“หม่อมฉัน...” เมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็มิอาจปั้นแต่งคำโกหกต่อไปได้“ว่าอย่างไร? ยังคิดคำโกหกมิออกหรือ?” ฟู่เฉินหวนใช้มือทั้งสองยันประตู แล้วเอนกายเข้ามาใกล้นางดวงตาคมกริบแฝงอันตราย ใกล้ชิดเพียงนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิงลั่วชิงยวนกลืนน้ำลายลงคอ ยอมรับแต่โดยดี “ใช่เพคะ หม่อมฉันคือฉู่ลั่ว!”“อย่ากล่าวหาว่าหม่อมฉันหลอกลวงท่านมาโดยตลอดเลยเพคะ ครั้งนั้นท่านเป็นผู้ขับไล่หม่อมฉันไปยังเรือนอื่นเพื่อให้ตายไปเอง หากหม่อมฉันมิปิดบังท่าน แล้วหาทางทำมาหากินเองก็คงอดตายหนาวตายอยู่ในเรือนหลังนั้นไปนานแล้ว...”กล่าวถึงตรงนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วแล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดกอดนางไว้แน่นลั่วชิงยวนชะงักไปเสียงทุ้มต่ำของฟู่เฉินหวนดังข้างหู “ข้าขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเขารู้สึกผิดเช่นนี้ก็ใจอ่อน นางลูบหลังเขาเบา ๆ “เอาเถิดเพคะ หม่อมฉันมิได้ถือโทษท่านแล้ว”“ต้องโทษที่หม่อมฉันเองมองคนผิด ถูกคนหลอกใช้ ทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าหม่อมฉันเป็นไส้ศึกของตระกูลเหยียน”สิ้นคำพูดของนาง ฟู่เฉินหวนก็คลายอ้อมกอดแล้วหรี่ตาลง แววตาแปรเ
“เจ้าแต่งกายให้เรียบร้อย มิต้องรีบร้อน ข้าจะออกไปดูเอง” ฟู่เฉินหวนปล่อยนาง แล้วเดินออกจากห้องอย่างสงบนิ่งลั่วชิงยวนรีบแต่งกาย เมื่อพบหน้ากากบนเตียงก็รีบสวมใส่แล้วจัดแจงอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้าวออกไปอย่างใจเย็นเมื่อออกมาก็พบกับใต้เท้าเหอและเหล่าองครักษ์แต่มิพบศพของเหยียนผิงเซียวใต้เท้าเหอมองนางด้วยความสงสัย “เมื่อคืนท่านเซียนฉู่ไปที่ใดหรือขอรับ ข้าเคาะประตูเรียกก็ไร้ผู้ตอบรับ ท่านเซียนฉู่ทราบหรือไม่ว่าเมื่อคืนมีคนตายอยู่หน้าประตูบ้านของท่าน?”ลั่วชิงยวนใจหาย พวกใต้เท้าเหอมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วศพก็ถูกพวกเขาเอาไปแล้วด้วยเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบหรือ?นางมิได้ยินเสียงเคาะประตูจริง ๆนางสบตากับฟู่เฉินหวนแล้วจึงตอบว่า “ข้าดื่มสุราอยู่กับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ”ฟู่เฉินหวนยืนกอดอก มุมปากมีรอยยิ้มจางแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็บอกแล้วว่าข้ากับท่านเซียนฉู่ดื่มสุราอยู่ที่หอฝูเสวี่ย เพิ่งกลับมาเมื่อเช้า ใต้เท้าเหอยังมิเชื่ออีกหรือ?”ใต้เท้าเหอรีบขออภัย “มิได้มีเจตนาดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ผู้ตายคือบุตรชายคนโตของตระกูลเหยียน เหยียนผิงเซียว ท่านอ๋องก็ทรงทราบว่าเขามีฐานะพิเศษ บ
ลั่วชิงยวนนิ่งงันไปหลังจากออกจากศาล ลั่วชิงยวนก็เปลี่ยนอาภรณ์แล้วกลับตำหนักอ๋องเมื่อกลับถึงตำหนักก็เห็นฟู่เฉินหวนนั่งจิบชาอยู่ที่ศาลาที่อยู่ในสวนนางเดินเข้าไปนั่งจึงพบว่ามีถ้วยชาถูกเตรียมไว้ตรงหน้าแล้ว“เรื่องการตายของเหยียนผิงเซียวจะจบลงเพียงเท่านี้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนตอบ “มิน่าจะมีปัญหาอะไร ข้าได้สั่งการใต้เท้าเหอแล้ว จะให้คนในหอฝูเสวี่ยมาเป็นพยานยืนยันว่าเมื่อคืนเราดื่มสุราอยู่ที่นั่นจริง”“บัดนี้ตระกูลเหยียนไม่มีผู้ใดหนุนหลังเหยียนผิงเซียวแล้ว คงจะมิสืบสาวลงลึก”“ยิ่งกว่านั้น ครั้งก่อนเหยียนผิงเซียวถูกหล่างมู่ทำร้ายปางตาย จะมีชีวิตอยู่ได้กี่วันก็ยากจะคาดเดา”ลั่วชิงยวนพยักหน้าฟังดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใหญ่ แต่ในใจนางกลับรู้สึกมิสงบ“เมื่อคืนลั่วฉิงเห็นหน้าหม่อมฉันแล้ว แม้หม่อมฉันจะทำให้นางบาดเจ็บสาหัส แต่นางคงมิยอมจบง่าย ๆ” ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างกังวลฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “อะไรนะ? ลั่วฉิงคือผู้ใด?”“สตรีลึกลับนางนั้นหรือ? นางชื่อลั่วฉิงหรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ฟู่เฉินหวนถามด้วยความงุนงงลั่วชิงยวนสะดุ้ง ตระหนักได้ว่าตนเผลอพูดสิ่งที่มิควรออกไปแล้วตอนนี้นอกจากคนในตระก
“ช่างน่าเวทนา เหยียนผิงเซียวช่างเป็นคนมีใจมั่นคงยิ่งนัก...”ลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปากแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เขามิได้น่าสงสารหรอก”“ครั้งหนึ่งเขาก็หลอกลวงความรู้สึกของลั่วเยวี่ยอิงเช่นนี้ ใช้ลั่วเยวี่ยอิงมาทำร้ายข้า สุดท้ายก็ถูกสตรีที่รักหลอกลวงจนตายอย่างน่าอนาถ นับว่าเป็นเวรกรรม”ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ช่างเป็นการเอาคืนอย่างสาสม”“แต่คราวนี้ลั่วฉิงหนีรอดไปได้ คงจับนางได้ยากแล้ว”“ยิ่งกว่านั้น นางยังเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่านและรู้ตัวตนของท่านแล้วด้วย คงต้องนำเรื่องนี้มาสร้างความวุ่นวายแน่นอน!”ลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก “ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน”“ลั่วฉิงคงมิปล่อยข้าไว้แน่ ข้ามิไปหานาง นางก็ต้องมาหาข้าอยู่ดี”ซ่งเชียนฉู่ถามอย่างเป็นห่วง “แล้วท่านมีแผนการอะไรหรือไม่?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “วิธีที่ลั่วฉิงจะเล่นงานข้าได้ก็คือการเปิดเผยตัวตนของข้า แต่ตัวตนของนางเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้นมาก”“กองคาราวานของสมาคมการค้าเฟิงตู สามารถเดินทางตรงไปยังชายแดนที่ติดกับแคว้นหลีได้ก็น่าจะสืบหาเบาะแสที่เป็นประโยชน์ได้”ซ่งเชียนฉู่ตาเป็นประกาย “ข้าจะช่วยท่านเอง”“บ้านข้าอยู่มิไกลจากที่น
เกิดความโกลาหลขึ้นในตำหนักอ๋องลั่วอวิ๋นสี่ในชุดดำถูกองครักษ์ล้อมจับเพราะคิดว่าเป็นมือสังหารดังนั้นการลอบสังหารครั้งนี้จึง...ล้มเหลว!มินานฟู่เฉินหวนก็กลับมา ลั่วเยวี่ยอิงรีบเข้าไปเกาะแขนร้องไห้ฟูมฟายมิหยุดโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิรู้ว่าใครคิดฆ่านางจึงมิได้โวยวาย ฟู่เฉินหวนก็มิต้องปวดหัวลั่วชิงยวนได้ยินจือเฉารายงานแล้วจึงมิได้เข้าไปดูลั่วอวิ๋นสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง “ขออภัย ข้าพลาดท่า”“เหตุใดจึงล้มเหลว?” ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ ด้วยฝีมือของลั่วอวิ๋นสี่แล้วก็มิน่าจะพลาดลั่วอวิ๋นสี่ตอบ “ข้าใช้ผงมอมเมาเพิ่มเป็นสองเท่า ปริมาณนี้มากพอจะทำให้วัวหลายตัวสลบ ข้าคิดว่านางคงหลับสนิทแล้ว”“จึงตั้งใจจะลักพาตัวนางไปลงมือข้างนอก”“แต่นางกลับตื่นขึ้นมา”“แปลกมาก นางสูดดมผงมอมเมาเข้มข้นถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงมิสลบ”ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกงุนงงลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงลั่วอวิ๋นสี่ไม่มีวิชาแพทย์ที่จะป้องกันผงมอมเมาที่เพิ่มความเข้มข้นได้หรือเป็นเพราะสรรพคุณของโอสถจตุรธาตุ?ลั่วเยวี่ยอิงกินโอสถจตุรธาตุไปหนึ่งเม็ด ลั่วชิงยวนใช้โอสถจตุรธาตุขนาดเล็กควบคุมหล่างชิ่นไปเล็กน้อย ในมือเหลือเพียง
“แล้วเหยียนผิงเซียวเล่า ท่านก็เป็นคนฆ่าเขาด้วยเช่นกันสินะ!” ขุนนางในท้องพระโรงเอ่ยถามลั่วชิงยวนยังมิทันตอบก็มีขุนนางที่นางมิเคยเห็นมาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีพยานและหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ!”องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว แม้จะมิเต็มใจ แต่เรื่องนี้มิอาจเพิกเฉยได้“นำตัวเข้ามา”ลั่วชิงยวนหันกลับไปมองก็เห็นลั่วฉิงเดินเข้ามาในท้องพระโรง“ฝ่าบาท หม่อมฉันลั่วฉิง เป็นนางรับใช้ข้างกายคุณชายเหยียน คืนที่เกิดเรื่องกับคุณชายเหยียน หม่อมฉันเห็นเขาไปที่ร้านของท่านเซียนฉู่และถูกท่านเซียนฉู่ฆ่าตายเพคะ”“ตอนที่คุณชายเหยียนต่อสู้กับท่านเซียนฉู่ หน้ากากของท่านเซียนฉู่หลุด หม่อมฉันเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา ปรากฏว่าเขาคือพระชายาลั่วชิงยวนเพคะ!”“บาดแผลร้ายแรงถึงชีวิตของคุณชายเหยียน หมอตรวจสอบแล้วว่าเกิดจากกริชจันทร์เสี้ยว หลายคนย่อมเคยเห็นอาวุธป้องกันตัวที่พระชายาใช้เป็นประจำ ซึ่งก็คือกริชจันทร์เสี้ยว!”ลั่วฉิงนำหลักฐานมาแสดงแล้วกล่าวต่อไปว่า “หม่อมฉันพบจดหมายในห้องของคุณชายเหยียน เป็นจดหมายที่ท่านเซียนฉู่นัดเขาไปที่ร้านด้วยเพคะ”“ท่านเซียนฉู่หลอกลวงคุณชายเหยียนไปฆ่า!”เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ผ
“พวกเจ้าคิดจะประหารชายาของข้าโดยมิถามความเห็นข้าก่อนรึ?” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันทั่วทั้งท้องพระโรงพลันเงียบสงัดไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของเขาต่างพากันปิดปากเงียบฟู่เฉินหวนกล่าวเสียงเย็นชา “นางรับใช้บังอาจกล่าววาจาเหลวไหลในท้องพระโรง? เพียงแค่นางพูด พวกเจ้าก็เชื่อแล้วจริง ๆ”“หรือว่ามาประชุมราชสำนักเช้าเกินไป ยังมิตื่นเต็มที่ ก็เลยลืมเอาสมองมาด้วย?” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่เต็มไปด้วยความโกรธจักรพรรดิรีบพูดทันที “แม้ลั่วชิงยวนจะเป็นท่านเซียนฉู่ แต่นางมิเคยกล่าววาจาหลอกลวง หรือใช้สถานะไปเบียดเบียนราษฎร การที่นางได้เข้าวังมาเป็นมหาปราชญ์ก็เป็นความคิดของข้าเอง”“พวกเจ้าคิดจะประหารนาง หรือว่าต้องลงโทษข้าก่อนล่ะ?”ขุนนางทั้งหลายรีบคุกเข่า “มิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนตอบอย่างองอาจ “เดิมทีข้ามิได้อยากเป็นมหาปราชญ์ มิต้องพูดถึงการกล่าววาจาหลอกลวงราษฎร”“แต่บัดนี้หากมิเป็นมหาปราชญ์ คงดูเหมือนข้าหวาดกลัวและมีพิรุธ”“ดังนั้นวันนี้ข้าจะใช้สถานะของลั่วชิงยวนรับตำแหน่งมหาปราชญ์”สิ้นคำของนาง ทุกคนก็ตกตะลึงลั่วชิงยวนช่างอวดดีนัก!จักรพรรดิได้ยินก็กำลังจ
ฟู่เฉินหวนมองไทเฮาด้วยสายตาคมกริบ “ไทเฮาทรงได้รับบาดเจ็บ ให้หมอหลวงมาตรวจดูเถิด”ไทเฮาเหลียวมองเขาอย่างเย็นชาแล้วหันหลังเดินออกไปจักรพรรดิจึงสั่งเลิกประชุมราชสำนัก ฟู่เฉินหวนก็เดินออกไปเช่นกันเมื่อมาถึงสวน ฟู่เฉินหวนก็พบกับไทเฮา“ไทเฮาทรงแสร้งประชวรได้เหมือนจริง แม้เหยียนผิงเซียวและมหาราชาจารย์เหยียนจะตายก็ยังทำให้ท่านล้มมิได้”ไทเฮาหัวเราะเย็นชา “ยังมิถึงตอนตัดสินเลย ตัวข้าจะล้มได้อย่างไร”“แม้ทั้งตระกูลเหยียนจะเหลือเพียงตัวข้าผู้เดียว ข้าก็จะมิยอมแพ้”“เพราะข้าคือไทเฮา!” ไทเฮาพูดด้วยสายตาแน่วแน่ เปี่ยมล้นด้วยความทะเยอทะยานฟู่เฉินหวนหรี่ตาลง “เช่นนั้นนี่ก็คือตอนตัดสิน ไทเฮาคิดว่าท่านจะชนะหรือ?”ไทเฮาตรัสอย่างมั่นใจ “ข้ามิเคยแพ้!”กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไปลั่วชิงยวนถูกคุมขัง ฟู่เฉินหวนก็รีบตามมา“ชิงยวน!”ฟู่เฉินหวนสั่งให้ผู้คุมออกไปเมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ด้วยแล้ว ฟู่เฉินหวนก็จับมือนาง “เจ้าคงลำบากใจที่ต้องอยู่ในคุกสองวัน ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ท่านอย่าใจร้อนเลยเพคะ”“แค่พยายามถ่วงเวลาไว้ หม่อมฉันกำลังรอข่าวอยู่”ฟู่เฉินหวนตกใจเล็กน้อย“ได้
โฉวสือชีตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นลั่วชิงยวนรีบเข้าไปดู เมื่อเห็นบัวถวายก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง“นี่คงเป็นของที่พวกนั้นบังเอิญทำตกไว้โดยมิได้ตั้งใจ”โฉวสือชีกล่าวพลางเปิดหน้าต่างก็เห็นว่ามีรอยเท้าอยู่บนขอบหน้าต่างจริง ๆ“โชคดีจริง ๆ ที่ยังหาเจออีกดอก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ดูเหมือนสวรรค์จะมิใจร้ายกับข้ามากนัก”ถึงแม้จะหาบัวถวายเจอเพียงดอกเดียวแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วก็สามารถช่วยชีวิตนางได้ และพอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสักระยะจากนั้นลั่วชิงยวนก็จัดยาให้คนใบ้นำกลับไปกิน เมื่อได้สมุนไพรครบถ้วนจากในคลังโอสถนี้จึงจัดยาได้หลายห่อหลังจากกินยาแล้วลุงเฉิงก็เข้ามา“ท่านเจ้าเมือง จัดการศพเรียบร้อยแล้วขอรับ มีสิ่งใดให้ข้าน้อยจัดการต่อหรือไม่?”ลั่วชิงยวนกล่าวว่า “ช่วยพาข้าไปดูห้องของต่งอวิ๋นซิ่วหน่อย”“ขอรับ”จากนั้นลั่วชิงยวนก็มายังเรือนของต่งอวิ๋นซิ่ว ลุงเฉิงกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านโปรดดูว่าเครื่องเรือนในห้องนี้ต้องปรับเปลี่ยนสิ่งใดหรือไม่ ข้าน้อยจะได้จัดการให้ขอรับ”ลั่วชิงยวนมองดูห้องคร่าว ๆ จากนั้นก็ไปยังห้องตำรานางพบแผนที่การวางกำลังป้องกันซึ่งเป็นแผ่นเดียวกั
ในที่สุดก็ไล่ตามอวี๋ตันเฟิ่งและโหยวจิ้งเฉิงทันบริเวณที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นมีลมพายุในป่าพัดกระหน่ำ แม้แต่ใบไม้ที่ปลิวขึ้นมาก็สามารถฆ่าคนได้ ลั่วชิงยวนทำได้เพียงพาคนอื่น ๆ ไปหลบอยู่หลังก้อนหินในป่าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มองมิเห็นเงาร่างของอวี๋ตันเฟิ่งและโหยวจิ้งเฉิง ทำได้เพียงรับรู้ถึงพลังชั่วร้ายสองสายที่กำลังปะทะกันลั่วชิงยวนตั้งใจจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกอวี๋ตันเฟิ่งห้ามไว้ “เจ้าอย่าเพิ่งลงมือ รอข้าจับเขาได้ก่อน!”ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงทำได้เพียงรอรอจนกระทั่งอวี๋ตันเฟิ่งสามารถกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้ได้สำเร็จในป่าก็ค่อย ๆ กลับสู่ความสงบลั่วชิงยวนจึงเดินเข้าไป จึงได้เห็นสตรีชุดแดงกำลังบีบคอของโหยวจิ้งเฉิงไว้แน่นในดวงตาของอวี๋ตันเฟิ่งเต็มไปด้วยความแค้นจนแทบจะกลายเป็นเลือดเพราะนางมิอาจบีบคอโหยวจิ้งเฉิงจนตายได้!“ลงมือเถิด ทำให้เขาตายไปเสีย”ลั่วชิงยวนหยิบกระดาษยันต์ออกมาในทันทีนางมองไปที่อวี๋ตันเฟิ่ง แล้วกล่าวว่า “เมื่อข้าขว้างไป เจ้าจงรีบหลบเสีย!”อวี๋ตันเฟิ่งพยักหน้าแต่เมื่อลั่วชิงยวนขว้างยันต์ออกไป อวี๋ตันเฟิ่งกลับมิหลบหลีกแสงสีทองสาดส่องเข้าใส่ทั้งสองคนลั่วชิงยวน
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ
หวังเพียงว่าจะกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้บนเขาได้ เพราะหากเขาไปสิงอยู่ในร่างผู้อื่นแล้วหนีลงเขาไปได้ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากเพียงแต่ในตอนนี้ นางไม่มีแรงพอที่จะไล่ตามแล้ว จึงไปหายาในคลังกับคนใบ้เมื่อไปถึง โฉวสือชีและอวี๋โหรวก็อยู่ที่นั่นอวี๋โหรวปรุงโอสถเสร็จแล้วโฉวสือชีกำลังค้นหาสมุนไพรอยู่ข้าง ๆ“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” โฉวสือชีถามด้วยความเป็นห่วงลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไร”โฉวสือชียื่นกล่องในมือออกมา แล้วพูดว่า “เจอโสมมังกรเพียงกิ่งเดียวเอง”ลั่วชิงยวนรับกล่องมา แล้วส่งให้คนใบ้ “รอจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน ข้าจะจัดยาให้เจ้าชุดหนึ่ง แม้จะมิสามารถรักษาอาการของเจ้าให้หายขาดได้ แต่ก็พอจะยืดชีวิตได้”คนใบ้พยักหน้า รับโสมมังกรมาด้วยสีหน้าซับซ้อนภายใต้หน้ากากโฉวสือชีกล่าวเสียงหนักแน่น “คลังโอสถนี่ใหญ่โตเกินไป ข้าหาบัวถวายมิเจอจริง ๆ”“และเมื่อดูแล้วในนี้ก็มีร่องรอยการถูกรื้อค้น ต่งอวิ๋นซิ่วคงมิได้หลอกพวกเรา บัวถวายคงถูกใครบางคนชิงไปแล้ว”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วแน่น “บังเอิญเกินไปแล้ว บัวถวายถูกชิงไปตอนที่เรามาถึงพอดี”“แถมยังถูกกวาดไปจนเกลี้ยง”“สมุนไพรอื่นก็มิ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