จดหมายเหล่านั้นเขียนถึงครอบครัวของนางดูเหมือนว่าจะถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันลั่วชิงยวนมิได้เปิดอ่านนี่คงเป็นจดหมายที่อวี๋ตันเฟิ่งเขียนหลังจากที่นางแยกทางกับครอบครัว เป็นคำพูดในใจที่อยากจะกล่าวแต่ก็มิอาจกล่าวได้คิดดูแล้วหลังจากที่นางถูกโหยวจิ้งเฉิงฆ่า นางคงรู้สึกเสียใจที่มิได้ส่งจดหมายเหล่านี้ออกไปอย่างน้อยก็คงพอจะบอกข่าวคราวให้คนในครอบครัวได้ทราบบ้าง จะได้มิเงียบหายไปนานถึงเพียงนี้ลั่วชิงยวนมิรู้ว่าตอนนี้จะยังสามารถหาบิดามารดาและพี่น้องของอวี๋ตันเฟิ่งได้หรือไม่ แต่นางจะนำจดหมายเหล่านี้ลงจากเขาไปด้วย เพราะนี่เป็นหลักฐานว่านางเคยพบกับอวี๋ตันเฟิ่งเมื่อได้สิ่งของครบถ้วนแล้ว พวกนางก็เตรียมตัวลงจากเขาเนื่องจากคนใบ้มิยอมเดินทางไปกับพวกนางด้วย ลั่วชิงยวนจึงกำชับลุงเฉิงให้จัดคนไปส่งคนใบ้ลงจากเขาในขณะที่กำลังออกกันไป ฟู่เฉินหวนที่ยืนอยู่บนยอดเขากำลังทอดสายตามองลงมาเงียบเชียบ ต้นไม้ในป่าหนาทึบ เขามองมิเห็นเงาร่างของลั่วชิงยวนเลยเวลาผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ รู้สึกว่ายังไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ก็ต้องจากกันอีกแล้ว“ชิงยวน หวังว่าคราวหน้าที่จะได้พบกันคงจะมิใช่ในสถานก
คราวนี้ที่มาเมืองแห่งภูตผี ใช้พละกำลังไปมากกว่าเดิม ตอนนี้ยังมิได้ทำอะไรแต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก นั่งอยู่ในรถม้าก็ยังง่วงตลอดเวลาอวี๋โหรวเองก็เป็นกังวลมาก นางกล่าวว่า “ประเดี๋ยวถึงเมือง พวกเราหยุดพักกันก่อนเถิด”“ข้าจะจุดธูปหอมที่ช่วยให้สงบแก่เจ้า จะได้นอนหลับสบายขึ้น”“พักผ่อนให้เพียงพอแล้วค่อยเดินทางกันต่อ”ลั่วชิงยวนพยักหน้าเฉินชีก็เห็นด้วยกับการจะไปพักผ่อนที่เมือง แต่ขบวนของพวกเขาใหญ่โตเกินไป เมื่อไปถึงเมืองจึงทำให้ผู้คนมากมายปิดประตูบ้านเรือน มิกล้าออกมาค้าขายโชคดีที่พบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก่อนฟ้ามืด ก่อนเข้านอน ลั่วชิงยวนดื่มน้ำมนตร์เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายจากนั้นอวี๋โหรวจุดธูปหอมช่วยให้สงบ ลั่วชิงยวนจึงหลับไปในตอนแรกลั่วชิงยวนหลับสนิทดี แต่เมื่อถึงยามดึกนางก็ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆลั่วชิงยวนรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก พยายามอย่างหนักที่จะตื่นขึ้น นางพยายามลืมตาแต่ก็ลืมตามิขึ้นราวกับว่าร่างกายยังคงหลับใหล แต่จิตสำนึกตื่นขึ้นมาแล้วเสียงลากเก้าอี้นั้นเหมือนมาหยุดอยู่ข้างเตียงของนางจากนั้นนางก็รู้สึกราวกับมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะลงบนหน้า
นางลุกขึ้นลงจากเตียงแล้วเดินเข้าไปตรวจดูดวงตาของโฉวสือชีก็มิพบไอชั่วร้ายเมื่อจับชีพจรดูก็ปกติทุกอย่าง นางจึงปลุกโฉวสือชีให้ตื่นเมื่อโฉวสือชีตื่นขึ้นมาก็ยังงุนงง “ข้า… ข้ามาอยู่ในห้องของเจ้าได้อย่างไร? ข้ามิได้อยู่ที่หน้าห้องหรอกรึ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “เจ้าจำมิได้เลยหรือว่าเกิดกระไรขึ้น? จำสิ่งใดมิได้เลยจริงหรือ?”โฉวสือชีส่ายหน้า จำมิได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อมองไปยังกระบี่ที่อยู่ในข้างมือ โฉวสือชีก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “ข้า… ข้ามิได้ทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนเท้าแขนมองเขาอย่างจนปัญญา “เมื่อครู่นี้เจ้าเกือบจะปาดคอข้าเข้าแล้ว”โฉวสือชีตกใจจนพูดมิออก “กระไรนะ?”“ข้า… ข้าจำอะไรมิได้เลย”โฉวสือชีรู้สึกหนาวเยือกไปถึงสันหลัง ก่อนถามว่า “ข้าโดนสิ่งใดเข้าสิงหรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “โหยวจิ้งเฉิงน่ะสิ”“ถึงเขาจะสลายไปแล้ว แต่รัศมีอาฆาตบางส่วนของเขาเข้ามาในร่างข้า แต่ข้าคาดมิถึงว่าเจ้าจะได้รับผลกระทบไปด้วย”เมื่อได้ยินดังนั้น โฉวสือชีก็ประหลาดใจ “แล้วจะทำอย่างไร?”ลั่วชิงยวนปรุงยาชุดหนึ่งส่งให้โฉวสือชีกินเมื่อดูแล้วว่าในร่างของโฉวสือชีไม่มีรัศมีอาฆาตหลงเหลืออยู่ นางก็โล่งใ
ตำหนักอ๋องในห้องฝั่งปีกตะวันออก ถัดจากเตียงแกะสลักขาดใหญ่ มีเสื้อผ้าเกลื่อนอยู่เต็มพื้นห้องลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง นางมองดูรอยยุ่งเหยิงบนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียวแสงแดดส่องกระทบรอยสีแดง ทำให้นึกไปถึงชายห้าหกคนที่บุกเข้ามาในห้องหอเมื่อคืนนี้ ความอัปยศอดสู และความโกรธค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามาโจมตีนางอย่างหนักหน่วงน้ำตาแห่งความรู้สึกอัปยศเอ่อล้นในดวงตา“จะร้องไห้ทำไม ในเมื่อเจ้าได้แต่งงานกับท่านอ๋องอย่างที่หวังไว้ ก็ควรจะดีใจมิใช่รึ?”เสียงทุ้มเย็นยะเยือกดังขึ้น ความหนาวเหน็บแผ่ซ่านไปที่กระดูกสันหลังของลั่วชิงยวน นางหันกลับไปด้วยความตกใจเห็นผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ รูปร่างสง่างามและน่าเกรงขาม สายตาเย็นชา และไม่แยแสนั้นจับจ้องมา ราวกับมีดที่กำลังกรีดเลือดของนางบางสิ่งกำลังระเบิดในหัว ลั่วชิงยวนรู้สึกหายใจไม่ออกชั่วขณะ “ท่านอ๋อง… ท่านอยู่ตรงนี้มาตลอดเลยหรือเพคะ?”น้ำเสียงไม่แยแสกล่าวขึ้น “วันอภิเษกสมรสของข้ากับเจ้า ถ้าข้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วข้าควรจะอยู่ที่ใดเล่า?”ทันใดนั้น นางก็รู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด เลือดทั่วร่างพลันแข็งมองดูรอยยับบนเตียง นึกถึงคนที่บุกเข้ามาในห้องหอ
ซ่า…น้ำเย็นในขันถูกสาดลงบนหน้าอย่าแรง!ลั่วชิงยวนยกเปลือกตาขึ้นด้วยความยากลำบาก นี่นางยังไม่ตายหรือ ทำไมถึงรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด?หญิงที่แต่งตัวเหมือนแม่นมคนหนึ่งโยนขันน้ำทิ้ง และมองมาที่นางด้วยสายตาโกรธเคือง "อย่ามาเล่นเล่ห์ด้วยการร้องไห้สร้างปัญหา และแขวนคอตัวเองเช่นนี้ ท่านอ๋องไม่หลงกลท่านหรอก! ไม่ได้ดูสารรูปตัวเลยว่าเป็นสินค้าเช่นใด ถึงได้กล้าเข้าพิธีอภิเษกสมรสแทนคุณหนูรอง ท่านคิดว่าตำหนักอ๋องนี้เข้ามาได้ง่าย ๆ งั้นรึ!”หน้าตาของแม่นมเติ้งเต็มไปด้วยความโกรธ เดิมทีนางวางแผนที่จะกลับบ้านไปดูแลแม่ที่ชรา แต่ใครจะรู้ว่า พระชายาที่ไร้ยางอายผู้นี้จะเล่นอุบายแกล้งปลิดชีพตน ทำให้ต้องมาที่นี่เพื่อรับใช้นางแทน“เป็นคุณหนูจวนอัครเสนาบดีดี ๆ มิเป็น แต่กลับทำแต่เรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ ตายไปเสียยังจะดีกว่า!”เสียงข่มเหงและเสียงบ่นดังอยู่เหนือหัวนางอย่างต่อเนื่อง ลั่วชิงยวนมองดูทุกสิ่งที่แปลกประหลาดนี้ และความทรงจำที่ไม่ใช่ของนางก็พุ่งเข้ามาเมื่อวานนี้เป็นวันอภิเษกสมรสของท่านอ๋องกับลั่วเยวี่ยอิงแต่ลั่วชิงยวนก็ยอมเสี่ยง แสร้งทำว่าตนคือเจ้าสาวในคืนวันแต่งงาน แถมยังจุดกำยานปลุกกำหนัดในห้อ
แม่นมเติ้งร้องขึ้นอย่างตกใจ “อุ๊ย คุณหนูรอง มือของคุณหนู!”นางรีบเข้าไปประคองลั่วเยวี่ยอิง พลางก่นด่า “ท่านช่างเป็นหญิงที่ร้ายกาจนัก แย่งงานแต่งคุณหนูรองไปแล้ว คุณหนูยังใจดีป้อนยาให้ ท่านยังกล้าผลักคุณหนูอีก!”ทันใดนั้น ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้อง ปรี่ไปที่ลั่วเยวี่ยอิงด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนก “เยวี่ยอิง!”ลั่วเยวี่ยอิงขมวดคิ้ว และยกฝ่ามือที่เปื้อนเลือดของนางขึ้น ทำให้ผู้ที่มองเห็นรู้สึกสงสารยิ่งนักฟู่เฉินหวนมองไปที่มือของลั่วเยวี่ยอิงที่เต็มไปด้วยเลือด ก่อนจะมองไปที่ลั่วชิงยวนด้วยสายตาอาฆาตลั่วชิงยวนรีบพูดขึ้นทันที “หม่อมฉัน…”แต่ยังไม่ทันที่จะได้อธิบาย ก็มีเงาปกคลุมมาที่นางก่อนที่ร่างของนางจะถูกกระชากลงมาจากเตียง จนล้มตัวลงกับพื้น ยังไม่ทันที่จะได้ทรงตัว มือใหญ่ก็ตวัดลงมาอย่างแรงทันใดนั้น ในหัวของนางก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น ก่อนจะรู้สึกแสบร้อนและระบมที่แก้มยังไม่ทันที่นางจะได้สติ ลั่วเยวี่ยอิงรีบคว้าแขนเสื้อฟู่เฉินหวน และขอร้องอ้อนวอน “ท่านอ๋องข้ามิระวังเอง อย่าโทษท่านพี่เลยเพคะ!”แม่นมเติ้งรีบฟ้องท่านอ๋องทันที “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเห็นกับตาว่า คุณหนูรองป้อนยาให้ แต่พระชายามิรับ
ดวงตาของนางแดงก่ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย็นชานางปิดประตู ยกมือขึ้นกดหน้าอกที่ยังปวดอยู่ พลางเดินกลับไปนั่งทำสมาธิบนเตียงการมาเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นางแทบจะไม่มีพละกำลังนางคือนักบวชที่ทุกคนต่างเคารพในแคว้นหลี่ นอกเหนือจากทักษะพิเศษด้านฮวงจุ้ย การอ่านโหงวเฮ้ง และการทำนายดวงชะตาแล้ว นางยังมีวรยุทธที่น่าเกรงขาม แบบหนึ่งต่อร้อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็คิดถึงร่างกายของตนเองเป็นอย่างมาก นางฝึกฝนวรยุทธตั้งแต่ยังเด็ก