้ จั๋วซือหรานก็รู้สึกจนใจอยู่หน่อยๆ แล้วยังดูน่าขำอีกด้วยผลลัพธ์คือพอแหงนตามอง สีหน้ารอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานเหล่านั้น ก็แข็งทื่อไปทันทีอารมณ์ที่เรียกว่าความกังวล ก่อตัวขึ้นมาในดวงตามิน่าในน้ำเสียงเขาถึงมีความเจ็บปวดอยู่ตอนนี้ อักขระคำสาปปรากฏขึ้นบนตัวเขาแล้ว แสดงรูปลักษณ์ที่ประหลาดออกมา"นี่คือ..." จั๋วซือหรานยกมือมากำข้อมือเขาแต่นี่ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่เขตแดนจิตใต้สำนึกบางอย่าง เป็นแค่ในความฝันเท่านั้น แน่นอนว่าจับชีพจรเขาไม่ได้"ไม่เป็นไร" บนสีหน้าชายหนุ่มแม้จะเต็มไปด้วยอักขระคำสาปประหลาด สายตาที่ก้มลงมามองนางกลับดูอบอุ่น "ไม่เป็นไร"เหมือนกลัวว่านางจะกังวล เขาจึงบอกว่าไม่เป็นไรขึ้นมาอีกครั้งจั๋วซือหรานตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ขมวดคิ้วขึ้นมานิ้วโป้งของชายหนุ่มกดลงเบาๆ ที่หว่างคิ้วนาง นวดๆ เหมือนติดจะนวดคลายสีหน้าอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นออก"พักผ่อนให้ดี กินข้าวให้ดีด้วย" เขาเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเบ้ปากเบาๆ เหลือบมองเขา "ถ้าหากเจ้าส
จั๋วซือหรานไม่ส่งเสียง ครู่เดียว จึงถอนใจเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า "อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้ยืนหยัดขนาดนั้น แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาจนตรอกจริงๆ ข้าก็ยังไม่อยากละทิ้งทั้งที่ยังไม่ได้ลอง"เฟิงเหยียนกอดนาง ในสีหน้ามีความเจ็บปวดเสียงยิ่งแหบพร่า เอ่ยขึ้นว่า "ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาเหยียบซ้ำรอยมารดาของข้า และข้าก็ไม่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นเหมือนข้าด้วย หากเรื่องนี้ ไม่มีวิธีอื่นแก้ไขได้นอกจากปล่อยให้มีฝันร้ายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ...ข้าก็หวังให้ฝันร้ายนี้หยุดลงที่ตัวข้าพอ"เสียงของชายหนุ่มแหบพร่ามาก ในน้ำเสียง...ก็มีความสิ้นหวังที่ปิดไว้ไม่มิดอยู่ ทิ่มแทงเข้ามาที่ใจของจั๋วซือหรานต้องเป็นแบบไหนกันนะ...ถึงบีบคั้นให้คนดีๆ ที่หยิ่งทะนงและยอดเยี่ยมคนหนึ่งตกอยู่ในสภาพนี้...ราวกับสัตว์ที่ถูกกักขังไว้จั๋วซือหรานมองเขา ครู่ต่อมา ก็ถอนหายใจเบาๆเอ่ยขึ้นว่า "จริงๆ แล้ว...เดิมทีข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ การวางแผนและความคิดของข้าจึงไม่ได้เล่าใด้คนอื่นฟัง"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไร แค่แหงนตามองนางเงียบๆจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ข้ารู้สึกจริงๆ ว่าไม่แน่ข้าอาจมีวิธี แม้ตอนนี้ข้ายังพูดถึงเหตุผลออกมาให้ชัดเจนไม่ได้ แต
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว