ใต้เท้าเหอตอบว่า “ยืนยันตัวตนของพวกเขาได้มิต้องกังวลไปหรอก แต่ก็ยังคงต้องแกะรอยทุกคนที่มาในวันนี้” ลั่วชิงยวนพยักหน้าและกำลังจะออกไป จู่ ๆ ก็พลันนึกถึงผู้ใดสักคนขึ้นมาได้ “จริงด้วยสิ ท่านลองตรวจสอบหลิวซิงเหอเจ้าของสวนเซียงอู๋ดูสิเจ้าคะ คนผู้นี้มีบางอย่างมิชอบมาพากล!” “แต่หาอย่าได้กระโตกกระตากไป” ใต้เท้าเหอดวงตาเป็นประกาย “เข้าใจแล้ว” ลั่วชิงยวนออกจากคุกแล้วลอบออกทางประตูหลังของจวนใต้เท้าเหอ ค่ำมืดดึกดื่นและถนนก็เงียบสงัดยิ่ง ลั่วชิงยวนลอบเข้าไปในจวนมหาราชครู นับตั้งแต่ท่านมหาราชครูจากไป จวนมหาราชครูก็ร้างไร้ผู้คน ประตูปิดสนิทและบ่าวเฝ้าประตูก็ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว ลั่วชิงยวนมาถึงเรือนชั้นในโดยไร้ซึ่งอุปสรรค เมื่อเห็นนอกห้องยังจุดโคมอยู่ นางจึงลอบเข้ามาใกล้ ๆ เสียงร้องไห้ของลั่วอวิ๋นสี่ดังขึ้นมาจากในห้อง “ท่านแม่! ตอนนั้นท่านลงโทษข้าเพราะลั่วชิงยวนก็แล้วไปเถอะ ทว่ายามนี้เพียงเพราะสตรีจากหอนางโลม ไฉนท่านต้องช่วยนางด้วยเล่า?” “ข้ามิได้ทำอันใดผิด! ในสายตาของท่าน ข้ายังสู้นางคณิกาคนหนึ่งมิได้เชียวหรือ? ไยท่านจึงคิดว่าข้าเจตนาทำร้ายนางเล่า?” “ข้าเป็นบุตรีของท่านนะ ในใจข
ลั่วอวิ๋นสี่ตัวสั่นสะท้านรุนแรงและรู้สึกตกใจสุดขีด เมื่อนางหันกลับไปก็เห็นฝูเสวี่ย แข้งขาของนางพลันอ่อนยวบจนต้องรีบเกาะโต๊ะเอาไว้ “เจ้า!” “เจ้าแหกคุกออกมากระนั้นหรือ?” ท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิด ฝูเสวี่ยที่ลอบปรากฏตัวในห้องของนาง และหน้ากากชิ้นนั้นชวนให้ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกมิถูก ลั่วชิงยวนค่อย ๆ เดินเข้ามา จากนั้นลั่วอวิ๋นสี่ก็หวาดกลัวเสียจนถอยหลังอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า “เจ้าคิดจะกระไรกันแน่? อย่าเข้ามานะ! ที่นี่คือจวนมหาราชครู หากเจ้าแน่จริงก็ลงมือสิ...” “อ๊า!” ก่อนที่ลั่วอวิ๋นสี่จะทันได้เอ่ยวาจาข่มขู่ให้จบ ลั่วชิงยวนก็พลันตะปบเข้าที่ลำคอของนาง เรี่ยวแรงช่างมหาศาลเสียจนลั่วอวิ๋นสี่มีเวลาทันให้ได้กรีดร้องเท่านั้นแล้วก็ส่งเสียงไม่ออกอีกต่อไป นางปัดป่ายมือเท้าพลางดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ความหวั่นเกรงต่อความตายพุ่งเข้ากลืนกินตัวนาง ทำเอาลั่วอวิ๋นสี่ถึงกับจิตใจสั่นสะท้าน ลั่วชิงยวนใช้มืออีกข้างคว้าข้อมือของลั่วอวิ๋นสี่เอาไว้ จากนั้นก็สังเกตเห็นรอยเลือดสีแดงสดที่อยู่ข้างในข้อมือของอีกฝ่าย “ลั่วอวิ๋นสี่ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง จงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้
“กินโอสถตามเทียบยาของข้าวันละถ้วยประมาณครึ่งเดือนก็จะขจัดพิษออกจากร่างกายได้” ลั่วอวิ๋นสี่รับเทียบยามาด้วยสีหน้าซีดขาว “เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปรับโอสถ” ลั่วอวิ๋นสี่รู้สึกลังเลใจ เพราะมิทราบว่าควรจะขอบคุณดีหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าการที่ฝูเสวี่ยช่วยเหลือตนจะต้องมีจุดประสงค์เป็นแน่ “มิได้หรอก ให้คนไปรับโอสถมาต้มยาเดี๋ยวนี้เถอะ” ลั่วชิงยวนมีท่าทีแน่วแน่และไม่คิดจะลุกจากไป ลั่วอวิ๋นสี่ลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ออกไปเรียกคน สั่งให้คนไปรับโอสถแล้วต้มยา นับตั้งแต่ต้นจนจบ ลั่วอวิ๋นสี่มิปล่อยให้ผู้ใดมองเห็นลั่วชิงยวนที่กำลังนั่งอยู่ในห้อง ผู้ที่ไปรับโอสถจากไปแล้ว โดยมีลั่วอวิ๋นสี่กับลั่วชิงยวนนั่งอยู่ตรงโต๊ะ ลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้วแล้วเอาแต่นิ่งเงียบ บรรยากาศทวีความกระอักกระอ่วนขึ้นเรื่อย ๆ ทว่ากลับมิทราบว่าจะเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นจากตรงไหนดี ลั่วชิงยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า “หลังจากกินโอสถถ้วยแรกไปแล้ว คืนนี้ความทรงจำของเจ้าก็จะค่อย ๆ ฟื้นกลับคืนมา แต่อาจยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง” “ลำพังด้วยร่างกายของเจ้า คงต้องใช้เวลาถึงสี่ห้าวันกว่าความทรงจำจะกลับคืนเป็นปกติ” “แต่ข
เมื่อลั่วชิงยวนมองไปที่ประตู นางก็เห็นหลายคนถือโคมไฟเข้ามาในเรือน ดูเหมือนว่าท่านอาลั่วหรงจะมาแล้ว “ข้าต้องไปก่อน! เจ้าจงจดจำคำของข้าไว้ให้มั่น อย่าได้เล่าเรื่องคืนนี้ให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด!” “รวมทั้งมารดาและคนรักของเจ้าด้วย!” “เจ้ามีเจตจำนงสังหารอยู่แล้ว หากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา จะต้องมีคนตายมากกว่าหนึ่งศพ!” ลั่วชิงยวนเห็นมีดดาบเล่มสีดำสนิทตรงหว่างคิ้วของลั่วอวิ๋นสี่ยังคงอยู่ตรงนั้น นี่อาจจะเป็นเคราะห์หนักของลั่วอวิ๋นสี่ก็ได้ หากนางผ่านพ้นไปได้โดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน เช่นนั้นเคราะห์กรรมสลายไป หากนางผ่านพ้นไปมิได้ นางคงได้เดือดร้อนหนักเป็นแน่! ลั่วอวิ๋นสี่หาใช่เพียงผู้เดียวที่ได้รับผลกระทบไม่ ในยามนั้นเอง ลั่วอวิ๋นสี่ก็รู้สึกตะลึงงัน ไฉนวาจาเหล่านี้จึงฟังดูคุ้นหูนัก? ใช่ฟังดูคล้ายกับสิ่งที่ลั่วชิงยวนเคยกล่าวไว้หรือไม่? ฝูเสวี่ยผู้นี้ทำนายดวงชะตาไม่เป็นมิใช่หรือ นางเป็นแค่นางรำจากหอนางโลมเท่านั้น ไฉนนางจึงได้เอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา? “ข้าเข้าใจแล้ว” ลั่วอวิ๋นสี่ตอบพลางขมวดคิ้วแน่น นางมองผู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเคร่งเครียดยิ่ง ราวกับว่านางอยากจะเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากา
นางกลับมาที่ห้องขังก่อนยามฟ้าสาง ใต้เท้าเหอพยายามสุดความสามารถเพื่อไต่สวนจ้าวต้าเปียวที่อยู่ในคุกและหาหลักฐานอยู่ตลอดทั้งคืน “ใต้เท้าเหอ ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ” ขณะที่ลั่วชิงยวนเดินผ่านห้องไต่สวน นางก็พยักหน้าให้ใต้เท้าเหอ ใต้เท้าเหอเองก็พยักหน้าให้พลางรู้สึกโล่งอกที่เห็นนางกลับมา ช่างบังเอิญที่ยามนั้นได้ยินเสียงไก่ขันขึ้นทางด้านนอกพอดี “ก่อนฟ้าสางก็คือก่อนฟ้าสางจริง ๆ ช่างตรงเวลานัก” ใต้เท้าเหอนวดคึงดวงตาที่อ่อนล้าแล้วเตรียมที่จะไปพักผ่อน “ไต่สวนต่อไป แต่ระวังอย่าทรมานคนจนถึงตายเล่า” เมื่อลั่วชิงยวนกลับมาที่ห้องขัง นางก็นั่งขัดสมาธิรอฟังข่าว หากพยานที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวเหล่านี้ถูกข่มขู่หรือไม่ก็ติดสินบน ขอเพียงไต่สวนให้ละเอียดรอบคอบก็จะพบหลักฐานเอง แต่เรื่องนี้ต้องใช้เวลา อีกอย่างลั่วเยวี่ยอิงกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็ย่อมไม่มีทางให้เวลาแก่นางเป็นแน่! นางหลับตาลงแล้วงีบหลับไป หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนยกอาหารมาให้ “ได้เวลากินข้าวแล้ว” อีกฝ่ายหยิบอาหารออกมาจากกล่องอาหารทีละจาน ๆ พลางเอ่ยเตือนขึ้นมาอีกครั้งว่า “ได้เวลากินข้าวแล้ว” แต่ลั่วชิงยวนก็ยังมิยอมลืมตา
ณ ตำหนักอ๋อง ห้องตำรา “ท่านอ๋อง มีข่าวจากในคุกว่ามือสังหารพยายามที่จะกำจัดฝูเสวี่ย แต่... ฝูเสวี่ยกลับต้องพิษพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้เข้า มือที่ถือรายงานลับของเขาก็สั่นเทาอยู่บ้าง “ต้องพิษหรือ? นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?” ซูโหยวตอบว่า “นางยังมีชีวิตอยู่พ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าเหอรีบเรียกหมอทันที ว่ากันว่ามิใช่พิษร้ายแรงอันใด แต่นางก็ยังมิได้สติ ท่านอ๋อง พระองค์อยากจะส่งหมอไปตรวจดูอาการที่คุกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยเสียงทุ้มขึ้นมาว่า “มิต้องหรอก นางกำลังประวิงเวลาอยู่” เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากเห็นหน้าค่าตาของพวกมันชัดเจนแล้ว ลั่วชิงยวนจะโง่เสียจนยอมกินอาหารที่มือสังหารเอามาส่งให้ นางต้องพิษทว่ามิตาย ฉะนั้นนางจึงได้แต่แสร้งทำเป็นต้องพิษเพื่อยื้อเวลา “ประวิงเวลาหรือพ่ะย่ะค่ะ? แม่นางฝูเสวี่ยกำลังรอผู้ใดกัน? หรือนางกำลังรอคอยข่าวคราวบางอย่างกันแน่?” ซูโหยวรู้สึกสับสน นางรำธรรมดาสามัญจากหอนางโลมจะมีความคิดเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะแล้วเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เรื่องที่สั่งให้เจ้าไปสืบ มีความคืบหน้าอันใดบ้างหร
ใต้เท้าเหอกล่าวด้วยท่าทีจนใจ “เจ้าจะสนใจเรื่องพวกนี้หาปะไร? ขอเพียงทุกอย่างเรียบร้อยก็เป็นพอ” “รีบกลับเข้าคุกไปก่อนที่จะมีใครมาพบเข้าเถอะ” ใต้เท้าเหอเอ่ยเร่งให้นางกลับเข้าไปในคุก หลังจากวันนั้น ทุกอย่างก็สงบไร้คลื่นลม ก่อนเที่ยงวัน อู๋อิ่งรีบเข้ามาในคุกภายใต้การตระเตรียมของใต้เท้าเหอ เมื่อใต้เท้าเหอได้ยินคำไต่สวนเรื่องของหลิวซิงเหอ เขาก็รู้สึกสับสนยิ่งนัก “ข้าส่งคนไปสืบดูแล้ว อัครเสนาบดีลั่วจ่ายเงินชดเชยให้หลิวซิงเหอแทนลั่วเยวี่ยอิงถึงห้าหมื่นตำลึง เรื่องนี้ก็เป็นอันจบลง หลิวซิงเหอมิได้คิดจะสืบสาวราวเรื่องที่สวนเซียงอู๋เกิดเหตุเพลิงไหม้อีก” “มิหนำซ้ำพื้นเพของหลิวซิงเหอเองก็ช่างแสนจะธรรมดายิ่ง หามีอันใดน่าสงสัยไม่” อู๋อิ่งกล่าวว่า “หลิวซิงเหอสารภาพกับข้าว่าเขาขายสวนเซียงอู๋ไปเมื่อห้าปีก่อน ผู้ซื้อที่อยู่เบื้องหลังสวนเซียงอู๋มิต้องการเปิดเผยตัวตน ดังนั้นภายนอกเขาจึงยังคงเป็นเจ้าของสวนเซียงอู๋” “ตอนที่สวนเซียงอู๋เกิดเหตุเพลิงไหม้ เขามิได้สูญเสียอันใดเลย ฉะนั้นย่อมมิเสียใจอยู่แล้ว” เมื่อใต้เท้าเหอได้ยินเช่นนี้เข้าก็รู้สึกตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?” อู๋อิ่งเหลือบมอ
“เจ้าคิดจะกลับคำให้การหรือ? เพราะเหตุใดกัน? ฝูเสวี่ยผู้นั้นเกือบสังหารเจ้าอยู่แล้วนะ! นางข่มขู่เจ้าใช่หรือไม่? นางเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าปวดศีรษะใช่หรือไม่?” สวีซงหย่วนมองนางด้วยสายตาตื่นตะลึงพลางรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง “เพราะฝูเสวี่ยมิใช่ผู้ที่ทำร้ายข้า แต่เป็นลั่วเยวี่ยอิงต่างหากเล่า! ลั่วเยวี่ยอิงมิเพียงแต่ทำร้ายข้า นางยังคิดจะยืมมือข้ากำจัดฝูเสวี่ยอีกด้วย!” “พี่สวี รีบพาข้าไปที่ศาลาว่าการเร็วเข้า! อย่าให้ท่านแม่รู้เรื่องนี้เป็นอันขาดนะเจ้าคะ!” ลั่วอวิ๋นสี่คว้าแขนของสวีซงหย่วนด้วยท่าทีร้อนใจ จากนั้นก็ขอร้องให้เขาพาไปที่ศาลาว่าการ ทว่าสวีซงหย่วนกลับขมวดคิ้ว “อวิ๋นสี่ เจ้าเจอฝูเสวี่ยใช่หรือไม่? นางแหกคุกออกมากระนั้นหรือ?” “เจ้าอย่าถูกนางหลอกเป็นอันขาดเชียวนะ! หากเจ้าไปกลับคำให้การที่ศาลาว่าการ มิเท่ากับว่าทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนหรอกหรือ?” “อวิ๋นสี่ เจ้ามิสบายก็ควรจะพักผ่อนให้ดีเสียก่อน” สวีซงหย่วนดันลั่วอวิ๋นสี่ให้นอนลงกับเตียงแล้วห่มผ้าให้นาง ศีรษะของลั่วอวิ๋นสี่ทั้งสับสนและปวดตุบ ๆ ชวนให้รู้สึกไม่สบายยิ่ง “พี่สวี นี่เป็นเรื่องสำคัญ ข้าต้องไปเจ้าค่ะ!” “หวกท่านมิพาข้าไป
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน