ลั่วชิงยวนหันหลังเดินจากไปคืนนี้นางจะมาที่นี่เพื่อดูให้รู้ว่าเขาเป็นคนหรือผีกันแน่!หลังจากก้าวออกไปนางบังเอิญไปพบกับฟู่เฉินหวนที่ลานตำหนัก เมื่อฟู่เฉินหวนรู้ว่าหมอกู้กลับมาแล้ว เขาก็เอ่ยปากสั่งทันที “หมอกู้กลับมาได้ทันเวลาพอดี รีบไปแจ้งให้เขามาตรวจดูอาการบาดเจ็บของลั่วเยวี่ยอิงเร็วเข้า”ต้องการให้หมอกู้ที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนหรือผี มารักษาอาการบาดเจ็บของลั่วเยวี่ยอิงงั้นหรือ?เดิมทีนางอยากจะบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับหมอกู้แต่หลังจากคิดดูแล้วนางก็เปลี่ยนใจ ลั่วเยวี่ยอิงจะอยู่หรือตายล้วนมิเกี่ยวอันใดกับตนจะได้ดูด้วยว่าหมอกู้มีทักษะทางการแพทย์หรือไม่ดังนั้น หลังจากที่นางรับใช้ไปเชิญหมอกู้มาแล้ว ลั่วชิงยวนก็เข้าไปในห้องด้วยลั่วเยวี่ยอิงนอนอยู่บนเตียงดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก “พี่หญิง ท่านมาทำอะไรที่นี่?”ลั่วชิงยวนยืนพิงเตียง สังเกตทุกการเคลื่อนไหวของหมอกู้อย่างมิวางตา “มาดูว่าเจ้าจะตายหรือไม่ไงเล่า”ขณะที่ฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาลั่วเยวี่ยอิงก็เริ่มไอหนักขึ้นทันทีฟู่เฉินหวนหันหน้าไปมองไปลั่วชิงยวน สีหน้าของเขาเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจลั่วชิงยวนเหลือบมองเขาเบา ๆ แล้วมองไปทางอ
ในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนจามออกมาเขาถูจมูก ก่อนจะเห็นซูโหยวกลับมา“เป็นอย่างไร?”ซูโหยวพูดด้วยใบหน้าขมขื่น “ท่านอ๋อง ยาที่พระองค์ทรงให้ส่งไปนั้นถูกพระชายาเททิ้งพ่ะย่ะค่ะ”ทันทีที่เขาได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของฟู่เฉินหวนก็บีบรัดก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที“ท่านอ๋อง?” ซูโหยวตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นท่านอ๋องดูกังวลเพียงนี้“ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถอะ”ซูโหยวออกจากห้องตำราฟู่เฉินหวนรู้สึกหนักใจ เขาต้องเร่งความคืบหน้าและต้องรีบเอาของสิ่งนั้นมาให้ได้เขายังมาที่ประตูห้องของลั่วเยวี่ยอิงด้วยการก้าวเท้าหนัก ๆ การเสแสร้งตบตาเคยเป็นงานง่าย ๆ สำหรับเขา แต่ตอนนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้กลับกลายเป็นเรื่องยากไปเสียได้มันยากจนเขาต้องเตะถ่วงเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงตอนนี้เขายังมิได้รับสิ่งของกลับมาหลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ เขาก็เคาะประตูและเข้าไปในห้องของลั่วเยวี่ยอิง……ลั่วชิงยวนมาที่เรือนทักษิณาอย่างเงียบ ๆ โดยสวมชุดดำคนในห้องดูคล้ายจะหลับสนิท ปราศจากการเคลื่อนไหวเมื่อลั่วชิงยวนเข้าไปในลาน นางหยิบธูปออกมาจุด รอจนกระทั่งควันธูปลอยเข้าไปในห้องนางรออย่างอดทนเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่อยู
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ไม่อาจฟังได้อีกต่อไปนางกัดฟันด้วยความโกรธ หันหลังและจากไปนางรู้ชัดเจนว่าฟู่เฉินหวนมีความสามารถมาก แต่เมื่อนางได้ยินกับหูของตัวเองว่าเขาเพียงหลอกใช้นางเท่านั้น นางกลับแอบรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยลั่วชิงยวนกำหมัดแน่น รีบวิ่งกลับเรือนไปอย่างรวดเร็วภายในห้อง ฟู่เฉินหวนและลั่วเยวี่ยอิงมิได้รู้ตัวเลยว่าลั่วชิงยวนอยู่ในบริเวณนี้ฟู่เฉินหวนกล่าวอีกครั้ง “เยวี่ยอิง ก่อนหน้านี้ข้ามีบางอย่างที่ต้องตรวจสอบ เจ้าช่วยนำถุงหอมของเจ้ามาให้ข้าดูอีกครั้งได้หรือไม่?”ลั่วเยวี่ยอิงสะดุ้งไป จากนั้นจึงพยักหน้ารับแล้วหยิบซองออกมาจากในแขนเสื้อของนาง ถือมันไว้ในมือ และมองดูมันอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสิ่งที่ท่านแม่หม่อมฉันทิ้งไว้ให้ มันคือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่หม่อมฉันมี”“แต่ท่านอ๋องก็เป็นบุรุษที่มีค่ามากที่สุดของหม่อมฉันเช่นกัน”“หากท่านอ๋องต้องการ หม่อมฉันก็ยินดีมอบให้”เมื่อพูดเช่นนั้น ลั่วเยวี่ยอิงก็ยื่นถุงหอมให้ฟู่เฉินหวนหัวใจของฟู่เฉินหวนเต้นรัว เขารับมันไปทันทีแต่ทันทีที่เขารับมา ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึงของข้างในถูกสับเปลี่ยนไปแล้วของที่อยู่ในภาย
“หากกระหม่อมมิใช่หมอกู้ แล้วกระหม่อมเป็นใคร?”รอยยิ้มและน้ำเสียงนั้นเหมือนกับหมอกู้ทุกประการ!คำพูดถัดไปของหมอกู้ทำให้ฟู่อวิ๋นโจวตกใจมากยิ่งขึ้น “กระหม่อมเคยบอกอย่างชัดเจนว่าหากลั่วชิงยวนล่วงรู้ถึงแผนการของท่าน ให้ทำตามแผนของกระหม่อม ฆ่าลั่วชิงยวนเสีย”“เหตุใดตอนนั้นท่านจึงอยากทำร้ายกระหม่อม? กระหม่อมอยู่กับท่านมานาน เทียบกับความผูกพันเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างท่านกับลั่วชิงยวนมิได้หรือ!”หมอกู้มองไปที่ฟู่อวิ๋นโจวด้วยสายตาอันเฉียบคม ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการตำหนิและความเกลียดชังม่านตาของฟู่อวิ๋นโจวหรี่ลง ในขณะนั้นกระดูกสันหลังเสียววาบ เขารู้ทุกเรื่องชัดเจน!มีเพียงเขาและหมอกู้เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ เขาคือหมอกู้จริง ๆ หรือ?ไม่! เป็นไปไม่ได้!ฟู่อวิ๋นโจวหันหลังกลับแล้ววิ่งออกจากห้อง…… กลางดึก เมื่อลั่วชิงยวนกลับมาที่ห้องและกำลังจะพักผ่อน จือเฉาก็รีบมารายงานทันที “พระชายา องค์ชายห้าเสด็จมาเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย “ดึกเพียงนี้แล้ว ให้องค์ชายห้ากลับไปเถอะ ไปเสีย”จือเฉาดูเคร่งขรึมและพูดว่า “แต่องค์ชายห้า… ดูมิค่อยดีนักเจ้าค่ะ”“ดูมิดี
“ไฉนเจ้าจึงตื่นตระหนกเพียงนี้?” จือเฉาหยุดอีกฝ่ายไว้ที่ประตูนางรับใช้ยืนอยู่ที่ประตู คุกเข่าให้ลั่วชิงยวนที่อยู่ในห้อง “พระชายา! คุณหนูรองลั่วอาเจียนออกมาเป็นเลือด อาการของนางร้ายแรงมาก นางกำลังจะตาย บ่าวขอร้องพระชายาช่วยไปดูอาการนางทีเถิดเจ้าค่ะ!”ดวงตาของลั่วชิงยวนเย็นชา เอ่ยปากเสียงเรียบเฉย “เจ้ามาหาผิดคนกระมัง?”นางรับใช้อ้อนวอนอย่างหนักว่า “หมอกู้มิอยู่ในตำหนัก ส่วนท่านอ๋องก็มิได้ประทับอยู่ด้วย ท่านอ๋องทรงมอบหมายให้บ่าวดูแลคุณหนูรอง หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูรอง ท่านอ๋องต้องฆ่าบ่าวเป็นแน่เจ้าค่ะ!”“ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ พระชายา ได้โปรดช่วยบ่าวด้วยเถิดนะเจ้าคะ!”นางรับใช้ยังคงคุกเข่าและตื่นตระหนกอย่างยิ่งลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน “ไป ข้าจะไปดูกับเจ้า”“ขอบพระคุณเจ้าค่ะพระชายา! ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”นางรับใช้ที่ศีรษะท่วมไปด้วยเลือดรีบลุกขึ้นนำทางไปเมื่อนางมาถึงห้อง ลั่วเยวี่ยอิงก็กำลังอาเจียนเป็นเลือดอยู่บนเตียงจริง ๆ อาภรณ์และเครื่องนอนของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉานลั่วเยวี่ยอิงได้รับบาดเจ็บจากคมมีด บาดแผลไม่ลึกและไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ทว่าเหตุใดนางจ
“บ่าวพยายามหยุดนางแล้ว แต่บ่าวมิสามารถเอาชนะพระชายาได้”“หลังจากนั้น คุณหนูลั่วก็เริ่มอาเจียนเป็นเลือด”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของลั่วชิงยวนก็มืดลงจือเฉาตกใจและคว้าคอเสื้อของซูฉิง “นั่นมิใช่สิ่งที่เจ้าพูดตอนที่เจ้ามาขอให้พระชายาช่วยคุณหนูรองลั่วเมื่อครู่นี่! พระชายามิเคยบาดหมางกับเจ้า ไฉนเจ้าจึงโกหกและใส่ร้ายนาง!”ซูฉิงส่ายหน้าด้วยความกลัว สะอื้นเบา ๆ และไม่โต้ตอบหมอกู้มองไปที่ลั่วชิงยวน “พระชายา ท่านจะว่าอย่างไรอีก?”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองดูหมอกู้ด้วยรอยยิ้มเย็นชาบนริมฝีปาก “ท่านนี่รอที่จะฆ่าข้าแทบมิไหวจริง ๆ กระมัง”“ท่านคิดจะฆ่าข้าด้วยการใส่ร้ายข้าเช่นนี้รึ?”การแสดงออกของหมอกู้ยังคงมิเปลี่ยนแปลงและเขาพูดอย่างเย็นชา “ข้ามิเข้าใจว่าพระชายากำลังพูดเรื่องอะไร”“พระชายา โปรดออกจากห้องไปก่อน ข้าต้องการรักษาอาการบาดเจ็บของคุณหนูรองลั่ว”ฟู่เฉินหวนเหลือบมองไปยังลั่วเยวี่ยอิงบนเตียง ร่างนางเต็มไปด้วยเลือดและดูอาการหนักมาก “นางจะเป็นอะไรหรือไม่?”หมอกู้ตอบอย่างนอบน้อม “ทรงอย่าได้กังวลพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง กระหม่อมจะช่วยคุณหนูรองลั่วเอง แม้กระหม่อมจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็
ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา “ไปตรวจสอบหมอกู้ ดูว่าเขาเป็นหมอกู้ตัวจริงหรือไม่”ซูโหยวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่จากนั้นก็พยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”คำสั่งล่าสุดของท่านอ๋องเริ่มแปลกมากขึ้นแต่เขาก็ยังปฏิบัติตามลั่วชิงยวนกลับไปที่ห้องและนั่งลงอย่างเงียบ ๆ สีหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวจือเฉาเมื่อเห็นนางหน้าบูดบึ้งจึงปลอบโยนนาง “พระชายา อย่าทะเลาะกับท่านอ๋องเลยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องแค่เข้าใจพระชายาผิดไปก็เท่านั้น”ลั่วชิงยวนกลับมามีสติอีกครั้ง นางหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองไปที่จือเฉา “ต้นกำเนิดของหมอกู้เป็นเช่นไรกันแน่”“หรือจะมีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่รู้ถึงตัวตนและภูมิหลังของเขา?”ขณะที่นางพูด นางก็พึมพำกับตัวเอง “ในห้องตำราของท่านอ๋องน่าจะมีประวัติของหมอกู้อยู่”จือเฉาตกตะลึง “มิได้หนาเจ้าคะ พระชายา! ห้องตำราถือเป็นสถานที่สำคัญมาก หากท่านคิดขโมยอะไรไป แล้วท่านอ๋องทรงทราบขึ้นมา ท่านอ๋องจะมิปล่อยท่านไปง่าย ๆ เป็นแน่!”ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้ในเวลาต่อมา ลั่วชิงยวนขอให้จือเฉาคอยจับตาดูความเป็นไปของห้องตำราอย่างใกล้ชิด และมองหาโอกาสให้นาง
ลั่วชิงยวนเริ่มค้นหาในประวัติของหมอกู้ทันที โดยมองหาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับหมอกู้หลังจากค้นหามาสักพัก ในที่สุดก็เจอ!กู้หงเจี่ยชาวแคว้นหลี!เมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงกู้หงเจี่ยมาจากแคว้นหลีและพระชายาหลีได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงติดตามอยู่ข้างกายพระชายาหลีตลอดเวลา ต่อมาเขาได้เข้าไปในวังหลวงและทำงานเคียงข้างพระชายาหลีนอกเหนือจากทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขายังรู้วิชาทำนายและฮวงจุ้ยอีกด้วย ทำให้เขาเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพของพระชายาหลีอย่างไรก็ตาม ก่อนเหตุกลียุคในวัง กู้หงเจี่ยถูกส่งตัวออกจากวังหลวงเพื่อไปค้นหายา ดังนั้นเขาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุกลียุคในวังแต่หลังจากกลียุคในวัง กู้หงเจี่ยก็หายตัวไปเป็นเวลาสามเดือน และกลับมาในสภาพได้รับบาดเจ็บตั้งแต่นั้นมา เขาก็ติดตามฟู่เฉินหวนมาโดยตลอดบันทึกไม่มีเบาะแสอะไรมากนัก แต่ลั่วชิงยวนเกิดสนใจกับช่วงเวลาสามเดือนที่กู้หงเจี่ยหายตัวไปเขาไปที่อำเภอชิงฉวีเพื่อรวบรวมยาและหายตัวไปนางวางหนังสือกลับคืนและเตรียมจะออกไปอู๋อิ่งถูกส่งตัวไปแล้ว ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงวางแผนที่จะไปที่อำเภอชิงฉวีเพียงลำพังในตอ
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