เส้นลมปราณของนางค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ข้ารับใช้เหล่านี้ไม่สามารถจะกลั่นแกล้งนางได้น่าเสียดาย บัดนี้ร่างกายของนางน่าจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว… พอกลับมาที่ห้องตำรา ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกซูโหยวเดินมาเคาะประตู “ท่านอ๋อง คืนนี้ยังจะส่งชายพวกนั้นไปแกล้งขู่คุณหนูลั่วอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”พอได้ยิน ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก “ช่างเถอะ”เมื่อคืนนี้เขาได้สั่งสอนนางไปแล้ว หากขู่นางอีก นางคงแกล้งปลิดชีพตนไม่จบไม่สิ้นเสียทีและถ้าหากนางตายขึ้นมาจริง ๆ คงจะรายงานกับจวนอัครเสนาบดีได้ยากซูโหยวพยักหน้ารับ “พ่ะย่ะค่ะ”……ฟึ่บบบานประตู
“ก็ช่วยไปแล้ว เหตุใดจะต้องมีเหตุผลด้วยเล่า?” ลั่วชิงยวนเอ่ยอย่างเรียบเฉยจากนั้นนางก็หันหลังและจากไปเมื่อเห็นว่านางกำลังจะเดินจากไปไกล แม่นมเติ้งก็รู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ เลยอดไม่ได้ที่จะเรียกนางไว้ "พระชายาเจ้าคะ!" ลั่วชิงยวนชะงักฝีเท้า แม่นมเติ้งรีบก้าวไปข้างหน้าทันที“บ่าวขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องดูแลรับใช้ท่าน บ่าวก็คงได้ออกจากตำหนักไปนานแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่บ่าวรู้สึกไม่พอใจ ก็เลยระบายความโกรธใส่ท่าน..." แม่นมเติ้งก้มหน้าลงอย่างรู้สึกผิดนางไม่คิดว่า พระชายาจะเข้ามาช่วยนาง มิเช่นนั้นนางคงถูกเมิ่งจิ่นอวี่ทุบตีจนตายเป็นแน่! แล้วนางยังช่วยต่อแขนของตนอีกด้วย ซึ่งนั่นแตกต่างจากข่าวลือที่ว่านางคือนางงูพิษโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็เข้าใจเหตุผลแม่นมเติ้งเตือนขึ้นอีกครั้ง "หากท่านต้องการอยู่ในตำหนักต่อไป ก็อย่าได้ทำให้เมิ่งจิ่นอวี่ขุ่นเคืองเลยเจ้าค่ะ นางเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งในตำหนัก แล้วยังเป็นลูกสาวของแม่บ้านของตำหนักนี้อีกด้วยเจ้าค่ะ""ไม่ทันแล้วกระมัง" มาพูดเอาป่านนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วแม่นมเติ้งมองไปรอ
นางลุกขึ้นลงจากเตียงแล้วเดินเข้าไปตรวจดูดวงตาของโฉวสือชีก็มิพบไอชั่วร้ายเมื่อจับชีพจรดูก็ปกติทุกอย่าง นางจึงปลุกโฉวสือชีให้ตื่นเมื่อโฉวสือชีตื่นขึ้นมาก็ยังงุนงง “ข้า… ข้ามาอยู่ในห้องของเจ้าได้อย่างไร? ข้ามิได้อยู่ที่หน้าห้องหรอกรึ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “เจ้าจำมิได้เลยหรือว่าเกิดกระไรขึ้น? จำสิ่งใดมิได้เลยจริงหรือ?”โฉวสือชีส่ายหน้า จำมิได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อมองไปยังกระบี่ที่อยู่ในข้างมือ โฉวสือชีก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “ข้า… ข้ามิได้ทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนเท้าแขนมองเขาอย่างจนปัญญา “เมื่อครู่นี้เจ้าเกือบจะปาดคอข้าเข้าแล้ว”โฉวสือชีตกใจจนพูดมิออก “กระไรนะ?”“ข้า… ข้าจำอะไรมิได้เลย”โฉวสือชีรู้สึกหนาวเยือกไปถึงสันหลัง ก่อนถามว่า “ข้าโดนสิ่งใดเข้าสิงหรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “โหยวจิ้งเฉิงน่ะสิ”“ถึงเขาจะสลายไปแล้ว แต่รัศมีอาฆาตบางส่วนของเขาเข้ามาในร่างข้า แต่ข้าคาดมิถึงว่าเจ้าจะได้รับผลกระทบไปด้วย”เมื่อได้ยินดังนั้น โฉวสือชีก็ประหลาดใจ “แล้วจะทำอย่างไร?”ลั่วชิงยวนปรุงยาชุดหนึ่งส่งให้โฉวสือชีกินเมื่อดูแล้วว่าในร่างของโฉวสือชีไม่มีรัศมีอาฆาตหลงเหลืออยู่ นางก็โล่งใ
คราวนี้ที่มาเมืองแห่งภูตผี ใช้พละกำลังไปมากกว่าเดิม ตอนนี้ยังมิได้ทำอะไรแต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอย่างมาก นั่งอยู่ในรถม้าก็ยังง่วงตลอดเวลาอวี๋โหรวเองก็เป็นกังวลมาก นางกล่าวว่า “ประเดี๋ยวถึงเมือง พวกเราหยุดพักกันก่อนเถิด”“ข้าจะจุดธูปหอมที่ช่วยให้สงบแก่เจ้า จะได้นอนหลับสบายขึ้น”“พักผ่อนให้เพียงพอแล้วค่อยเดินทางกันต่อ”ลั่วชิงยวนพยักหน้าเฉินชีก็เห็นด้วยกับการจะไปพักผ่อนที่เมือง แต่ขบวนของพวกเขาใหญ่โตเกินไป เมื่อไปถึงเมืองจึงทำให้ผู้คนมากมายปิดประตูบ้านเรือน มิกล้าออกมาค้าขายโชคดีที่พบโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก่อนฟ้ามืด ก่อนเข้านอน ลั่วชิงยวนดื่มน้ำมนตร์เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายจากนั้นอวี๋โหรวจุดธูปหอมช่วยให้สงบ ลั่วชิงยวนจึงหลับไปในตอนแรกลั่วชิงยวนหลับสนิทดี แต่เมื่อถึงยามดึกนางก็ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆลั่วชิงยวนรู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก พยายามอย่างหนักที่จะตื่นขึ้น นางพยายามลืมตาแต่ก็ลืมตามิขึ้นราวกับว่าร่างกายยังคงหลับใหล แต่จิตสำนึกตื่นขึ้นมาแล้วเสียงลากเก้าอี้นั้นเหมือนมาหยุดอยู่ข้างเตียงของนางจากนั้นนางก็รู้สึกราวกับมีกระดาษแผ่นหนึ่งแปะลงบนหน้า
จดหมายเหล่านั้นเขียนถึงครอบครัวของนางดูเหมือนว่าจะถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันลั่วชิงยวนมิได้เปิดอ่านนี่คงเป็นจดหมายที่อวี๋ตันเฟิ่งเขียนหลังจากที่นางแยกทางกับครอบครัว เป็นคำพูดในใจที่อยากจะกล่าวแต่ก็มิอาจกล่าวได้คิดดูแล้วหลังจากที่นางถูกโหยวจิ้งเฉิงฆ่า นางคงรู้สึกเสียใจที่มิได้ส่งจดหมายเหล่านี้ออกไปอย่างน้อยก็คงพอจะบอกข่าวคราวให้คนในครอบครัวได้ทราบบ้าง จะได้มิเงียบหายไปนานถึงเพียงนี้ลั่วชิงยวนมิรู้ว่าตอนนี้จะยังสามารถหาบิดามารดาและพี่น้องของอวี๋ตันเฟิ่งได้หรือไม่ แต่นางจะนำจดหมายเหล่านี้ลงจากเขาไปด้วย เพราะนี่เป็นหลักฐานว่านางเคยพบกับอวี๋ตันเฟิ่งเมื่อได้สิ่งของครบถ้วนแล้ว พวกนางก็เตรียมตัวลงจากเขาเนื่องจากคนใบ้มิยอมเดินทางไปกับพวกนางด้วย ลั่วชิงยวนจึงกำชับลุงเฉิงให้จัดคนไปส่งคนใบ้ลงจากเขาในขณะที่กำลังออกกันไป ฟู่เฉินหวนที่ยืนอยู่บนยอดเขากำลังทอดสายตามองลงมาเงียบเชียบ ต้นไม้ในป่าหนาทึบ เขามองมิเห็นเงาร่างของลั่วชิงยวนเลยเวลาผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ รู้สึกว่ายังไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ก็ต้องจากกันอีกแล้ว“ชิงยวน หวังว่าคราวหน้าที่จะได้พบกันคงจะมิใช่ในสถานก
“ข้าว่าตอนนี้นางคงดีใจมาก เพราะคิดว่าข้าต้องตายอยู่ในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้แล้ว”อวี๋โหรวมองนางอย่างตั้งใจ “เจ้าคิดจะทำกระไร?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวช้า ๆ “เฉินชีมาคราวนี้มีข่าวมาบอกว่า ช่วงนี้ตระกูลซีก็โดนคนของสำนักเทียนฉยงเล่นงานอยู่เช่นกัน ถึงคราวที่เวินซินถงจะต้องแสดงฝีมืออีกแล้ว”“ข้าก็ต้องส่งของกำนัลชิ้นใหญ่ไปให้เวินซินถงสักหน่อย ถึงจะสมกับที่นางส่งของกำนัลมาให้ข้า”อวี๋โหรวถามว่า “แล้วพวกเราจะกลับไปเมื่อใด?”ลั่วชิงยวนกล่าวเสียงหนักแน่น “ยังมีที่ที่ข้าอยากไปอีกครั้ง หลังจากไปที่นั่นแล้วค่อยลงเขากัน”อวี๋โหรวพยักหน้าท้องฟ้ายังมิทันมืด หลังจากที่อวี๋โหรวจากไปแล้วลั่วชิงยวนก็ออกจากห้องไปยังหน้าห้องของคนใบ้เมื่อปิดประตูห้องแล้ว ลั่วชิงยวนก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “อีกมิกี่วันพวกเราก็ต้องลงจากเขาแล้ว”คนใบ้พยักหน้า“ข้ายังกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของเจ้าอยู่บ้าง ข้าขอตรวจดูอีกครั้งนะ”หลังจากลงจากเขาไปแล้วนางกับเขาอาจจะมิได้เจอกันอีก เกรงว่าจะไม่มีโอกาสรักษาอาการบาดเจ็บให้เขาได้อีกคนใบ้ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ถอดเสื้อออกเมื่อได้เห็นบาดแผลทั่วร่างของคนใบ้อีกครั้ง ลั่
ลั่วชิงยวนตกใจ เฉินชีมาได้อย่างไร?“ข้าไปดูเอง”ลั่วชิงยวนรีบลงจากเขาทันใดเมื่อนางลงจากเขาก็เห็นเฉินชีกำลังจะจุดไฟเผาภูเขาเมื่อเห็นผู้คนลงมาจากบนเขา เขาก็ขู่ตะคอกเสียงดัง “ปล่อยลั่วชิงยวนออกมาเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะเผาภูเขาเฮงซวยของพวกเจ้า!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว เขามาได้จังหวะดีจริง ๆ“เฉินชี หยุดนะ!”เมื่อได้ยินเสียงของนาง เฉินชีก็ตกใจพลันรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นนางเขาก็ตื่นเต้นอย่างมาก“เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?”เขากล่าวพลางคว้าแขนของนางไว้แล้วดึงไปอยู่ข้างหลังตน มองลุงเฉิงและคนอื่น ๆ ด้วยความระแวดระวัง “พวกนั้นทำกระไรเจ้า!”ลั่วชิงยวนผลักเขาออก “ข้ามิเป็นอะไร เจ้าบอกให้คนของเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! รีบไปดับไฟเสีย!”นางเคยดูแผนที่การวางกำลังป้องกันของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้แล้ว บนเขามีคูคลองมากมายและยังมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ด้วย เมื่อไฟลุกโชนขึ้นก็สามารถดับไฟได้นางมิกลัวว่าเขาจะเผาภูเขาแต่ก็มิอยากใช้กลไกของแหล่งน้ำเหล่านี้โดยพลการเฉินชีโบกมือทันใด คนอื่น ๆ จึงรีบดับไฟเฉินชีดึงนางไปด้านข้าง แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “อาเหลา เจ้ามายังเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้โดยมิบอกกล่าวข้าสักคำ เจ
ลั่วชิงยวนเข้าใจ นางจึงอธิบายว่า “บนตราประทับทาสส่วนใหญ่มียันต์ผนึกวิญญาณอยู่ ข้าสามารถช่วยท่านเอายันต์ผนึกวิญญาณออกได้”เมื่อได้ยินดังนั้น ลุงเฉิงก็ตกใจ“เอาออกได้หรือขอรับ? นี่มัน…”นี่คือยันต์ผนึกวิญญาณของสำนักนักบวชเชียวนะ!นอกจากคนในสำนักนักบวชแล้ว ใครกันจะแก้ได้!ในเวลานั้นเอง โฉวสือชีก็เดินเข้ามาแล้วหัวเราะก่อนกล่าวว่า “บนตัวข้าก็มียันต์ผนึกวิญญาณ นางเป็นคนแก้ให้ข้าเอง เชื่อใจนางเถิด ลุงเฉิง”เมื่อได้ยินดังนั้น ลุงเฉิงก็ตกใจมากเขารีบถอดเสื้อออกลั่วชิงยวนรีบแก้ยันต์ผนึกวิญญาณออกไป ลวดลายสีทองบนรอยแผลเป็นนั้นหายไป เหลือเพียงรอยแผลเป็นธรรมดาลุงเฉิงหยิบคันฉ่องทองเหลืองมาส่องดู เมื่อเห็นว่ายันต์ผนึกวิญญาณบนหลังของตนหายไปจริง ๆ ก็ดีใจจนเนื้อเต้นเขาทรุดตัวลงคุกเข่าตรงหน้าลั่วชิงยวน “นับจากนี้ไป เฉิงติ่งผู้นี้ขออุทิศชีวิตบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านเจ้าเมือง โดยมิลังเลเลยขอรับ!”ลั่วชิงยวนคลี่ยิ้มจาง “ลุกขึ้นเถิด”“ไปรวบรวมสมบัติทั้งหมดบนเขามาให้ข้าดู แล้วทำบัญชีมาให้ข้าด้วย”“ขอรับ!”เฉิงติ่งรีบจากไปด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่าและมีความสุขยิ่งโฉวสือชีมองท่าทางก้าวเดินอย่างมีควา
โฉวสือชีตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นลั่วชิงยวนรีบเข้าไปดู เมื่อเห็นบัวถวายก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง“นี่คงเป็นของที่พวกนั้นบังเอิญทำตกไว้โดยมิได้ตั้งใจ”โฉวสือชีกล่าวพลางเปิดหน้าต่างก็เห็นว่ามีรอยเท้าอยู่บนขอบหน้าต่างจริง ๆ“โชคดีจริง ๆ ที่ยังหาเจออีกดอก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ดูเหมือนสวรรค์จะมิใจร้ายกับข้ามากนัก”ถึงแม้จะหาบัวถวายเจอเพียงดอกเดียวแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วก็สามารถช่วยชีวิตนางได้ และพอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสักระยะจากนั้นลั่วชิงยวนก็จัดยาให้คนใบ้นำกลับไปกิน เมื่อได้สมุนไพรครบถ้วนจากในคลังโอสถนี้จึงจัดยาได้หลายห่อหลังจากกินยาแล้วลุงเฉิงก็เข้ามา“ท่านเจ้าเมือง จัดการศพเรียบร้อยแล้วขอรับ มีสิ่งใดให้ข้าน้อยจัดการต่อหรือไม่?”ลั่วชิงยวนกล่าวว่า “ช่วยพาข้าไปดูห้องของต่งอวิ๋นซิ่วหน่อย”“ขอรับ”จากนั้นลั่วชิงยวนก็มายังเรือนของต่งอวิ๋นซิ่ว ลุงเฉิงกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านโปรดดูว่าเครื่องเรือนในห้องนี้ต้องปรับเปลี่ยนสิ่งใดหรือไม่ ข้าน้อยจะได้จัดการให้ขอรับ”ลั่วชิงยวนมองดูห้องคร่าว ๆ จากนั้นก็ไปยังห้องตำรานางพบแผนที่การวางกำลังป้องกันซึ่งเป็นแผ่นเดียวกั
ในที่สุดก็ไล่ตามอวี๋ตันเฟิ่งและโหยวจิ้งเฉิงทันบริเวณที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นมีลมพายุในป่าพัดกระหน่ำ แม้แต่ใบไม้ที่ปลิวขึ้นมาก็สามารถฆ่าคนได้ ลั่วชิงยวนทำได้เพียงพาคนอื่น ๆ ไปหลบอยู่หลังก้อนหินในป่าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย มองมิเห็นเงาร่างของอวี๋ตันเฟิ่งและโหยวจิ้งเฉิง ทำได้เพียงรับรู้ถึงพลังชั่วร้ายสองสายที่กำลังปะทะกันลั่วชิงยวนตั้งใจจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกอวี๋ตันเฟิ่งห้ามไว้ “เจ้าอย่าเพิ่งลงมือ รอข้าจับเขาได้ก่อน!”ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงทำได้เพียงรอรอจนกระทั่งอวี๋ตันเฟิ่งสามารถกักขังโหยวจิ้งเฉิงไว้ได้สำเร็จในป่าก็ค่อย ๆ กลับสู่ความสงบลั่วชิงยวนจึงเดินเข้าไป จึงได้เห็นสตรีชุดแดงกำลังบีบคอของโหยวจิ้งเฉิงไว้แน่นในดวงตาของอวี๋ตันเฟิ่งเต็มไปด้วยความแค้นจนแทบจะกลายเป็นเลือดเพราะนางมิอาจบีบคอโหยวจิ้งเฉิงจนตายได้!“ลงมือเถิด ทำให้เขาตายไปเสีย”ลั่วชิงยวนหยิบกระดาษยันต์ออกมาในทันทีนางมองไปที่อวี๋ตันเฟิ่ง แล้วกล่าวว่า “เมื่อข้าขว้างไป เจ้าจงรีบหลบเสีย!”อวี๋ตันเฟิ่งพยักหน้าแต่เมื่อลั่วชิงยวนขว้างยันต์ออกไป อวี๋ตันเฟิ่งกลับมิหลบหลีกแสงสีทองสาดส่องเข้าใส่ทั้งสองคนลั่วชิงยวน
“ท่านอยู่ต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ออกไปก่อนเถิด” ลั่วชิงยวนกล่าวกับชายชราจากนั้นคนอื่น ๆ ก็ทยอยออกไปชายชราลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าลั่วชิงยวน “ท่านเจ้าเมืองมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ?”ลั่วชิงยวนถามว่า “บนเขาแห่งนี้มีคนมาแย่งชิงยาสมุนไพรไปจริงหรือ? ที่ส่งคนไปตามหา มีเบาะแสอะไรบ้างหรือไม่?”“มีคนมาจริง ๆ ขอรับ พรรคพวกของพวกมันมีประมาณสิบคนได้ แต่พวกมันหนีไปเร็วมาก ตอนนั้นทุกคนมัวแต่สนใจด้านหน้า ไม่มีใครสังเกตว่ามีคนบุกเข้าไปในคลังโอสถ”“พวกเขาถึงได้หนีรอดไปได้ขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งสงสัยว่าเป็นคนของสำนักเทียนฉยง และจงใจมาเป็นปฏิปักษ์กับนาง จึงได้ชิงบัวถวายไปก่อนมองดูชายชราตรงหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนก็ยังมิเข้าใจเขาดีนักนางจึงถามว่า “บนหลังของท่านมีรอยประทับทาสหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชราก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้า “มีขอรับ”ลั่วชิงยวนรู้ว่าคำพูดของนางย่อมทำให้เขาเคลือบแคลงใจว่านางมิใช่อวี๋ตันเฟิ่งแต่นางก็มิได้คิดจะแสร้งเป็นอวี๋ตันเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้“ท่านควรรู้ว่าข้ามิใช่อวี๋ตันเฟิ่ง”ชายชราผู้นั้นอึ้งไป มิรู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ในเมื่อ