ซีรีส์ชุด ดวงใจรักอ๋องร้าย มี 2 เรื่องในชุดค่ะ 1. กระต่ายน้อยดวงใจอ๋องพยัคฆ์ (อ๋องสี่หลี่หลานหมิง+จินซินซิง) ตั้งแต่เกิดกระทั่งจำความได้ จินซิงซิน รับรู้แค่ว่านางเป็นเพียงบุตรสาวกำพร้าของพ่อค้าตระกูลใหญ่ ชั่วชีวิตน้อยๆ มีเพียงท่านยาย พี่สาวต่างมารดาเท่านั้นที่คอยห่วงใย จนกระทั่งได้เจอกับ หลี่หลานหมิง ผู้มีสมญานามว่าอ๋องพยัคฆ์ที่ผู้คนโจษขานกันว่าโหดร้ายยิ่งนัก สังหารผู้คนเป็นผักปลา แสนเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งจนมิอาจมีผู้ใดใต้หล้าหาญกล้าต่อกร ทั้งสองต้องแต่งงานกันตามบัญชาของโอรสสวรรค์ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย หลี่หลานหมิงจะทำเช่นใดในเมื่อสตรีที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยอย่างชายากระต่ายน้อยกลับเติบโตเพียงแค่ร่างกาย ส่วนสภาพจิตใจนั้นอ่อนด้อยราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน... 2. ดวงใจรักอ๋องเหยี่ยวทะเลทราย (อ๋องสามหลี่ชงเหอ+ฟางถิงถิง) ‘หลี่ชงเหอ’ ฉายาอ๋องเหยี่ยวทะเลทรายผู้แสนเย็นชากับ ‘ฟางถิงถิง’ คุณหนูกำมะลอในบ้านเศรษฐีที่จับพลัดจับผลูให้หนีตามกันทั้งที่ยังเข้าใจผิด เขาอาศัยที่นางความจำเสื่อมบีบคั้น แม้ใจอยากรักแต่ก็ไม่อยากรัก แม้อยากเกลียดก็ทำใจมิได้ เขาจะทำเช่นไรให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายที่ไม่คาดคิด และห้ามใจไม่ให้ตกหลุมลูกกวางน้อยตัวนิ่ม
View More“ได้ยินว่าอีกไม่นานจะมีงานมงคลใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่”
“งานมงคล?”
“เป็นเช่นนั้น”
“คุณชายคุณหนูตระกูลไหนหรือ”
ชายหน้าเหลี่ยมผิวดำแดง กรามนูนเด่นชัด แววตาล่อกแล่กเหลือบมองผู้คนบนโรงเตี๊ยมเห็นว่ามิมีผู้ใดสนใจใครก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์บอก “เรื่องมงคลเช่นนี้ เห็นแก่เจ้าที่เป็นเพื่อนข้าหรอกนะ”
ชายที่ถูกยกยอจนใจฟูจึงกระตือรือร้นเอียงหูไปใกล้ไม่วายถาม “เช่นนั้นเล่ามาเถิด... พี่ชาย”
คนถูกเรียกพี่ชายลอบยิ้มก่อนป้องปากกระซิบ “แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีตา ข้าเกรงว่าเจ้าจะ...”
“หากกลัวข้าเอาไปพูดต่อ คราวหน้าก็อย่าเอามาเล่าให้ข้าฟัง... เหอะ!” ชายร่างอ้วนเอ่ยวาจาฉุนเฉียว วงหน้ากลมดุจลูกพุทธาเริ่มออกสีแดงก่ำเพราะอากาศร้อนจนพานหงุดหงิดอีกทั้งไม่ได้คำตอบที่คาใจเพราะคนที่บอกว่าเพื่อนทำราวกับไม่เชื่อกัน มืออวบอ้วนกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะก่อนโยนเศษเงินลงบนโต๊ะทันที
“ใจเย็นก่อน เรื่องนี้เด็ดจริงๆ นา”
“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเล่าแล้ว ข้ามิได้อยากรู้”
ชายหน้าเหลี่ยมดวงตาโหลลึกหนวดเคราเป็นระเบียบที่เพิ่งถูกเอ็ดอึงใส่ส่งแววตาเจ้าเล่ห์ไปยังชายหนุ่มชุดสีดำสนิทสวมหมวกปีกกว้างครอบทับผ้าบางสีดำนั่งอยู่ถัดไปไม่ไกลก่อนจะกระตุกยิ้มพึงพอใจ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้จึงเอนตัวเข้าหาคู่สนทนาครานี้ร่ายยาว
“หา!”
“เป็นเรื่องจริง”
“สมรสพระราชทานระหว่างอ๋องสี่หลี่หลานหมิงผู้เย็นชากับคุณหนูตระกูลจินนะรึ” ชายร่างอ้วนถามกลับไม่พอยังตาเบิกกว้างคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อละล่ำละลักถามต่อ “คนไหนล่ะ คนพี่หรือคนน้อง”
“ว่ากันตามธรรมเนียมก็ต้องคนพี่ เพราะว่าหากเป็นคนน้องล่ะก็... หึหึ” หยุดคำพูดไว้เท่านั้นทำให้อีกฝ่ายสนใจทันใด “ช่างเถอะๆ อีกไม่นานเกินรอ”
“เช่นนั้นก็เล่าให้ข้าฟังบ้าง“
เมื่อทุกอย่างสมดังความตั้งใจ เรื่องราวจึงพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากของคนเปิดประเด็น ส่วนคนฟังเก็บรายละเอียดทุกอย่างดังที่ต้องการก่อนเอ่ย “เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ เชื่อได้หรือไม่สุดแท้แต่เจ้า ข้าเพียงได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น”
“ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จล้วนเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ครานี้เห็นทีข้าต้องประกาศข่าวงานมงคลนี้ให้รู้ทั่วกัน”
ชายร่างอ้วนผู้ล่วงรู้ความลับของราชสำนักเก็บอาการลิงโลดไว้ไม่มิด มืออวบๆ โบกพัดไล่ความร้อนไปมา ไม่รู้ว่าใจหรือกายสิ่งใดร้อนกว่า ครั้นจะเอ่ยคำพูดต่อก็กลับเป็นว่าอีกฝ่ายหันหลังเดินลงบันไดไปเสียแล้วจึงได้แต่มองตามหลังชายร่างสูงในชุดเทาเข้มที่เพิ่งบอกข่าวให้เขาเมื่อครู่ไปอย่างนอบน้อมแม้อีกฝ่ายจะไม่มีตาหลังมองเห็น
แต่หากจะเป็นเช่นนั้นได้...
เขาก็คงรู้ว่าคำพูดทั้งหมดที่ตั้งจะถูกถ่ายทอดออกไปสู่สาธารณะชนสมดังตั้งใจในไม่ช้า..
ชายชุดดำสวมหมวกปีกกว้างวางเศษเงินลงบนโต๊ะ ดวงหน้าเสี้ยมเผยรอยยิ้มมุมปากที่มองแทบไม่ออกว่ามันคือรอยยิ้มชนิดใดกันแน่ เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาอย่างใจเย็นกระทั่งเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมไปอีกทาง ในใจครุ่นคิดถึงแต่คนที่แสนชิงชังคิดหวังไว้ให้คนผู้นี้ต้องเจ็บช้ำจากการกระทำที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว
หลี่หลานหมิง...
เจ้าคนจองหองอวดดี เป็นแค่อ๋องปลายแถวยังกล้ากำแหง!
เห็นทีความสว่างไสวหยิ่งยโสโอหังเยี่ยงพยัคฆ์ของเจ้าจะต้องถูกดับด้วยความโกลาหลจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรแทบเท้าข้า!
หนึ่งเดือนต่อมา...
ท่าน้ำทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมืองฉู่ ยามอิ๋ว
ก่อนตะวันลับลาแสง หนทางมุ่งสู่ประตูเมืองแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าเดินสวนไปมาจับจ่ายซื้อของเต็มไม้เต็มมือ ดรุณีงามในชุดไหมจีนอ่อนชมพูบางพลิ้ววางหวีไม้ประดับลายดอกไม้ด้วยมุกเล็กสีขาวปนชมพูลงที่เดิมเพราะร่างเตี้ยผอมเพรียวในชุดสีแสดที่วิ่งเข้ามาดึงดูดความสนใจของนางไปก่อน
“คุณหนูรีบกลับกันได้แล้วเจ้าค่ะ ใกล้มืดค่ำแล้วนายท่านจะดุเอา”
“ช้าก่อนเถอะอาติง ข้ายังดูของที่ต้องการไม่หมดเลย” เสียงหวานกังวานออกจากริมฝีปากแย้มยิ้มแต่สีหน้ากลับบ่งบอกความขุ่นเคืองที่ถูกขัดใจ แต่ถึงอย่างไรดวงหน้าแช่มช้อยก็ยังคงงดงามอยู่ดี
“แต่ฮูหยินบอกว่าวันนี้จะมี...”
“ช่างเถอะๆ ข้ากลับไปค่อยแก้ตัวกับท่านแม่ก็ได้”
“คุณหนูใหญ่” สาวใช้ได้แต่อิดออดแต่มิอาจขัดความตั้งใจของผู้เป็นนายได้
จินฮุ่ยอิงละสายตาจากสาวใช้กลับมายังเป้าหมายที่มองไว้ก่อนหน้า รีบเดินเข้าไปด้านในร้านที่ลมพัดพลิ้วสีสันของเนื้อผ้าบางเบาเป็นที่ต้องใจ อึดใจต่อมาจึงปรากฏร่างสูงกำยำของบุรุษผู้หนึ่งเดินตามเข้าไป
“อาติง เจ้าดูสิว่าชิ้นนี้เหมาะกับซิงซินของข้าหรือไม่” นางเอ่ยถาม ครั้นไร้เสียงตอบรับจึงหันไปหา “ข้าถามว่า... อ๊ะ!”
“แม่นางผู้นี้คือ...”
“จินฮุ่ยอิง”
นางเผลอตอบเสียงอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัว แม้กระนั้นก็มิอาจขัดขืนเมื่อเขารั้งนางไว้จากด้านหลัง กระทั่งอีกฝ่ายปล่อยมือจินฮุ่ยอิงจึงพลิกตัวหันกลับมาเผชิญหน้าจึงพบคนผู้นี้ส่งยิ้มบาดใจมาอีกครา
“ยินดีที่ได้พบแม่นางจิน เจ้าช่างงดงามอย่างที่ข้ามิเคยพานพบผู้ใดในเมืองฉู่เสมอเหมือน”
“คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว ข้าขอตัว”
จินฮุ่ยอิงผละออกมาไม่พูดพร่ำทำเพลง นางตระหนกแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าคนผู้นี้มิใช่เสี่ยวติงบ่าวประจำตัวแต่กลับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามไปแทนเสียได้
ฟางถิงถิงก้มหน้าซ่อนอาย เพราะเหตุการณ์คราวนั้นทำให้นางได้พบกับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีและเกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย เรียกได้ว่านางกับเขาผูกพันกันเหตุจากความเข้าใจผิดทั้งเพ“มิน่า พี่สามถึงชอบเจ้า” “เขาชอบแกล้งมากกว่าเพคะ ขนาดจะพาหม่อมฉันมาที่นี่ยังหลอกล่อหม่อมฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ฟางถิงถิงหน้างอง้ำด้วยความน้อยใจ แต่ก็คลายสีหน้าลงเมื่อสบตาชายากระต่ายน้อยผู้แสนงดงาม “แต่หม่อมฉันดีใจนะเพคะที่ในที่สุดก็ได้รู้สถานะที่แท้จริงของตัวเอง ท่านอ๋องเมตตาหม่อมฉันไม่ผลักไสก็พอใจแล้ว” “เขาหรือจะกล้าผลักไสเจ้า” จินซิงซินว่าจบก็หัวเราะขบขัน ครั้นเห็นสีหน้าฉงนของคนฟังจึงเอ่ยต่อ “ลืมบอกไปเลยว่าเมื่อครู่ข้าเจอท่านหมอถัง เห็นว่าหลงหลงไม่ค่อยสบายอาการแย่เอาการ เจ้าควรไปดูใจมันนะ”“หลงหลงป่วยหรือเพคะ! เหตุใดหม่อมฉันไม่รู้” ฟางถิงถิงถึงกับกระวนกระวายก่อนเอ่ยน้ำเสียงตื่น “หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”“เจ้าไปเถอะ”จินซิงซินเอ่ยยิ้มๆ จ้องร่างอรชรของพี่สะใภ้ที่อ่อนวัยกว่าเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับไปทางตำหนักพิรุณเพื่อเยี่ยมเหยียนชิวอี้ ท่านยายสุดที่รักของนางที่บัดนี้มีสถานะเป็นพระมารดาของหลี่ชงเหอเสียแล้ว ฟางถิงถิงร้อ
เหยียนชิวอี้หัวเราะเบาๆ พยักหน้าก่อนตอบ “คุณหนูของแม่รับมือได้ยากแต่หากนางรักใครแล้ว คนนั้นจะมีความสุขมากทีเดียว ยังไงแม่ก็ฝากเจ้าดูแลคุณหนูผู้มีพระคุณของแม่ด้วยนะ หากมิได้คุณหนูป่านนี้แม่คงตายไปนานแล้ว” “เพคะ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านอ๋องไม่อยู่เช่นนี้ หม่อมฉันย่อมมีหน้าดีดูแลแขกเหรื่อแทนท่านอ๋องมิให้ขาดตกบกพร่องเลยเพคะ”ฟางถิงถิงตกปากรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนจะขอตัวจากไป “โธ่ เด็กคนนี้ไม่ฟังข้าพูดให้จบก็ไปเสียแล้ว ใครบอกเจ้ากันว่าชงเหอยังไม่กลับมา เขากลับมาแล้วแค่ยังไม่เจอเจ้าเท่านั้นเอง เฮ้อ! ใจร้อนจริงเด็กคนนี้” เหยียนชิวอี้ได้แต่มองตามพลางส่ายหน้าระอาแต่ก็มีรอยยิ้มผุดบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ฟางถิงถิงรีบรุดไปยังสถานที่ที่บัดนี้ดัดแปลงพื้นที่บริเวณรอบสระบัวเป็นสถานบำบัดและดูแลสัตว์ทะเลทรายรวมถึงคอกม้านานาพันธุ์ล้อมรอบด้วยแปลงดอกไม้และบางส่วนเป็นแปลงหญ้าที่ใช้สำหรับเป็นอาหารม้าและสัตว์อื่นๆ นางหยุดยืนมองป้ายสวนสัตว์ของถิงถิงที่เขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดนางก็ทำสำเร็จและสวนสัตว์แรกแห่งแคว้นชิงก็จะได้
“ข้าไม่ยินยอม” นางเอ่ยทันทีไม่มีบิดพลิ้วก่อนจะไล้นิ้วที่ท้องน้อยเบาๆ “ลูกเราก็คงไม่ยินยอมเช่นกัน”“เช่นนั้นขอเพียงเจ้ายินยอมอยู่ที่นี่เป็นชายาข้า ข้าสาบานว่าจะรักและให้เกียรติเจ้าตราบจนกว่าชีวิตจะหาไม่”“อย่าสาบานแต่จงใช้การกระทำ”นางว่าเพียงนั้นก็ดึงคอเสื้อร่างสูงบึกบึนโน้มลงมาแล้วประทับริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากของเขาแนบแน่นหลี่ชงเหอถึงกับงันไปแต่หัวใจก็พองโตจนเกินบรรยาย ไม่ปล่อยให้ลูกกวางน้อยในอ้อมกอดนำพารสจูบหวานซ่านใจเหยียนชิวอี้ได้แต่จ้องมองกิริยาของบุตรชายกับสะใภ้ที่ยามนี้กอดกันแนบแน่นก่อนจะค่อยๆ ก้าวตามนางกำนัลที่คอยประคองเดินออกไปจากห้องอย่างเชื่องช้าด้วยความปิติยินดี..ล่วงเข้าฤดูร้อนอีกแล้ว...ฟางถิงถิงได้แต่ครุ่นคิดในใจหลังจากเฝ้ามองดอกจวี๋ฮวาหน้าตำหนักบานสะพรั่งละลานตา ช่วงเวลานี้เมื่อสองปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่นางต้องขบคิดหนักหน่วง เหตุเพราะถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีผลักไสให้ไปไกลตายามนั้นนางเจ็บช้ำน้ำใจยิ่งนัก...ดีที่มีเจ้าก้อนแป้งนุ่มอยู่ในครรภ์ทันท่วงที ทำให้นางสามารถรั้งตำแหน่งชายาจากเขาได้ ดีกว่าต้องกลับไปยังสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแผ่นดินเกิดที่ที่ๆ นางไม่เคยคุ้นแล
“แล้วทำไม ข้าเป็นสตรีชาวหรวนแล้วไม่มีหัวใจรักท่านรึอย่างไร” นางย้อนถามน้ำหูน้ำตาไหลพรากหลี่ชงเหองันไป เขาเข้าใจดีว่าหัวใจรักบังคับมิได้ แต่ถึงอย่างไรน้ำไฟก็ไม่หลอมรวม เจ้ากับข้าก็เช่นกัน”“แต่น้ำไฟก็ส่งเสริมกันได้หรือมิใช่!”“ท่านอ๋อง ไฟยังส่งเสริมน้ำให้อบอุ่นได้ น้ำก็ย่อมดับไฟได้เช่นกัน หม่อมฉันว่า.... เรา”“แต่ต้องมิใช่ข้า” หลี่ชงเหอตัดบท “เจ้าไปเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว”แม้ใจจะเจ็บช้ำแสนสาหัสแต่มิอาจรั้งนางไว้กับตัวได้ เขามิอาจให้อารมณ์เป็นใหญ่เหนือชาติบ้านเมือง มิอาจให้ต้าฮั่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีเขาเป็นผู้ร่วมสร้างไม่มีวัน!ฟางถิงถิงลูบท้องน้อยที่ยามนี้มีทารกน้อยพยานรักของนางและเขาด้วยใจอาวรณ์ สิ้นแล้วความรักที่วาดหวัง นางไม่ควรเลย ไม่ควรรักคนที่มิอาจรักเลย“ท่านอ๋องแค่บอกมาว่าเกลียดข้าแล้วใช่หรือไม่!” นางตะโกนถามย้ำอีกครั้งแต่อีกฝ่ายยังยืนหันหลังนิ่งงันท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟางถิงถิงระเบิดเสียงหัวเราะร้องไห้สลับกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาเป็นระยะ “ก็ได้... หากท่านอ๋องไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าก็จะไป...”ฟางถิงถิงกลั้นใจเอ่ยเสียงแผ่วโหยออกมาอีกครั้งก่อนจะกระโจนลงไ
หลี่ชงเหอรุดเข้าหาร่างชราที่เริ่มอ่อนแรง เขาหยิบสร้อยหยกห้อยคอของไฉ่ชิงเซียนขึ้นมาพิจารณาด้วยสีหน้าตื่นตกใจยิ่ง“เจ้าได้สร้อยหยกนี้มาจากไหน!” หลี่ชงเหอคำรามถามเสียงกร้าวไฉ่ชิงเซียนก็งุนงงไม่แพ้กัน แต่อาการของเขายามนี้เห็นทีแม้แต่เปล่งเสียงพูดยังลำบาก เขาได้แต่จ้องคนด้านบนด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัยก่อนเอ่ย “จะ... เจ้าจะรู้ไปทำไม”“ข้าต้องรู้! บอกมา”“สะ สร้อยนี่... ปะ เป็น เป็น...” ไฉ่ชิงเซียนนึกย้อนไปถึงครานั้น ยามที่ได้รับข่าว“เป็นอะไร!”“เป็นของ... ลูกข้า” ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยเสียงเริ่มขาดห้วง“ลูกกเจ้า! รัชทายาทไฉ่ชิงซีที่หายสาปสูญไปน่ะรึ”“ใช่... ชิงซีลูกข้ากับถิงถิงหลานสาวของข้า พวกเขา... พวกเขา...”“พวกเขาทำไม!... บอกมา!” หลี่ชงเหอตะคอกซ้ำ“พวกเขาถูกปล้นขบวนรถม้า ตะ... ตะ... ตายไปนานแล้ว” ไฉ่ชิงเซียนพูดได้เพียงนั้นสติก็ดับวูบไป“ช้าก่อน!! ตาเฒ่า!!” หลี่ชงเหอตะโกนลั่น “หากสร้อยเส้นนี้เป็นของลูกเจ้าจริง แล้วยังมีอีกเส้นหรือไม่!”“มะ... มี อีกเส้นปะ เป็นของหลานข้าที่หายสาบสูญไป นางคงตายแล้ว... ถิงถิงหลานปู่”ไฉ่ชิงเซียนเอ่ยได้เพียงนั้นก็กระอักลิ่มโลหิตออกมาอีกครั้งก่อนสติดับวูบ“เดี๋ยว!
“ข้าก็รักเจ้าตั้งแต่แรกเห็นที่งานเทศกาลโคมไฟ เจ้าคือโคมดวงใหญ่ที่สว่างไสวในใจข้าตั้งแต่บัดนั้น” เขาเอ่ยเพียงนั้นก็เห็นลูกกวางน้อยที่รักมีน้ำตา จึงโน้มหน้าเข้าหาบดริมฝีปากนางอย่างหิวกระหายดรุณีงามถึงคราวอ่อนระทวยมิอาจหักห้ามใจ นางจ้องลึกเข้าไปในแววตาอีกฝ่ายคล้ายจะค้นหาความในใจ แต่กลับพบเพียงความดำดิ่งแห่งความปรารถนาในตัวนางตอบแทนหลี่ชงเหอจึงเริ่มลำนำบทใหม่ ส่วนฟางถิงถิงก็ให้ความร่วมมือ นางกอดกระชับรอบเอวแกร่งที่ยามนี้ต่างไร้ปราการกั้นขวาง สองร่างก็มิอาจต้านทานความต้องการของตัวเองไปได้นางยินยอมพร้อมใจขับเคลื่อนลำนำรักร่วมกับเขา ยามสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวก็มิหวั่น แม้หยาดเหงื่อแห่งความหฤหรรษ์จะทะลักทลายราวกับกำลังลอยละลิ่วเหินหาวกลางอากาศก็มิอาจนำพากระแสเสี้ยวความเจ็บปวดที่สุขสมไปได้ท่ามกลางความมืดของรัตติกาล มีเพียงแสงดาวทอประกายระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้าที่ดวงจันทร์กลมโตส่องแสงเรืองเรื่ออร่าม ชิงหลงสัตว์เลี้ยงคู่ใจหลี่ชงเหอที่เปรียบเสมือนพยัคฆ์วิหคเหนือท้องฟ้าก็บินฉวัดเฉวียนไปมาราวกับรับรู้ความดื่มด่ำแห่งความรักของทั้งสองไม่รู้คลาย... หลายวันต่อมาที่สนามรบระหว่างแคว้
Comments