“เหมือนว่าข้า… จะสัมผัสได้แล้ว!” “พวกเขาอยู่ที่นั่นใช่ไหม?” ลั่วชิงยวนกล่าวตอบ “ใช่ พวกเขาอยู่ข้างกายเจ้า” ฉินไป๋หลี่ดีใจจนร้องไห้ เสียงสั่นคลอนของเขาทำลั่วชิงยวนขอบตาแดงผ่าว นางจึงลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป ให้เวลาส่วนตัวกับพวกเขาหน่อยเถิด แม้ว่าฉินไป๋หลี่จะมองไม่เห็น แต่เขาสามารถสัมผัสได้ เพียงแต่ในใจของลั่วชิงยวนรู้สึกเสียดายมาก ๆ เดิมทีนางคิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่ได้รวมครอบครัว มิคิดว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ เดินออกจากเรือน นางเห็นแผ่นหลังของแม่ทัพใหญ่ฉินพอดี เขากำลังแอบปาดน้ำตาคนเดียว “แม่ทัพใหญ่ฉิน” ลั่วชิงยวนขานเรียก แม่ทัพใหญ่ฉินรีบเช็ดน้ำตาและหันร่างมา “พระชายา” “ข้าจักรักษาให้กับฉินไป๋หลี่อย่างสุดกำลัง ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าได้เสียใจนัก อย่างน้อยเขาก็ยังมีชีวิตอยู่” ลั่วชิงยวนพูดปลอบ แม่ทัพใหญ่ฉินพยักหน้า “ครั้งนี้ต้องขอบคุณพระชายาเป็นอย่างยิ่ง เงินหนึ่งพันตำลึงข้าได้สั่งคนเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว” “มิต้องรีบ ข้าไปจ่ายยา และฝังเข็มให้กับฉินไป๋หลี่ก่อน” จากนั้นลั่วชิงยวนจึงไปจ่ายยา รอให้ฉินไป๋หลี่อยู่กับภรรยาและลูกจนพอ ลั่วชิงยวนจึงเข้าไปฝังเข็มให้เขา ลองรักษ
“ถอยไป!” ลั่วชิงยวนขัดขืนสุดชีวิต แต่แล้วนางกลับสู้มิไหว นางถูกคนจับมัดแขน ยัดผ้าเข้าปาก และฝืนลากนางออกไป ลั่วชิงยวนโมโหเป็นอย่างมาก ในเมืองตอนกลางวันแสก ๆ ริอ่านจับตัวผู้อื่นโดยโจ่งแจ้งหรือ? เมืองนี้ยังมีกฎหมายหรือไม่! คนกลุ่มนั้นมีจำนวนร้อยกว่าคน ปรากฏตัวกลางตลาดและกินพื้นที่ตลาดจนหมด ด้านนอกมีคนเข้ามาดูมิน้อย เพียงแต่มิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน เหตุใดคนจึงมากมายเช่นนี้? ราวกับเป็นโจรป่าเลย!” “เหมือนจะกำลังไล่ตามหญิงสาวผิดจรรยาสตรีคนหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นสนมที่มีชู้รักกับอาของตน! นี่ไง กำลังจะจับไปดิ่งแม่น้ำ” “เช่นนี้นี่เอง! สมน้ำหน้า!” “ไป ๆ ๆ เราก็ไปดูเรื่องสนุกบ้างเถอะ” ในฝูงชนมีแต่เสียงซุบซิบ ทุกคนต่างกำลังต่อว่าลั่วชิงยวน บังเหียนร้อนรนจนกระโดดอยู่กับที่ รถม้าพัง ม้าไม่ยอมเดินต่อ เขาจึงทำได้เพียงวิ่งกลับไปบอกข่าวที่จวนแม่ทัพใหญ่อย่างเร็วที่สุด! …… ลั่วชิงยวนถูกเชิญไปที่จวนแม่ทัพใหญ่กว่าครึ่งชั่วยาม ฟู่เฉินหวนจึงเพิ่งรู้เรื่องเซียวชู “ท่านอ๋อง เหมือนว่าจะหาฉินเชียนหลี่เจอจริง ๆ แล้วขอรับ! ท่านจวนแม่ทัพใหญ่จึงเชิญพระชายาไป!” ฟู่เฉินหวนได้ยิน
