คนอื่น ๆ ก็เห็นแล้วเช่นกันไม่มีเวลาแล้ว ทุกคนรีบวิ่งไปยังอีกฝั่ง สะพานจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงโชคดีที่สะพานแข็งแรง ไม่มีใครตกลงไปข้างล่างแต่เฉินชีกับพรรคพวกข้างหลังก็ลงมาถึงพื้นแล้วลั่วชิงยวนหันไปมอง แล้วเห็นเฉินชีวิ่งมาโดยมิพาคนตามมาด้วยนางชะงัก รู้สึกสังหรณ์ใจมิดีแล้วก็เห็นเฉินชีถือกระบี่พิชิตมารเดินไปที่ริมสะพาน เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วใช้กระบี่ฟันโซ่เส้นหนึ่งแคร้ง!โซ่ขาดสะบั้น ร่วงลงไปในหุบเหวสะพานสั่นคลอนอย่างรุนแรงโชคดีที่ยังมีโซ่อีกเส้นยึดไว้ทุกคนบนสะพานต่างตื่นตระหนกเฉินชียกกระบี่พิชิตมารขึ้นเตรียมจะตัดโซ่อีกเส้นหากโซ่ขาดอีกเส้นสะพานจะพลิกคว่ำและทุกคนจะตกลงไปซ่งอวี่ร้องตะโกน “หยุดนะ! เจ้าต้องการสมุนไพร ข้าจะยกให้ทั้งหมด! ปล่อยพวกเขาไป!”เขาจะมิยอมให้ลูกสาวและคนอื่น ๆ ต้องมาตายที่นี่!เฉินชีหัวเราะเย็นชา “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้ายังสนใจสมุนไพรพวกนั้นอีกรึ?”กล่าวจบ เขาก็ยกกระบี่พิชิตมารฟันไปที่โซ่อีกเส้นหากโซ่เส้นนี้ขาดพวกเขาจะตกหน้าผาตายหมดอย่างมิต้องสงสัย!ทุกคนใจหายวาบลั่วชิงยวนมิสนใจอะไร ร้องตะโกน “เฉินชี!”ทันทีที่คำนี้หลุ
เฉินชีผู้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็อดทนใจเย็น เขาหรี่ตามองนางพลางยกยิ้มอย่างมีเลศนัยจนกระทั่งอาเสินบินวนกลับมา ลั่วชิงยวนจึงรู้ว่าพวกเขาลงจากสะพานอย่างปลอดภัยแล้วนางจึงก้าวเท้าก้าวสุดท้ายขึ้นไปบนลานเฉินชีเดินเข้ามาบีบคางนาง แล้วจ้องมองด้วยสายตาเหี้ยมโหด “เจ้าเป็นใคร?”“เหตุใดเจ้าจึงรู้จักข้า?”“วงเวทอัญเชิญวิญญาณ วงเวทสะกดวิญญาณ เจ้าเป็นคนแคว้นหลีหรือ?”“เหตุใดข้ามิเคยเห็นเจ้ามาก่อน?” ผู้ที่รู้จักมนตราเช่นนี้ย่อมมิใช่คนธรรมดาในแคว้นหลีต้องเป็นคนในสำนักนักบวชแต่เขามิเคยเห็นสตรีตรงหน้ามาก่อนลั่วชิงยวนจ้องมองเขา แล้วสะบัดมือเขาออก “แม่ทัพใหญ่เฉินชีมาแคว้นเทียนเชวียเพื่อช่วยลั่วฉิงใช่หรือไม่?”“น่าเสียดาย ลั่วฉิงบอกเล่าเรื่องของแม่ทัพใหญ่หมดแล้ว”เหตุผลที่เฉินชีมาที่นี่ ลั่วชิงยวนคิดได้เพียงว่าต้องมาช่วยลั่วฉิงนางพยายามยุยงให้เฉินชีกับลั่วฉิงแตกคอกันแต่เฉินชีกลับหัวเราะเยาะ “ดูเหมือนเจ้าจะรู้อะไรมิน้อย แม้แต่ลั่วฉิงก็ไม่มีความสามารถพอจะต่อกรกับเจ้า!”“แผนล้มเหลวก็มิเป็นอะไร ข้าแค่มาร่วมสนุก ทว่าหากจับเจ้ากลับไปได้ก็พอให้ข้าเล่นสนุกได้พักหนึ่ง นับว่า... มามิเสียเที่ยว”
หล่างมู่กับเซียวชูเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปช่วยลั่วชิงยวน แล้วพานางวิ่งหนีไปแต่เฉินชีก็ตามมาทันอย่างรวดเร็ว กระบี่พิชิตมารคมกริบทรงพลังยากจะต้านทานแม้จะสามรุมหนึ่งก็ยังเอาชนะได้ยากแล้วคนอื่น ๆ ก็ตามมาล้อมพวกเขาไว้ได้เฉินชีหยุดมือ มองพวกเขาอย่างสนใจ “หนีไปได้แล้วยังกลับมาหาที่ตายอีกรึ?”“อย่าหาว่าข้าใจร้ายแล้วกัน”ลั่วชิงยวนพยายามต่อต้าน แต่ก็รู้ว่าหนีมิพ้นจึงลองเจรจากับเฉินชี“ข้าจะมิหนีแล้ว เจ้าปล่อยพวกเขาไป”เฉินชีเป็นคนบ้า หากเซียวชูกับหล่างมู่ตกไปอยู่ในมือเขาคงมีจุดจบที่น่าอนาถ“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะมิหนี?” เฉินชีเลิกคิ้วถาม“ข้ารับรอง”เฉินชีโบกมือ คนข้างล่างก็หยุดหล่างมู่ดึงแขนลั่วชิงยวน “พี่หญิง!”ลั่วชิงยวนตบบ่าเขา “มิต้องห่วง”“พวกเจ้าไปก่อนเถิด”ลั่วชิงยวนส่งสายตาให้เซียวชูเซียวชูเข้าใจ รีบพาหล่างมู่หนีไป“อย่ากลับมาอีก!” ลั่วชิงยวนกำชับหล่างมู่กัดฟันวิ่งตามเซียวชูไปลั่วชิงยวนหันไปหาเฉินชี “เจ้าห้ามส่งคนไปจับพวกเขา!”เฉินชียกยิ้มเย็นชา “เหตุใดข้าต้องฟังเจ้า?”“เจ้ามิฆ่าข้า แสดงว่าข้ามีประโยชน์กับเจ้า หากเจ้ากล้าจับพวกเขา ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะมิยอมให้เ
เมื่อเข้าใกล้ชายแดนแคว้นหลี ลั่วชิงยวนมิอาจก้าวต่อไปได้อีก“ข้าเหนื่อยนัก ข้าเดินมิไหวแล้ว ข้าขอพักเสียหน่อยก่อนเถิด!”ลั่วชิงยวนทรุดกายลงนั่ง มิปรารถนาจะเคลื่อนไหวอีกเฉินชียืนเท้าสะเอวก้มมองนางพลางกล่าว “อย่าคิดว่ายื้อเวลาแล้วพวกเขาจะช่วยเจ้ากลับไปได้”“ผู้ใดที่ข้าหมายเอาไว้ ยังมิเคยมีผู้ใดรอดพ้นจากเงื้อมมือข้าไปได้”ใจลั่วชิงยวนสั่นสะท้านนางเงยหน้าขึ้นพูดกระชากเสียงด้วยความขุ่นเคือง “แม้แต่จะพักผ่อนสักครู่ยังมิยอม เช่นนั้นก็จงสังหารข้าเสีย อย่างไรเสียข้าก็มิอยากจะไปต่อแล้ว ข้าปวดขาเหลือเกิน”เฉินชีหรี่ตาลงแล้วอุ้มนางขึ้นทันทีลั่วชิงยวนดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย “วางข้าลง!”แต่เฉินชีมิหยุด เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “เจ้าบอกว่าเดินมิไหวมิใช่รึ เช่นนั้นข้าก็จะอุ้มเจ้าไปเอง”“หากเจ้ายังใช้ข้ออ้างนี้รบกวนข้าอีก ข้าจะตัดขาเจ้าทิ้งเสีย เจ้าจะได้มิปวดขาอีก”ลั่วชิงยวนมิกล้าขยับเขยื้อนอีกเพราะเฉินชีสามารถกระทำการเช่นนั้นได้จริงเฉินชีอุ้มนางข้ามภูเขาสูงตระหง่านพวกเขาได้เข้าสู่เขตแดนแคว้นหลีแล้วแต่ขณะที่ลั่วชิงยวนกังวลว่าเซียวชูและพวกพ้องจะตามมาถึงแคว้นหลีมิได้ เฉินชีกลับห
เฉินชีเอื้อมมือไปจับข้อมือของนางที่พยายามดิ้นรนไว้ พลางกล่าวว่า “อย่าขยับ มันมิลวกเจ้าหรอก”“จะมิลวกได้อย่างไร! ปล่อยข้า! หากมือข้าไร้ประโยชน์ ข้าจะมิอาจใช้คาถาอาคมอะไรได้อีก แล้วข้าจะมิอาจช่วยเจ้าได้!”เฉินชีได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบา ๆ “ยากนักที่ในเวลาเช่นนี้เจ้ายังคิดถึงเรื่องช่วยข้า ถูกใจข้ายิ่งนัก ข้าจะมิให้รอยแผลเป็นใด ๆ เกิดขึ้นบนมือคู่นี้ของเจ้าเป็นแน่”กล่าวจบ เขาก็ค่อย ๆ รินสิ่งนั้นลงบนกลไกที่ติดอยู่บนข้อมือของนางรังสีอันร้อนแรงแผดเผา ทำให้ใจของลั่วชิงยวนหวาดหวั่นนางมิอาจเชื่อใจเฉินชีได้เลยเปลวเพลิงยังคงลุกโชนอยู่ในเหล็กหลอมเหลว ทำให้ลั่วชิงยวนเบี่ยงตัวหลบอย่างตื่นตระหนกเหล็กหลอมเหลวร้อนระอุถูกกั้นไว้ด้วยเหล็กเพียงชั้นเดียว แทบจะแนบชิดกับผิวหนังของนาง ความรู้สึกร้อนผ่าวเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่าเครื่องมือนั้นจะถูกหลอมละลายได้ทุกเมื่อ แล้วของเหลวนั้นจะทะลุลงมาถึงข้อมือของนางนางอดมิได้ที่จะตัวสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนกบังเอิญว่าเฉินชีใช้มือข้างหนึ่งหมุนกลไก ทำให้ฝ่ามือของลั่วชิงยวนหงายขึ้น เนื่องจากนางตัวสั่นค่อนข้างแรง ทำให้เหล็กหลอมเหลวที่กำลังถูกรินลงมามีบางส่วนเบ
หรือว่าเฉินชีมิได้หวั่นเกรงว่านางจะหลบหนีไป?ครั้นเมื่อนางวิ่งวนรอบเขาและวิ่งออกจากป่า จึงได้ตระหนักว่าสามด้านล้วนเป็นหน้าผาสูงชัน นางจึงเข้าใจว่าเหตุใดเฉินชีมิได้ส่งคนมาเฝ้านางก่อนฟ้าจะมืด นางรีบวิ่งกลับไปยังกระท่อมไม้ไผ่ทันทีที่กลับเข้าไปในกระท่อม เฉินชีก็ตามมาติด ๆแล้วนำอาหารมาให้“เป็นเช่นไรบ้าง? ทิวทัศน์บนเขางดงามหรือไม่?”เฉินชีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มลั่วชิงยวนเอนกายพิงเก้าอี้ หลับตาพักผ่อน “แม่ทัพเฉินช่างมีอำนาจล้นฟ้า ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็รู้แจ้งไปเสียหมด”เฉินชียืนกอดอกเลิกคิ้วครุ่นคิด “แม่ทัพเฉินรึ? นานนักแล้วที่ไม่มีผู้ใดเรียกข้าเช่นนี้”“เจ้าช่างละม้ายกับสหายเก่าของข้าผู้หนึ่ง”ใจของลั่วชิงยวนหวั่นไหวแล้วหัวเราะเยาะ “คนอย่างแม่ทัพเฉินก็มีสหายด้วยหรือ?”เฉินชียกยิ้มแล้วเลิกคิ้ว “ไม่มี”“เช่นนั้นเปลี่ยนเป็น... ศัตรูเก่า?”ลั่วชิงยวนมิอยากพูดเรื่องไร้สาระอีก นางเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด บอกข้าก่อนได้หรือไม่”“มิต้องรีบร้อน” เฉินชียกยิ้มจากนั้นก็หันหลังเดินจากไป โดยทิ้งท้ายไว้ว่า “ยามราตรีบนเขาหนาวเย็น จงจำไว้ว่าต้องสวมอาภรณ์เพิ่ม มีอยู่ในตู้”เมื่อเส
เมื่อวิ่งออกจากป่ามาถึงริมหน้าผาก็เป็นเวลาตะวันขึ้นพอดี“เบื้องล่างนี้เป็นเหวลึก ท่านปีนขึ้นมาจากที่นี่หรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนชะโงกหน้ามองลงไปเบื้องล่างฟู่เฉินหวนดึงนางกลับมา “ระวัง”เขาจูงมือลั่วชิงยวนไปนั่งข้างก้อนหินใหญ่ แล้วกล่าวว่า “ที่นี่ปีนขึ้นมานั้นง่าย แต่ลงไปยาก”“หลบซ่อนอยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวชาวแคว้นหลีพบว่าเจ้าหายไปจะต้องตามไปข้างนอก รอพวกเขาไปแล้ว เราค่อยออกไป”ลั่วชิงยวนพยักหน้าแล้วนั่งลงเอนกายพิงฟู่เฉินหวนมือทั้งสองกุมกันแน่น มิอาจแยกจากกัน“หน้าผาสูงเช่นนั้น ท่านมิกลัวหรือเพคะ?”“เจ้าอยู่ข้างบนนี้ ข้าจะกลัวสิ่งใดเล่า”เป็นเวลารุ่งสางแล้ว ทั้งสองรอฟังความเคลื่อนไหวภายนอก รอให้ชาวแคว้นหลีถูกล่อออกไปก่อน แล้วจึงค่อยจากไปแต่แล้วสิ่งที่พวกเขามิคาดคิดก็เกิดขึ้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลังทั้งสองตกใจ ลั่วชิงยวนค่อย ๆ ยื่นหน้ามองออกไปกลับเห็นเฉินชีกำลังถือกระบี่เดินเข้ามา เขามิได้ปิดบังเสียงฝีเท้าเลยด้วยซ้ำ“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ออกมาเถิด หากเจ้าออกมาเอง ข้าจะได้ฆ่าน้อยลงหนึ่งคน”เฉินชีกล่าวด้วยความสนุกสนานราวกับกำลังไล่ล่าเหยื่อลั่วชิงยวนใจหายวูบ
พร้อมกันนั้น นางก็ได้กลิ่นยาจาง ๆเฉินชีมีวิชาตีกระบี่ที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กล่าวกันว่าใช้วัตถุดิบจำพวกสมุนไพรด้วยนี่มิใช่กำไลธรรมดา!นางตกใจ “สิ่งนี้ทำให้ตำแหน่งของข้าถูกเปิดเผยรึ?”เฉินชีเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเพิ่งจะรู้รึ?”“ข้าบอกแล้ว หากสวมมันไว้ เจ้าก็เป็นคนของข้า ชั่วชีวิตนี้เจ้าหนีข้ามิพ้นหรอก!”“ข้ามิถือสาว่าเจ้าเคยเป็นพระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการมาก่อน หากอ๋องผู้สำเร็จราชการเต็มใจ ต่อไปเราสามคนอยู่ด้วยกันก็มิใช่ว่ามิได้”ลั่วชิงยวนโกรธจนกัดฟันกรอดฟู่เฉินหวนหันกลับมามองนางด้วยสีหน้าขุ่นเคือง แววตาเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง“นี่คืออะไร?”“เกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเขา!”ลั่วชิงยวนรีบปฏิเสธ “ไม่มีอะไร! เชื่อหม่อมฉันสิเพคะ! ระหว่างหม่อมฉันกับเขามิได้เกิดสิ่งใดขึ้น!”เฉินชีมองเหตุการณ์นี้ด้วยความสนใจราวกับกำลังรอคอยคำตอบฟู่เฉินหวนโกรธเล็กน้อย “เช่นนี้จะให้ข้าเชื่อได้อย่างไร!”ลั่วชิงยวนโกรธ พยายามดึงกำไลออกอย่างแรง แต่ก็ดึงมิออกกำไลนี้ถูกตีขึ้นใหม่ สวมพอดีกับข้อมือของนางจึงไม่มีช่องว่างมากนัก ทำให้มิสามารถดึงออกด้วยกำลังได้ด้วยค
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน