หนิงเหอ ในวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้น เธอกลับพบว่าตนเองมาอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดและไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ยุคใดเลย แต่ที่น่าเศร้ามากกว่านั้นคือ ร่างเด็กสาวที่เธอเข้ามาอยู่นั้น เป็นเพียงเด็กสาวอายุ12ปีเท่านั้น แถมครอบครัวของนางก็ยังยากจนมากๆ แม้แต่ข้าวสวยสักชามยังไม่สามารถหากินได้ แต่เมื่อมาอยู่แล้ว เธอก็ต้องยืนหยัดกับความยากจนนี้ต่อไป จนกระทั่งเธอพบว่า โลกที่เธอกำลังอาศัยอยู่นี้ต่างให้ความสนใจกับงานศิลปะและดนตรีเป็นอย่างมาก เธอจึงคิดริเริ่มที่จะให้ฝีมือในการวาดภาพของตนเอง สามารถหาเงินและยกฐานะทางครอบครัวของตนเองขึ้นมาได้บ้าง
View More“หนิงเหอ ๆ”
ใครกัน?
ใครกำลังเรียกเธออยู่?
หนิงเหอรับรู้ได้ถึงแรงเขย่าตัวของเธอที่กำลังหลับใหลอยู่ เธอเพิ่งได้นอนไปเมื่อช่วงเช้านี้เอง ใครกันมาปลุกเธอเอาตอนนี้? แล้วทำไมเธอรู้สึกว่า เสื้อผ้าที่เธอกำลังใส่อยู่ตอนนี้มันเปียกเช่นนี้ หรือมีน้ำรั่ว?
หนิงเหอพยายามฝืนขยับเปลือกตาที่หนักอึ้งของตนเอง เพื่อดูว่าเสียงของใครกันที่กำลังเรียกเธออยู่?
เพราะแสงสว่างที่ได้รับ ทำให้หนิงเหอหลับตาลงอีกครั้ง เพราะไม่ชินกับแสงแดดในยามนี้ เมื่อกะพริบตาหลาย ๆ ครั้งจนทำให้ดวงตาของเธอสามารถปรับแสงได้ หนิงเหอจึงมองหน้าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของนางอย่างไม่คุ้นเคย
ขณะที่เธอกำลังจะถามออกไปว่าเขาเป็นใคร กลับรู้สึกได้ถึงลำคอที่แห้งสาก จนไม่สามารถถามออกไปได้
“ดีจริง เจ้ารู้สึกตัวแล้ว” เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าดีขึ้น เหมือนกำลังยกภูเขาออกจากอก
“มาเถอะ พี่จะแบกเจ้ากลับบ้าน” ยังไม่ทันให้หนิงเหอได้ตอบตกลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มก็ทำการจับร่างของเธอคร่อมไปที่ด้านหลังของเขา เพื่อให้นางได้ขี่หลังของเขาได้ถนัด จากนั้นเด็กหนุ่มก็แบกนางไปในทิศทางหนึ่ง
หนิงเหอรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ร่างของเด็กหนุ่มที่อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี เหตุใดจึงสามารถแบกร่างนางได้ง่าย ๆ สบาย ๆ เช่นนี้
ก่อนที่นางจะทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น สิ่งรอบข้างก็ทำเอานางรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง นี่มันที่ไหนกัน แล้วเพราะอะไรบ้านเรือนที่นางเห็นอยู่ตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบ้านที่มุงด้วยหญ้าแห้งแต่ละหลังล้วนปลูกอยู่ห่างกัน เหมือนหมู่บ้านชนบทที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาจากรัฐบาล
แต่เท่านั้นยังไม่ได้พอให้นางได้คิดหายสงสัย เมื่อนางสังเกตเห็นว่า ผู้คนที่นั่งอยู่หน้าบ้านเหล่านั้นล้วนสวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ เป็นแบบที่นางเคยเห็นในละครย้อนยุคในทีวี นี่นางกำลังถูกตั้งกล้องแอบถ่ายในรายการใดรายการหนึ่งอยู่หรือไม่?
“หลันโจว หนิงเหอ” เด็กหนุ่มแบกเธอมาที่บ้านหลังหนึ่ง เพียงเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงผู้หญิงวัยสามสิบที่ยืนอยู่ตะโกนเรียกทั้งคู่
“ท่านแม่” เด็กหนุ่มที่กำลังแบกเธออยู่เรียกอีกฝ่าย
ท่านแม่? หญิงสาวที่อายุประมาณสามสิบผู้นั้นเป็นแม่ของเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างนั้นหรือ?
ฟู่หลินที่เห็นลูกกลับบ้านมาก็เดินออกมาดู แต่เมื่อเห็นว่าลูกชายของนางแบกน้องสาวออกมา ฟู่หลินก็ตกใจ รีบก้าวเท้ายาวเดินมาหาทั้งสองคน
“เกิดอะไรขึ้น” เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนร่างกายเปียกปอนไปทั้งตัว ฟู่หลินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลันโจวค่อย ๆ วางร่างของหนิงเหอเอาไว้ที่แคร่หน้าบ้าน ก่อนจะมองหน้าผู้เป็นมารดาด้วยความรู้สึกผิด
“ข้าเห็นว่าสายมากแล้ว แต่หนิงเหอยังไม่กลับมา ข้าจึงไปหานางที่ลำธาร แต่เมื่อไปถึงก็พบว่านางหมดสติอยู่ที่ลำธารเพียงลำพัง”
เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวเป็นลมหมดสติอยู่ที่ลำธาร ฟู่หลินก็ตกใจจนหน้าซีดทันที เป็นเพราะนางเองที่ไม่แข็งแรง เรื่องงานบ้านงานเรือนทุกอย่างตอนนี้จึงเป็นบุตรสาวที่ทำแทนทุกอย่าง โดยปกติแล้วหนิงเหอก็มักหน้ามืดบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ถึงกลับเป็นลมหน้ามืดอยู่ที่ลำธารโดยที่ไม่มีใครพบเห็น
โดยยามปกตินั้น จะมีชาวบ้านไปซักผ้าที่ลำธารด้วยเช่นกัน แต่หนิงเหอมักจะไปช่วงสาย ๆ เนื่องจากไม่ต้องการแย่งพื้นที่เบียดเสียดกับผู้อื่น นางจึงมักรอให้คนอื่น ๆ ซักเสื้อผ้าให้เสร็จก่อน จากนั้นนางถึงจะนำตะกร้าผ้าลงไปซักภายหลัง
“หนิงเหอ เจ้าเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ ส่วนตะกร้าผ้า เดี๋ยวให้หลันโจวกลับไปเอาที่ลำธาร” ไม่พูดเปล่า ฟู่หลินเดินเข้ามาพยุงหนิงเหอเอาไว้ ก่อนจะพานางเข้าไปในห้องของตนเองเพื่อเปลี่ยนชุด
หนิงเหอเองไม่ได้ทักท้วงสิ่งใด นางทำตามอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย นั่นเป็นเพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้นางกำลังสับสนงุนงง ตอนนี้ทำได้เพียงไหลไปตามน้ำก่อนเท่านั้น
หลังจากที่เข้าห้องมาด้านใน หนิงเหอจึงมองรอบ ๆ เพื่อสังเกตสิ่งของภายในห้องของตนเอง ห้องของนางกว้างเพียงสี่ตารางเมตรเท่านั้นเอง ด้านในมีเพียงชั้นใส่ของเล็ก ๆ อยู่หนึ่งชั้น และเตียงขนาดสามฟุตอยู่หนึ่งเตียง ฟูกและผ้าห่มถูกพับเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ แม้เครื่องนอนจะดูเก่าและซีดไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็สะอาดและไม่มีกลิ่นอับ
ที่ชั้นด้านข้างเป็นชั้นเสื้อผ้าและมีของมากมายวางเอาไว้ หนิงเหอจึงเลือกหยิบชุดออกมาหนึ่งชุดเพื่อผลัดเปลี่ยน แม้ในตอนแรกจะลำบากอยู่บ้างว่าชิ้นไหนใส่ด้านในหรือด้านนอก แต่เพียงไม่นานเธอก็แต่งตัวจนเสร็จ จากนั้นเธอจึงนำชุดที่เปียกออกมาเพื่อที่จะตากมันด้านนอก ประจวบเหมาะกับที่หลันโจวกลับมาจากลำธารพอดี
หลันโจวที่กลับมาเห็นว่าน้องสาวยืนถือชุดที่เปียกของตนเองยืนอยู่หน้าบ้านโดยคล้ายมองหาอะไรอยู่ เขาจึงเดินเข้ามาหานางเพื่อสอบถาม
“เจ้ากำลังหาสิ่งใด?”
หนิงเหอมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะยกมือเกาแก้มแก้ความเก้อเขินและตอบคำถามอีกฝ่าย
“ข้ากำลังนำชุดที่เปียกไปตาก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องนำไปตากที่ใด…”
“…” หลันโจวมองหน้าน้องสาวด้วยสายตาเบิกกว้าง นางกำลังล้อเขาเล่นอยู่ใช่หรือไม่? จะไปตากผ้าแต่ไม่รู้ว่าจะต้องไปตากที่ใด? ทั้ง ๆ ที่นางทำมันอยู่ทุกวัน
“หนิงเหอ…เจ้าป่วยหรือ?” หลันโจวยื่นมือออกไปแตะหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดไข้ และปรากฏว่า หน้าผากอีกฝ่ายร้อนอยู่ด้วยเช่นกัน แม้ไม่มาก แต่ก็ทำเอาหลันโจวอดเป็นกังวลไม่ได้
หนิงเหอพยายามนึกหาเหตุผลร้อยแปดในหัวของนางมาตอบอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวขึ้น
“พี่ ฉัน...ข้า…เหมือนข้าจะล้มหัวกระแทกพื้น ข้ารู้สึกว่าข้าจำอะไรไม่ได้เลย….” ในเมื่อนางไม่มีที่จะไปแล้ว คงต้องเล่นบทสมองเสื่อมที่มักจะเจอในหนังที่เคยดูเมื่อก่อนออกมาใช้
ตึก
ตะกร้าผ้าที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายตกลงพื้นทันทีที่นางกล่าวจบ
“เจ้ารออยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้ามา” ยังไม่ทันที่หนิงเหอจะได้ถามอีกฝ่าย หลันโจวก็หันหลังวิ่งออกไปด้านนอกเสียแล้ว ฟู่หลินที่เห็นลูกชายวิ่งหน้าตั้งออกมาหาตนเองก็ตกใจยิ่ง
“ท่านแม่แย่แล้ว หนิงเหอนางบอกว่านางจำอะไรไม่ได้” หลันโจวเข้ามาหามารดาเพื่อบอกเรื่องที่น่าตกใจ
“อะไรของเจ้า พูดช้า ๆ แม่ฟังไม่เข้าใจ”
เพราะหลันโจววิ่งเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ ทำให้ตอนที่กล่าวประโยคนั้นออกมา ฟู่หลินจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจ
หลันโจวหายใจเข้าออกลึก ๆ อีกครั้ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่เขาเจอหนิงเหอที่หน้าบ้านเมื่อครู่ให้มารดาได้ฟัง เมื่อฟู่หลินได้ยินดังนั้น นางก็มีสีหน้ากระวนกระวายทันที
“เจ้าไปตามท่านหมอมู่มาที่นี่ ให้ตรวจอาการนางสักหน่อย”
“แต่ว่า…”
หลันโจวอยากกล่าวคัดค้าน เนื่องจากเมื่อสามวันก่อนที่บ้านเพิ่งจ่ายเงินซื้อยาให้มารดาไป ทำให้ที่บ้านตอนนี้เหลือเงินอยู่ไม่เท่าไร และไม่รู้ว่าค่ายาและค่าตรวจโรคของน้องสาวจะต้องใช้เงินมาเท่าใด เขาจึงมีท่าทางลังเล
“เจ้าไปเถอะ…หากเงินไม่พอ รอพ่อเจ้ากลับมาจากในเมืองค่อยจ่ายเพิ่มให้เขาทีหลัง” แม้จะรู้ว่าค่ายาอาจหลายอีแปะ แต่บุตรสาวของนางก็ไม่สามารถปล่อยเลยตามเลยไม่รักษาได้เช่นกัน ต่อให้นางต้องบากหน้าไปหยิบยืมจากบ้านอื่นมา นางก็ต้องทำ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้น หลันโจวจึงหันหลังวิ่งไปที่อีกฝากของหมู่บ้าน เพื่อตามหมอมาตรวจดูอาการให้น้องสาวทันที
………………………………………………..
ตอนพิเศษ 5ยามจื่อ (23.00น.-00.59น.)เจิ้งหย่งซีและกู้หนิงเหอที่พึ่งจะสะสางงานของตนเองเสร็จ จึงเดินมาที่เรือนของเด็กๆ ทั้งสามคนเพื่อดูว่าพวกเขาเข้านอนกันรึยัง ก่อนจะเห็นสาวใช้ของพวกเด็กๆ กำลังช่วยกันเก็บกระดาษที่ใช้การไม่ได้แล้วออกมาด้วยฝีเท้าเบาเมื่อสาวใช้เห็นทั้งสองคนก็รีบย่อกายเคารพทั้งสอง“พวกเด็กๆ ยังไม่นอนหรือ?” เจิ้งหย่งซีถามสาวใช้ทั้งสองด้วยความแปลกใจ เพราะเวลานี้เองก็ดึกมากแล้ว พวกเด็กๆ ควรจะนอนได้แล้ว“ท่านอ๋องน้อยทั้งสองกับท่านหญิงกำลังคัดอักษรกันอยู่เจ้าค่ะ แต่ข้าน้อยเห็นว่าทั้งสามก็เริ่มง่วงกันบ้างแล้ว จึงแอบหยิบกระดาษเหล่านี้ออกมาจัดการก่อนเจ้าค่ะ”สาวใช้คนหนึ่งรีบรายงานเจิ้งหย่งซีที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าให้ทั้งสอง ก่อนจะโบกมือให้อีกฝ่ายไปจัดการงานของตนเองส่วนตัวเขาและกู้หนิงเหอก็เดินเข้าไปที่ตัวเรือนด้านในเพื่อดูลูกๆ ของตนเองแต่เมื่อเข้าไปด้านในก็ต้องเบาฝีเท้าของตนเองลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่า เจ้าหัวผักกาดน้อยทั้งสามคนตอนนี้ ต่างหลับคาโต๊ะหนังสือไปเรียบร้อยแล้วโดยที่เจิ้งเลี่ยงหรูและเจิ้งเลี่ยงหลิงหน้าฟุบลงที่โต๊ะหนังสืออยู่ ส่วนเจิ้งหลงเป่าตอนนี้นอนแผ่หลาอยู่ที่พื้
ตอนพิเศษ 4“ไทเฮา พะยะค่าาาา”ขณะที่ผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง เสียงเล็กๆ ของเจ้าแฝดคนหนึ่งก็ดังขึ้น โดยที่เสียงมาก่อนตัวคนเสียอีกไม่ต้องเดาทุกคนที่อยู่ภายในห้องก็รู้ว่าเป็นแฝดคนไหนเจิ้งหลงเป่าวิ่งตุ๊ต๊ะเข้ามาทันทีที่สิ้นเสียง เพียงผ่านธรณีประตูเพียงก้าวเดียว เมื่อเห็นว่ามีใครอยู่ภายในห้องโถงบ้าง เจ้าตัวก็ยิ้มแฉ่งจนสามารถเห็นฟันครบทุกซี่“หลงเป่า อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ? มานี่สิ ให้ข้าดมดูหน่อยว่ายังเหม็นอยู่หรือไม่” เมื่อเห็นหลานชายตัวเล็กวิ่งเข้ามา ไทเฮาก็กล่าวกับเขา พร้อมอ้าแขนทั้งสองข้างเพื่อรอรับอีกฝ่ายโถมตัวเข้ามาหาทันทีเจิ้งหลงเป่าเองก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง เขารีบวิ่งไปหาหญิงชราที่ตนเองเรียกว่าไทเฮาทันที เพื่อให้อีกฝ่ายได้พิสูจน์ว่าตัวเขาไม่เหม็นแล้วอีกต่อไปฟืดดด“อ่าา หลงเป่าไม่เหม็นแล้วจริงๆ ด้วย” ไทเฮากล่าวกับเขาอย่างอ่อนโยน นางมีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับเจ้าแฝดทั้งสามคน อาการเจ็บป่วยที่มักจะเป็นอยู่บ่อยๆ ยามอยู่ในวังหลวง แต่เมื่อมาเห็นหน้าของทั้งสามแล้วคล้ายกับว่านางลืมความเจ็บป่วยของตนเองไป“หลงเป่าไม่เหม็นแล้ว เช่นนั้นคืนนี้ให้หลงเป่านอนกับท่านดีหรือไม่พะยะค่ะ” เ
ตอนพิเศษ 3ส่วนลูกชายคนโตของนาง หรือแฝดคนที่สอง เจิ้งเลี่ยงหลิง (แปลว่า ระฆังที่ส่องสว่าง)ลูกชายคนนี้ของนางเป็นเด็กที่ค่อนข้างเรียบร้อยมาก หากเปรียบเทียบกับน้องชาย คนภายนอกอาจจะคิดว่าเจิ้งเลี่ยงหลิงเป็นเด็กที่ว่าง่ายและอยู่ในโอวาท พวกเขาคิดผิด!!!เจิ้งเลี่ยงหลิงเป็นเด็กที่ค่อนข้างดื้อเงียบ เจ้าคิดเจ้าแค้นและเป็นเด็กขี้รำคาญ ครั้งหนึ่งที่เจิ้งหลงเป่าแอบเอาพู่กันของเขาไปเล่นและเขาจับได้ เขาไม่ได้เปิดโปงและต่อว่าเจิ้งหลงเป่าทันที แต่วันต่อมาเจิ้งหลงเป่าก็ต้องร้องไห้ออกมาเสียงดังเพราะ ตุ๊กตาหุ่นไม้ของรักของหวงของเขา อยู่ๆ ชิ้นส่วนต่างๆ ก็หลุดกระจายออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้เจิ้งหลงเป่าเศร้าเสียใจอยู่หลายวันทีเดียวตอนแรกนางก็เพียงคิดว่าอาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อพ่อบ้านเฉินที่คอยดูแลพวกเขามารายงานนาง ก็ทำเอานางและสามีถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว“ตุ๊กตาหุ่นไม้ของท่านชายรองมีร่องรอยของการแกะแยกชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อออกไปขอรับ ทำให้เมื่อคุณชายจับหุ่นไม้ขึ้นมา มันจึงมีชิ้นส่วนกระจัดกระจายออกไป…ข้าสอบถามองครักษ์เงาที่ดูแลแล้ว พบว่าเป็นฝีมือของท่านอ๋องน้อยขอรับ”“จะเป็นไปได้อย่างไร เจิ้งเลี่ย
ตอนพิเศษ 2ตอนแรกเขาคิดว่าขอเพียงท่านแม่ตำหนินิดหน่อยก็ไม่น่าเป็นอะไรแล้ว แต่ดูจากสีหน้าท่านแม่ตอนนี้ที่ยังนิ่งเงียบอยู่ เจิ้งหลงเป่าก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นมา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ๆ เขาก็รู้สึกแสบจมูกแสบตาขึ้นมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ น้ำตาหยดใสๆ ก็เริ่มไหลรินออกมา“อึก ฟืดด” เจิ้งหลงเป่าก้มหน้าร้องไห้อยู่เงียบๆ เขารีบใช้แขนเสื้อของตนเองเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาทำเอาพ่อบ้านเฉินที่ยืนอยู่รู้สึกปวดใจมากเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าออกหน้ามาช่วยท่านชายรองของตนเอง“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองมีความผิดอะไร?” กู้หนิงเหอยังฝืนใจทำน้ำเสียงนิ่งเรียบกล่าวถามอีกฝ่ายเจิ้งหลงเป่าที่ได้ยินเช่นนั้นก็ผงกหัว พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ“ลูกผิดเอง ลูกไม่ตั้งใจคัดอักษรอยู่ในห้องกับพวกท่านพี่ และยังแอบมาเล่นในสวนโดยที่ไม่ได้บอกสาวใช้ตนเอง”กู้หนิงเหอมองลูกชายคนเล็กของตนเองสำนึกผิดด้วยความปวดใจ นางเองก็ทำโทษเขารุนแรงไม่ลงเช่นกัน แต่หากครั้งนี้ยังไม่ทำโทษเขาอีก เขาก็จะได้ใจไปเรื่อยๆบรรยากาศภายในสวนเป็นไปอย่างเคร่งเครียดในตอนนั้นเองที่ด้านหน้าประตูทางเข้าสวนมีความเคลื่อนไหว พร้อมกับกลุ่มผู้สู
ตอนพิเศษ1ณ ดินแดนเหนือแห่งแคว้นเป่ยเอี้ยนแม้ตอนนี้จะเป็นฤดูร้อน แต่อากาศในช่วงเช้ามืดของที่นี่ก็มีสายลมเย็นเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ร้านรวงต่างๆ เริ่มเปิดหน้าร้านเพื่อต้อนรับลูกค้าในยามเช้าแล้วเสียงของเจ้าของร้านต่างทักทายเหล่าผู้พิทักษ์ความสะอาดตัวน้อยทั้งหลาย ที่ออกมากวาดถนนหนทางในเมืองให้แก่พวกเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและโอบอ้อมอารี“อรุณสวัสดิ์ เถ้าแก่จ้าว” เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งกล่าวทักทายเจ้าของร้านแพรพรรณที่ออกมาเปิดร้านของตนเอง“อรุณสวัสดิ์ วันนี้ก็ฝากด้วยนะ” เฒ่าแก่จ้าวขานรับเด็กๆ“เจ้าค่ะ/ขอรับ” เด็กๆ_ที่มีไม้กวาดอยู่ในมือทั้งหลายตอบรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผู้คนที่เคยมาเยือนเมืองเหนือแห่งนี้หลายครั้งจะเห็นภาพเหล่านี้ด้วยความชินตา แต่สำหรับผู้ที่เคยเดินทางมาที่นี่ครั้งแรกต่างประหลาดใจกับการทักทายเช่นนี้เป็นอย่างมากตอนนี้แดนเหนือที่เคยเป็นสถานที่ของเหล่าขอทานและเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน กลับกลายเป็นสวรรค์บนดินที่ไม่ว่าใครก็อยากมาเที่ยวที่แห่งนี้สักครั้งในชีวิตโดยเฉพาะการได้แช่บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติของที่นี่ เป็นสิ่งที่แต่ละคนที่ได้แช่มันก่อนกลับไป_แล้วจะไปเล่าต
ตอนที่ 136 ยินดี (จบ)“พระชายา คือว่า…”“ข้าจะคลอดเขาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม… ท่านเตรียมตัวเถอะ” กู้หนิงเหอกล่าวตัดบทกับอีกฝ่าย ก่อนจะหลับตาลงเพื่อเรียกแรงของตนเองกลับมาอีกครั้ง บ่งบอกว่านางจะทำตามที่นางพูดจริงหมอหลวงเกาที่ได้ยินดังนั้นก็เดินออกจากเรือนเพื่อไปเตรียมสมุนไพรด้วยตนเองแอ๊ดดเพียงเปิดประตูออกก็พบชินอ๋องที่ยืนอยู่ เจิ้งหย่งซีรีบเข้ามาถามอีกฝ่ายด้วยความร้อนใจ“หนิงเหอเป็นอย่างไรบ้าง?”หมอหลวงเกามองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะรายงานอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว“เรียนท่านอ๋อง ในครรภ์ของพระชายายังมีเด็กอยู่อีกหนึ่งคนขอรับ และพระชายาเลือกที่จะคลอดเด็กออกมาให้ได้”เจิ้งหย่งซีและคนอื่นๆ ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต่างตื่นตะลึงและลุกขึ้นเดินมาหาเขาอีกที“ข้าจำเป็นต้องต้มยาขับเลือดเพื่อให้คลอดเด็กคนที่สามออกมาได้โดยไว ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายกับทั้งสองได้”“นางจะเป็นอันตรายหรือไม่?”เจิ้งหย่งซีถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย ทำให้หมอหลวงเกาไม่อาจตอบคำถามอีกฝ่ายได้ในตอนนั้นเอง หมอหลวงลู่ก็ได้เดินออกมา“หมอหลวงเกา ท่านไปต้มสมุนไพรเถิด… ท่านอ๋อง พระชายามีคำพูดหนึ่
Comments