บังเหียนวิ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเล และพูดตะโกน “แย่แล้วขอรับ! พระชายาถูกชาวบ้านกลุ่มหนึ่งลักตัวไป!” สิ้นประโยค ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างตะลึง คิ้วของแม่ทัพใหญ่ฉินขมวดแน่น “ว่าไงนะ? ถูกชาวบ้านลักตัวไป? กลางวันแสก ๆ จะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!” บังเหียนกล่าวต่ออย่างร้อนรน “เรื่องจริงขอรับ! พวกเขาจับตัวพระชายาไปเพราะจำผิดคน ได้ยินว่าจะนำตัวพระชายาไปดิ่งแม่น้ำ!” วินาทีที่ได้ยินประโยคนี้ ในหัวของฟู่เฉินหวนเผยเป็นภาพถนนเส้นนั้นที่แออัดไปด้วยผู้คนมากมาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน และวิ่งออกจากประตูจวนแม่ทัพใหญ่ไปทันใด …… ลั่วชิงยวนถูกจับตัวมาที่ริมแม่น้ำ ที่มาพร้อมนางยังมีผู้คนที่อยากเห็นเรื่องสนุก “นังสำส่อน! ริอ่านคบชู้! วันนี้จักเป็นจุดจบของเจ้า!” ชายหนุ่มกราดด่า พร้อมแกะเชือกที่มัดอยู่บนตัวของนาง น้ำเสียงของลั่วชิงยวนดุดัน “ข้าเป็นพระชายาอ๋องสำเร็จราชการ! พวกเจ้าจับตัวข้า คิดถึงจุดจบพวกเจ้าหรือยัง? ใครเป็นคนส่งตัวพวกเจ้ามา มิสนใจกระทั่งชีวิตตนเองแล้วงั้นรึ?” ลั่วชิงยวนมิเชื่อแน่ว่าพวกเขาจะจับผิดคน เกรงว่าตั้งใจเสียมากกว่า! ริอ่านจับตัวผู้อื่นในเวลากลางวันแสก ๆ อย่า
ได้ยินดังนี้ หว่างคิ้วของฟู่เฉินหวนกระตุกอย่างแรง เขาพุ่งไปริมแม่น้ำทันที แม่น้ำเส้นใหญ่ ธารน้ำไหลแรง ซ้อนทับกันเป็นชั้น แต่กลับมิเห็นร่างใด ๆ โผล่ออกมาจากผิวน้ำ วินาทีนั้นหัวใจของฟู่เฉินหวนบีบรัดถึงกล่องเสียง นางผู้นี้ช่วยได้กระทั่งเชียนหลี่ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ อย่าบอกนะว่านางช่วยตัวเองมิได้! แต่เขากลับมิได้คิดมาก เขากระโดดลงในแม่น้ำดังเป็นเสียง ตู้ม เซียวชูที่มาถึงช้ากว่าก้าวหนึ่ง เห็นฉากที่ท่านอ๋องกระโดดลงในแม่น้ำพอดี สีหน้าของเขาซีดเผือดทันขวัญ เขาวิ่งขึ้นไปอย่างเร็ว “ท่านอ๋อง!” ท่านอ๋องกระโดดน้ำงั้นหรือ?! ผู้คนรอบด้านส่งเสียงตะลึง “ท่านอ๋องหรือ? เขาคืออ๋องสำเร็จราชการจริง ๆ ? เช่นนั้นที่ถูกดิ่ง คือพระชายาอ๋องจริง ๆ งั้นหรือ?” “ไม่เสียหรอก จะดิ่งผิดคนหรือไรเล่า?” ”สวรรค์” บนบกมีแต่เสียงตะลึง …… ลั่วชิงยวนกินน้ำไปหลายอึก จนนางปลดเชือกบนข้อมือได้ แต่กลับยังมีเชือกบนขาอีกข้างที่ยังแกะมิได้ แต่นางจะกลั้นใจมิไหวแลัว แสงบนหัวยิ่งอยู่ยิ่งห่างไกลจากนาง ราวกับนางถูกลากสู่หุบเหวลึก และจมดิ่งลงเรื่อย ๆ ไม่ทันแล้ว! นางลากก้อนหินหนักอึ้งก้อนนั้น ว่ายขึ้นอ
เขาดีดตัวขึ้น ก็พบกับลั่วชิงยวนที่นอนสลบอยู่ด้านข้างพอดี สีหน้าซีดเผือดของนางทำเขาตกใจ เขารีบเดินขึ้นหน้า กดไปที่หน้าอกของลั่วชิงยวนอย่างแรง ลั่วชิงยวนสำลักน้ำออกมามิน้อย ลั่วชิงยวนลืมตา เห็นเป็นใบหน้าของฟู่เฉินหวน นางรู้ว่าอันตรายได้ถูกถอดถอน นางจึงสลบไปอย่างหมดเรี่ยวแรงอีกครั้ง “นี่!” คิ้วของฟู่เฉินหวนขมวด สลบไปอีกแล้วงั้นหรือ? เขายื่นนิ้วพิสูจน์ลมหายใจนาง เห็นว่านางยังมีชีวิตอยู่ ฟู่เฉินหวนจึงโล่งอก เมื่อครู่ตอนสัมผัสโดนใบหน้านาง เขารู้สึกว่าตัวนางร้อนมาก ๆ ลั่วชิงยวนหนาวจนริมฝีปากเริ่มซีดเผือด ร่างเปียกปอนของนางตากลมหนาวอยู่นาน จึงจับไข้เสียแล้ว คิ้วของฟู่เฉินหวนผูกกันแน่น เขาลุกขึ้นไปมองดูรอบ ๆ บริเวณนี้มีแต่บ่อน้ำตื้น มืดมิดและไร้ซึ่งผู้คน หาทางออกมิเจอ เหล่าเซียวชูก็คงหาพวกเขาไม่เจอในเร็ว ๆ นี้ ดูท่าคงต้องฝืนนอนที่นี่คืนหนึ่งแล้ว เขาไปหากิ่งไม้แห้งและหญ้าแห้ง ก่อกองไฟขึ้นมา เขาย้ายลั่วชิงยวนไปที่ข้างกองไฟ ตัวนางเปียกปอนจึงถอดอาภรณ์ชั้นนอกมาตากผิงให้แห้ง เมื่อตอนสะบัดชุด กลับมีสิ่งหนึ่งหล่นลงมา และกลิ้งเข้าไปในพุ่มหญ้า ฟู่เฉินหวนชะงักเล็กน้อย เดินขึ้นหน
เมื่อฟู่เฉินหวนพลิกตัว ริมฝีปากของเขาโดนหูของลั่วชิงยวนอย่างมิทันตั้งตัว หูของนางแดงก่ำขึ้นมาในทันที วินาทีต่อมา ลั่วชิงยวนล้มลงบนพื้น ส่วนฟู่เฉินหวนกดนางอยู่ใต้ร่างแทน “ท่านมีเหตุผลหน่อยสิ! นั่นคือของหม่อมฉัน!” ลั่วชิงร้อนรนจนใบหน้าแดงก่ำ เหตุใดนางต้องตอบเขามากมายเช่นนั้นด้วย? แต่มือทั้งสองถูกเขาควบคุมไว้ ลั่วชิงยวนถูกกดไว้จนขยับมิได้โดยสิ้นเชิง นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวนที่กำลังโมโห มีแวบหนึ่งที่เขารู้สึกว่านางก็น่ารักดี… แสงไฟตกกระทบบนใบหน้ากลมของนาง แก้มของนางแดงระเรื่อ จมูกจิ้มลิ้ม ดวงตาทั้งบริสุทธิ์และมั่นคง คิ้วของฟู่เฉินหวนขมวดแน่นกว่าเดิม ก็แค่หญิงอัปลักษณ์มิใช่หรือ? เหตุใดเขาจึงมีความคิดเช่นนี้ได้ สายตาของเขาไม่ดี หรือใบหน้าของลั่วชิงยวนเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ กันแน่? เขามิเคยสังเกตมาก่อน ลั่วชิงยวนมิรู้ว่า เหตุใดเขาจึงสติหลุด นางฉวยโอกาสแย่งเข็มทิศมาในทันที ฟู่เฉินหวนได้สติ กำลังจะแย่งกลับมา ลั่วชิงยวนยัดเข็มทิศเข้าไปในหน้าอกทันที มือที่จะแย่งของของฟู่เฉินหวนชะงักอยู่เหนือหน้าอกของนาง มุมปากของลั่วชิงยวนกระตุกเ
"ใช่ แสดงความฉลาดของเจ้าออกมาสิ" "เจ้าน่าจะรู้ว่าตัวเองควรทำกระไรมิใช่รึ" ทั้ง ๆ ที่ฟู่เฉินหวนน้ำเสียงเย็นชา แต่กลับทำให้โทสะท่วมท้นจิตใจของลั่วชิงยวนซึ่งทำให้นางต้องรีบสะกดกลั้นเอาไว้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฟู่เฉินหวนมีความคิดที่จะรวบอำนาจ ถึงแม้ว่านางจะขอเงินเพียงแค่พันตำลึงจากแม่ทัพใหญ่ฉินเป็นรางวัล แต่เรื่องนี้แม่ทัพใหญ่ฉินย่อมต้องมีเงื่อนไขอยู่แล้วซึ่งก็เท่ากับว่ามีเงื่อนไขกับตำหนักอ๋องไปด้วย ต่อให้ฟู่เฉินหวนไม่เอ่ยปาก แม่ทัพใหญ่ฉินก็จะกลายเป็นกำลังพลส่วนหนึ่งของฟู่เฉินหวนโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นนางจึงยกยิ้มมุมปากแล้วค่อย ๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างขึ้นมาว่า "ได้! หม่อมฉันช่วยท่านอ๋องก็ได้" "แต่ท่านอ๋องต้องให้สัญญากับหม่อมฉันข้อหนึ่งก่อน" เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็มีวี่แววประหลาดใจพาดผ่านดวงตา จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว "สัญญาเรื่องอันใด?" คงไม่ใช่เรื่องถุงหอมของมารดานางอีกหรอกนะ เขาทดสอบลั่วเยวี่ยอิงมาหลายครั้งและนางก็เอาถุงหอมมาหลอกตนอยู่หลายครั้งหลายครา แต่นางกลับไม่เคยมอบให้ลั่วชิงยวน มิหนำซ้ำยังแสร้งโง่อีกต่างหาก เขาไม่อาจฝืนใจรับเอาไว้ได้ ฉะนั้นของสิ่ง
คราวนี้นางเกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว เป็นความสะเพร่าของนางที่ตอนนั้นมัวแต่หมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องรักษาดวงตาของฉินไป๋หลี่ โดยหารู้ไม่ว่าตนเองกำลังจะประสบเคราะห์ร้าย ฟู่เฉินหวนมองป้ายสัญลักษณ์ด้วยความตะลึงงันพลางพึมพำว่า "ตระกูลหลิว..." ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมุ่น "ท่านอ๋อง ท่านพูดว่าตระกูลหลิวเช่นนั้นหรือ?" "หลิวฮุ่ยเซียง?" พอฟู่เฉินหวนรู้ตัวก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "เจ้าได้ยินผิดแล้ว ข้าจะไต่สวนเรื่องหอชิงเฟิงเอง เจ้าไม่ต้องมายุ่งหรอก" ฟู่เฉินหวนเก็บป้ายสัญลักษณ์ไปโดยไม่ส่งคืนให้แก่ลั่วชิงยวน ลั่วชิงยวนคิดว่าคราวนี้เกือบจะเกิดเรื่องขึ้นกับฟู่เฉินหวนเข้าแล้ว ต่อให้เขาไม่ได้ช่วยนางแก้แค้น แต่ก็น่าจะต้องระบายโทสะด้วยการหาตัวผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ออกมาให้จงได้ ฉะนั้นนางจึงไม่ได้ขอป้ายสัญลักษณ์คืน นางขดตัวกับกองไฟเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่นานศีรษะก็ชักจะเริ่มหนักเพราะทนความง่วงงุนไม่ไหว นางจึงล้มตัวลงนอนขดกับพื้นแล้วหลับไป ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้อยู่เป็นนาน เมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่าลั่วชิงยวนได้หลับไปเสียแล้ว ทว่ายามราตรีอากาศหนาวเหน็บ แ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน