หนิงเหอ ในวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้น เธอกลับพบว่าตนเองมาอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดและไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ยุคใดเลย แต่ที่น่าเศร้ามากกว่านั้นคือ ร่างเด็กสาวที่เธอเข้ามาอยู่นั้น เป็นเพียงเด็กสาวอายุ12ปีเท่านั้น แถมครอบครัวของนางก็ยังยากจนมากๆ แม้แต่ข้าวสวยสักชามยังไม่สามารถหากินได้ แต่เมื่อมาอยู่แล้ว เธอก็ต้องยืนหยัดกับความยากจนนี้ต่อไป จนกระทั่งเธอพบว่า โลกที่เธอกำลังอาศัยอยู่นี้ต่างให้ความสนใจกับงานศิลปะและดนตรีเป็นอย่างมาก เธอจึงคิดริเริ่มที่จะให้ฝีมือในการวาดภาพของตนเอง สามารถหาเงินและยกฐานะทางครอบครัวของตนเองขึ้นมาได้บ้าง
View More“หนิงเหอ ๆ”
ใครกัน?
ใครกำลังเรียกเธออยู่?
หนิงเหอรับรู้ได้ถึงแรงเขย่าตัวของเธอที่กำลังหลับใหลอยู่ เธอเพิ่งได้นอนไปเมื่อช่วงเช้านี้เอง ใครกันมาปลุกเธอเอาตอนนี้? แล้วทำไมเธอรู้สึกว่า เสื้อผ้าที่เธอกำลังใส่อยู่ตอนนี้มันเปียกเช่นนี้ หรือมีน้ำรั่ว?
หนิงเหอพยายามฝืนขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งของตนเอง เพื่อดูว่าเสียงของใครกันที่กำลังเรียกเธออยู่?
เพราะแสงสว่างที่ได้รับ ทำให้หนิงเหอหลับตาลงอีกครั้ง เพราะไม่ชินกับแสงแดดในยามนี้ เมื่อกะพริบตาหลาย ๆ ครั้งจนทำให้ดวงตาของเธอสามารถปรับแสงได้ หนิงเหอจึงมองหน้าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของนางอย่างไม่คุ้นเคย
ขณะที่เธอกำลังจะถามออกไปว่าเขาเป็นใคร กลับรู้สึกได้ถึงลำคอที่แห้งสาก จนไม่สามารถถามออกไปได้
“ดีจริง เจ้ารู้สึกตัวแล้ว” เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าดีขึ้น เหมือนกำลังยกภูเขาออกจากอก
“มาเถอะ พี่จะแบกเจ้ากลับบ้าน” ยังไม่ทันให้หนิงเหอได้ตอบตกลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มก็ทำการจับร่างของเธอคร่อมไปที่ด้านหลังของเขา เพื่อให้นางได้ขี่หลังของเขาได้ถนัด จากนั้นเด็กหนุ่มก็แบกนางไปในทิศทางหนึ่ง
หนิงเหอรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ร่างของเด็กหนุ่มที่อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี เหตุใดจึงสามารถแบกร่างนางได้ง่าย ๆ สบาย ๆ เช่นนี้
ก่อนที่นางจะทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น สิ่งรอบข้างก็ทำเอานางรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง นี่มันที่ไหนกัน แล้วเพราะอะไรบ้านเรือนที่นางเห็นอยู่ตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบ้านที่มุงด้วยหญ้าแห้งแต่ละหลังล้วนปลูกอยู่ห่างกัน เหมือนหมู่บ้านชนบทที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาจากรัฐบาล
แต่เท่านั้นยังไม่ได้พอให้นางได้คิดหายสงสัย เมื่อนางสังเกตเห็นว่า ผู้คนที่นั่งอยู่หน้าบ้านเหล่านั้นล้วนสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ เป็นแบบที่นางเคยเห็นในละครย้อนยุคในทีวี นี่นางกำลังถูกตั้งกล้องแอบถ่ายในรายการใดรายการหนึ่งอยู่หรือไม่?
“หลันโจว หนิงเหอ” เด็กหนุ่มแบกเธอมาที่บ้านหลังหนึ่ง เพียงเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงผู้หญิงวัยสามสิบที่ยืนอยู่ตะโกนเรียกทั้งคู่
“ท่านแม่” เด็กหนุ่มที่กำลังแบกเธออยู่เรียกอีกฝ่าย
ท่านแม่? หญิงสาวที่อายุประมาณสามสิบผู้นั้นเป็นแม่ของเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างนั้นหรือ?
ฟู่หลินที่เห็นลูกกลับบ้านมาก็เดินออกมาดู แต่เมื่อเห็นว่าลูกชายของนางแบกน้องสาวออกมา ฟู่หลินก็ตกใจ รีบก้าวเท้ายาวเดินมาหาทั้งสองคน
“เกิดอะไรขึ้น” เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนร่างกายเปียกปอนไปทั้งตัว ฟู่หลินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลันโจวค่อย ๆ วางร่างของหนิงเหอเอาไว้ที่แคร่หน้าบ้าน ก่อนจะมองหน้าผู้เป็นมารดาด้วยความรู้สึกผิด
“ข้าเห็นว่าสายมากแล้ว แต่หนิงเหอยังไม่กลับมา ข้าจึงไปหานางที่ลำธาร แต่เมื่อไปถึงก็พบว่านางหมดสติอยู่ที่ลำธารเพียงลำพัง”
เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวเป็นลมหมดสติอยู่ที่ลำธาร ฟู่หลินก็ตกใจจนหน้าซีดทันที เป็นเพราะนางเองที่ไม่แข็งแรง เรื่องงานบ้านงานเรือนทุกอย่างตอนนี้จึงเป็นบุตรสาวที่ทำแทนทุกอย่าง โดยปกติแล้วหนิงเหอก็มักหน้ามืดบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ถึงกลับเป็นลมหน้ามืดอยู่ที่ลำธารโดยที่ไม่มีใครพบเห็น
โดยยามปกตินั้น จะมีชาวบ้านไปซักผ้าที่ลำธารด้วยเช่นกัน แต่หนิงเหอมักจะไปช่วงสาย ๆ เนื่องจากไม่ต้องการแย่งพื้นที่เบียดเสียดกับผู้อื่น นางจึงมักรอให้คนอื่น ๆ ซักเสื้อผ้าให้เสร็จก่อน จากนั้นนางถึงจะนำตะกร้าผ้าลงไปซักภายหลัง
“หนิงเหอ เจ้าเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ ส่วนตะกร้าผ้า เดี๋ยวให้หลันโจวกลับไปเอาที่ลำธาร” ไม่พูดเปล่า ฟู่หลินเดินเข้ามาพยุงหนิงเหอเอาไว้ ก่อนจะพานางเข้าไปในห้องของตนเองเพื่อเปลี่ยนชุด
หนิงเหอเองไม่ได้ทักท้วงสิ่งใด นางทำตามอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย นั่นเป็นเพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้นางกำลังสับสนงุนงง ตอนนี้ทำได้เพียงไหลไปตามน้ำก่อนเท่านั้น
หลังจากที่เข้าห้องมาด้านใน หนิงเหอจึงมองรอบ ๆ เพื่อสังเกตสิ่งของภายในห้องของตนเอง ห้องของนางกว้างเพียงสี่ตารางเมตรเท่านั้นเอง ด้านในมีเพียงชั้นใส่ของเล็ก ๆ อยู่หนึ่งชั้น และเตียงขนาดสามฟุตอยู่หนึ่งเตียง ฟูกและผ้าห่มถูกพับเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ แม้เครื่องนอนจะดูเก่าและซีดไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็สะอาดและไม่มีกลิ่นอับ
ที่ชั้นด้านข้างเป็นชั้นเสื้อผ้าและมีของมากมายวางเอาไว้ หนิงเหอจึงเลือกหยิบชุดออกมาหนึ่งชุดเพื่อผลัดเปลี่ยน แม้ในตอนแรกจะลำบากอยู่บ้างว่าชิ้นไหนใส่ด้านในหรือด้านนอก แต่เพียงไม่นานเธอก็แต่งตัวจนเสร็จ จากนั้นเธอจึงนำชุดที่เปียกออกมาเพื่อที่จะตากมันด้านนอก ประจวบเหมาะกับที่หลันโจวกลับมาจากลำธารพอดี
หลันโจวที่กลับมาเห็นว่าน้องสาวยืนถือชุดที่เปียกของตนเองยืนอยู่หน้าบ้านโดยคล้ายมองหาอะไรอยู่ เขาจึงเดินเข้ามาหานางเพื่อสอบถาม
“เจ้ากำลังหาสิ่งใด?”
หนิงเหอมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะยกมือเกาแก้มแก้ความเก้อเขินและตอบคำถามอีกฝ่าย
“ข้ากำลังนำชุดที่เปียกไปตาก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องนำไปตากที่ใด…”
“…” หลันโจวมองหน้าน้องสาวด้วยสายตาเบิกกว้าง นางกำลังล้อเขาเล่นอยู่ใช่หรือไม่? จะไปตากผ้าแต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปตากที่ใด? ทั้ง ๆ ที่นางทำมันอยู่ทุกวัน
“หนิงเหอ…เจ้าป่วยหรือ?” หลันโจวยื่นมือออกไปแตะหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดไข้ และปรากฏว่า หน้าผากอีกฝ่ายร้อนอยู่ด้วยเช่นกัน แม้ไม่มาก แต่ก็ทำเอาหลันโจวอดเป็นกังวลไม่ได้
หนิงเหอพยายามนึกหาเหตุผลร้อยแปดในหัวของนางมาตอบอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวขึ้น
“พี่ ฉัน...ข้า…เหมือนข้าจะล้มหัวกระแทกพื้น ข้ารู้สึกว่าข้าจำอะไรไม่ได้เลย….” ในเมื่อนางไม่มีที่จะไปแล้ว คงต้องเล่นบทสมองเสื่อมที่มักจะเจอในหนังที่เคยดูเมื่อก่อนออกมาใช้
ตึก
ตะกร้าผ้าที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายตกลงพื้นทันทีที่นางกล่าวจบ
“เจ้ารออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ามา” ยังไม่ทันที่หนิงเหอจะได้ถามอีกฝ่าย หลันโจวก็หันหลังวิ่งออกไปด้านนอกเสียแล้ว ฟู่หลินที่เห็นลูกชายวิ่งหน้าตั้งออกมาหาตนเองก็ตกใจยิ่ง
“ท่านแม่แย่แล้ว หนิงเหอนางบอกว่านางจำอะไรไม่ได้” หลันโจวเข้ามาหามารดาเพื่อบอกเรื่องที่น่าตกใจ
“อะไรของเจ้า พูดช้า ๆ แม่ฟังไม่เข้าใจ”
เพราะหลันโจววิ่งเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ ทำให้ตอนที่กล่าวประโยคนั้นออกมา ฟู่หลินจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจ
หลันโจวหายใจเข้าออกลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่เขาเจอหนิงเหอที่หน้าบ้านเมื่อครู่ให้มารดาได้ฟัง เมื่อฟู่หลินได้ยินดังนั้น นางก็มีสีหน้ากระวนกระวายทันที
“เจ้าไปตามท่านหมอมู่มาที่นี่ ให้ตรวจอาการนางสักหน่อย”
“แต่ว่า…”
หลันโจวอยากกล่าวคัดค้าน เนื่องจากเมื่อสามวันก่อนที่บ้านเพิ่งจ่ายเงินซื้อยาให้มารดาไป ทำให้ที่บ้านตอนนี้เหลือเงินอยู่ไม่เท่าไร และไม่รู้ว่าค่ายาและค่าตรวจโรคของน้องสาวจะต้องใช้เงินมาเท่าใด เขาจึงมีท่าทางลังเล
“เจ้าไปเถอะ…หากเงินไม่พอ รอพ่อเจ้ากลับมาจากในเมืองค่อยจ่ายเพิ่มให้เขาทีหลัง” แม้จะรู้ว่าค่ายาอาจหลายอีแปะ แต่บุตรสาวของนางก็ไม่สามารถปล่อยเลยตามเลยไม่รักษาได้เช่นกัน ต่อให้นางต้องบากหน้าไปหยิบยืมจากบ้านอื่นมา นางก็ต้องทำ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้น หลันโจวจึงหันหลังวิ่งไปที่อีกฝากของหมู่บ้าน เพื่อตามหมอมาตรวจดูอาการให้น้องสาวทันที
………………………………………………..
ตอนที่ 20 ต้องการสีที่ใช้งานได้หนึ่งเดือนมานี้ ตั้งแต่เฉียนหยาแต่งเข้ามาที่บ้านของครอบครัวกู้ นอกจากงานซักผ้าแล้ว งานอื่นๆ ทุกคนในบ้านล้วนแต่ช่วยเหลือกันทั้งสิ้นกู้หลันโจวเองในช่วงนี้เหนื่อยกว่าทุกคนในบ้านยิ่งนัก เนื่องจากว่า ในยามกลางวัน เขาจะออกไปช่วยที่บ้านของเฉียนต้าหลางลงนาเกี่ยวข้าว กู้เหวินอี้เองก็เช่นกัน กู้อวี้สยงนั้นไม่มีที่ทำกินเหมือนครอบครัวอื่น ตัวเขาจึงมีอาชีพเป็นนายพราน แตกต่างจากครอบครัวเฉียน เฉียนต้าหลางมีพื้นที่ทำกินที่แบ่งกับน้องๆแล้วหลายหมู่ แต่เนื่องจากว่าเขามีลูกสาวเพียงคนเดียวไม่มีลูกชาย ทำให้กู้หลันโจวพากู้เหวินอี้มาช่วยงานกู้หนิงเหอเดินมาที่ท้องนาที่ตอนนี้กำลังมีคนช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวในนาอย่างขะมักเขม้น นางใช้มือทั้งสองข้างแตะเลียนแบบกล้องถ่ายรูป เพื่อใช้สมองของตนเองจดจำภาพ บรรยากาศ และผู้คนที่กำลังทำงานอยู่ในท้องนาเอาไว้ เพื่อที่ว่านางจะได้นำไปวาดรูป“หนิงเหอ เจ้าทำอะไรอยู่หรือ?” เฉียนหยาที่เดินมาด้านหลังถามน้องสามีของนางเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังทำท่าทางแปลกๆ นางจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย“กำลังเก็บภาพเจ้าคะ”“เก็บภาพ? หมายถึงอะไร?”“ข้ากำลังเก็บภาพเหล่านี้
ตอนที่ 19 งานมงคลและแล้วก็ถึงวันมงคลของกู้หลันโจวและเฉียนหยาหนิงเหอตื่นมาตั้งแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวช่วยงาน เพียงฟ้าสางขบวนเจ้าสาวก็มาถึงบ้านของครอบครัวกู้ เฉียนหยาแต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวสีแดงสด ด้านหลังของนางเป็นคนครอบครัวเฉียนที่พากันขนข้าวของสินเดิมเจ้าสาวตามมาเป็นขบวน นอกจากนั้น ยังมีชาวบ้านมากมายต่างมาร่วมแสดงความยินดีด้วยเป็นเพราะพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านในชนบท ที่มีฐานะยากจน ทำให้งานแต่งงานไม่เหมือนในละครที่หนิงเหอเคยดูที่ฝ่ายเจ้าสาวจะนั่งเกี้ยวมายังบ้านของเจ้าบ่าวพิธีการที่จัดขึ้นเป็นแบบเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองมากนัก ทุกคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือในการทำพิธีต่างๆ จากนั้นทางฝั่งของบ่าวสาวก็เปลี่ยนชุดออกมาต้อนรับแขกที่มารวมงาน และดื่มกินสังสรรค์กันจนถึงค่ำ ก็ถึงเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าเรือนหอที่สร้างเสร็จใหม่ เช้าวันรุ่งขึ้นเฉียนหยาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ขึ้นมาเพื่ออุ่นอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงเมื่อวานให้กับคนในบ้านกู้ โดยที่นางไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะหนักหนาอะไรสำหรับนาง กู้หลันโจวก็ตื่นแล้วเช่นกัน เขาเข้าครัวช่วยภรรยาที่พึ่งแต่งเข้ามาได้เพียงหนึ่งวันก่อไฟอุ่นอาหาร บรรยากาศภายในห้องค
ตอนที่ 18 คำตอบของหม่าเจ่าคำตอบของหม่าเจ่า ทำให้สองแม่ลูกครอบครัวกู้กลับไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เมื่อส่งแขกออกไปแล้ว หม่าเจ่าก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง“เพราะเหตุใดเจ้าไม่ตอบรับคำขอเล่า เจ้าก็รู้ใจลูกสาวของตนเองไม่ใช่หรือ?” เฉียนต้าหลางถามภรรยา เรื่องที่เฉียนหยาลูกสาวของตนเอง ชื่นชอบกับเพื่อนเล่นสมัยเด็กอย่างกู้หลันโจว พวกเขาสองสามีภรรยาต่างรู้แก่ใจกันดี“คนพวกนั้นเห็นลูกสาวของเราเป็นตัวอะไร อยากแต่งก็พาแม่สื่อมา ไม่อยากแต่งก็ปฏิเสธพวกเราง่ายๆ” หม่าเจ่ายังคงเสียหน้ากับเรื่องที่ผ่านมาอยู่ นางจึงตอบกลับสามีด้วยน้ำเสียงที่ดัง ทำให้เฉียนหยาที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกได้ยิน“ท่านแม่” เฉียนหยาเรียกมารดาของตนเอง ที่ตอนนี้มีสีหน้าไม่สู้ดีนักหม่าเจ่ามองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองด้วยความหนักใจ สำหรับตัวนางแล้ว ครอบครัวกู้แม้จะยากจนอยู่บ้าง แต่นางที่รู้จักกู้หลันโจวมาตั้งแต่เด็ก ย่อมรู้ดีว่ากู้หลันโจวจะต้องไม่มีวันทำให้ลูกสาวของนางเสียใจอย่างแน่นอน ส่วนลูกชายของหมู่บ้านข้างเคียงที่ส่งแม่สื่อมานั้น ฐานะทางบ้านไม่เลวเลยทีเดียว พ่อแม่สามีเองก็เป็นที่รู้จักของหลายหมู่บ้าน
ตอนที่ 17 มีเงินเพียงพอแล้วกู้อวี้สยงและหนิงเหอเดินออกมาจากร้านหงลู่ฝาง หนิงเหอจึงเสนอความคิดว่า พวกเขาควรซื้อเสบียงอาหารแห้งกลับไปที่บ้านสักเล็กน้อยก่อนกู้อวี้สยงเดินตามลูกสาวของเขาด้วยความเหม่อลอย พร้อมกับเอามือทาบที่หน้าอกของตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะด้านตรงอกของเขาตอนนี้ มีถุงเงินยี่สิบตำลึงอยู่ด้านใน กับอีกถุงเป็นเงินที่เขาขายเนื้อสัตว์มาแม้ว่าจะได้เงินมาเยอะจากเมื่อครู่ แต่หนิงเหอก็ไม่ได้ใช้เงินมือเติบแต่อย่างใด นางจัดแจงซื้อแป้ง ข้าวสาร ธัญพืชที่ที่บ้านไม่มีอยู่แล้วกลับไป“หนิงเหอ นี่พ่อกำลังฝันอยู่หรือไม่?” กู้อวี้สยงหันมาถามลูกสาวที่เดินอยู่ด้านข้าง ทำเอากู้หนิงเหอที่กำลังเดินอยู่ถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้“ฮ่าๆๆ ท่านพ่อ ท่านไม่ได้ฝันไปหรอกเจ้าค่ะ” เพราะตอนนี้ในมือทั้งสองข้างของเขา เต็มไปด้วยข้าวของที่ลูกสาวซื้อกลับมา ทำให้ไม่มีมือจับตรงที่ถุงเงินที่อยู่ภายใต้เสื้อตนเองได้ เขากลัวเหลือเกิน ว่าเมื่อเขากลับไปถึงบ้านแล้วจะรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งของเขาเท่านั้น“มันมีจริงๆ หรือ คนที่ยอมเสียเงินร้อยตำลึงเพื่อพัดเล่มหนึ่งเท่านั้น” กู้อวี้สยงถามขึ้น ไม่ใช่ว่า
ตอนที่ 16 นกข่งเชวี่ยภาพนกข่งเชวี่ย(นกยูง)ตัวผู้ที่ถูกวาดอยู่บนพัด เจิ้งหย่งซีมองมันด้วยสายตาที่สั่นไหว ราวกับว่าเจ้านกที่ถูกวาดอยู่ กำลังลำแพนหางของมันโอ้อวดให้คนที่กำลังมองอยู่ได้เชยชมเจิ้งหย่งซีสังเกตที่หางของมันอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่า ผู้ที่วาดนั้นเก็บรายละเอียดหางของมันด้วยพู่กันที่เล็กที่สุด ไม่น่าเชื่อเลยว่า ภาพวาดที่ละเอียดลออนี้ จะใช้ระยะเวลาในการวาดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น“ไปตามคนส่งของเข้ามา” เจิ้งหย่งซีสั่งลูกน้องคนสนิทของตนเองให้ตามเด็กที่ร้านที่มาส่งของ เข้ามาหาเขา เพราะเขามีคำถามต้องการถามอีกฝ่ายเพียงไม่นาน ด้านหน้าประตูก็ปรากฏร่างของเด็กชายที่มีท่าทางประหม่าเป็นอย่างมากเดินเข้ามา“คารวะนายท่าน” เด็กรับใช้ที่ร้านคารวะอีกฝ่ายความสั่นเกรง“เด็กสาวที่นำของสิ่งนี้มาส่ง ก่อนที่นางจะจากไป นางได้บอกอะไรหรือไม่” เจิ้งหย่งซีมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนถามเสียงเรียบจะกลัวอะไรกันหนักหนา เขาเริ่มไม่สบอารมณ์“ระ.. เรียนนายท่าน แม่นางน้อยผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไร เพราะตอนนี้นางกำลังรอรับเงินอยู่ที่ร้านขอรับ นางบอกว่าต้องการรีบใช้เงิน” ยังอยู่ที่ร้าน?“หลี่หลิน เตรียมรถม้า”“ขอรับ”เมื่อได้ย
ตอนที่ 15 ส่งผลงาน“หลงจู่กล่าวว่า ไก่แต่ละตัว หนักประมาณ 2 จิน ให้ท่านตัวละ 150 อีแปะ ส่วนกระต่ายตัวละ 180 อีแปะ รวมทั้งสิ้น 960 อีแปะขอรับ” เด็กในร้านที่ทำหน้าที่แจกแจงเงินให้แก่กู้อวี้สยงก็พูดจาฉะฉาน เพราะเขาต้องทำเช่นนี้แทบทุกวันกับพ่อค้าเนื้อ หรือแม่ค้าผักที่นำมาส่งที่ร้านเนื่องจากร้านอาหารด้านหลังเป็นจุดรับของที่จะนำมาใช้ทำอาหาร จำต้องมีเด็กวิ่งเข้าออกเพื่อทำหน้าที่นี้ เพราะในครัวไม่สามารถให้คนนอกเข้าออกได้ เด็กคนนี้จึงรับหน้าที่นี้มาหลายปีแล้ว“ขอบคุณเจ้ามาก” เมื่อเห็นว่าราคาที่อีกฝ่ายให้มา เป็นราคาเดียวกับที่เขาคิดคร่าวๆ ไว้ในใจแล้ว กู้อวี้สยงจึงรับเงินที่อีกฝ่ายยื่นให้ และเก็บลงใส่ถุงเงินที่ตนพกมาก่อนมัดถุงไว้อย่างระมัดระวัง และเก็บไว้กับตนเอง“เราไปกันเถอะ” กู้อวี้สยงหันมาส่งยิ้มให้กับบุตรสาวก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินไปทางถนนอีกเส้นหนึ่งที่อยู่คนละทางกับร้านอาหารแห่งนี้เนื่องจากตัวเมืองนี้มีถนนเส้นใหญ่อยู่สองเส้น เส้นแรกเป็นเส้นที่ร้านอาหารที่เขาไปเมื่อครู่ตั้งอยู่ ส่วนอีกเส้นเป็นเส้นที่ร้านหงลู่ฝางตั้งอยู่ เพียงมองดูก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่า ถนนทั้งสองเส้นนั้นต่างกันอย่างไร ถนน
Comments