นอกจากนี้นางยังได้รู้ถึงการใช้พื้นที่ของแต่ละห้องในอาคารนี้ แต่ไม่มีอะไรผิดปกติกับสิ่งที่นางเห็น ดังนั้นลั่วชิงยวนจึงมิตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเข้าใจสถานการณ์ของกิจการที่เพิ่งซื้อใหม่ ลั่วชิงยวนจึงมาที่สมาคมการค้าเฟิงตูในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้นให้ความสนใจกับการค้าของตัวเองมากแต่วันนี้ฉางจิ่นเหวิน เฉินซวนอี๋และคนอื่น ๆ ก็กลับมาอีกครั้งหรือพวกเขาจะมีเรื่องสำคัญให้หารือกันอีกหรือ?คราวนี้ลั่วชิงยวนไปเข้าร่วมอย่างเปิดเผยแต่เมื่อนางนั่งที่โต๊ะ สีหน้าของทุกคนก็ดูแปลกไปเล็กน้อยเสวี่ยชวนเฟิงไอและพูดว่า “แม่นางฝูเสวี่ย วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญนัก และมันไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน เหตุใดท่านมิออกไปรอข้างนอกเล่า?"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกใจเล็กน้อยและยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆฉางจิ่นเหวินหัวเราะเยาะ “ท่านมาถึงนี่ ก็นั่งลงเถอะ”“ถึงนางจะนั่งอยู่ตรงนี้ เราก็มิจ่ายเงินปันผลให้นางหรอก”เงินปันผล?จากนั้นพวกเขาก็เริ่มหีบใหญ่สองหีบวางอยู่บนโต๊ะ คนหนึ่งถือสมุดบัญชี เริ่มแจกจ่ายเงิน“เสวี่ยเหวินโจว สองแสนตำลึง”“เสวี่ยชวนเฟิง หนึ่งแสนสามหมื่นตำลึง”“ของพวกท่านนับรวมกันเลยแล้วกัน”ด
รีบก้าวเท้าเบา ๆ วิ่งกลับไปนั่งที่เดิมแล้วแกล้งทำเป็นนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นช้า ๆจากไกลมาใกล้เหมือนเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นบันไดตอนนี้เสียงกลไกที่ว่าดูเหมือนจะมาจากด้านล่าง ซึ่งน่าจะมีชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่งในไม่ช้า ฝีเท้าของคนผู้นั้นก็เดินเข้ามาหาพวกเขาลั่วชิงยวนรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมาที่นาง จากนั้นสมุดบัญชีที่นางถือก็ถูกดึงออกไป ก่อนจะกลับมาวางในมือของนางอีกครั้งจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไปหลังจากรอสักพักก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ อีกลั่วชิงยวนหรี่ตาอย่างระมัดระวังมองไปข้างหน้าก็มิเห็นมีใครอยู่แล้วจริง ๆคนผู้นั้นคงจะออกไปนางกำลังจะลุกขึ้นเงาบนพื้นที่ขยับเล็กน้อยทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกมิกล้าแม้แต่จะหายใจเงาตรงที่นางนอนคว่ำอยู่ มีเงาของศีรษะอีกเงาปรากฏขึ้นและเคลื่อนไหวเช่นกันทันใดนั้น ลั่วชิงยวนรู้สึกขนหัวลุกคนผู้นั้นอยู่ข้างหลังนาง!นางหลับตาลงทันที ปล่อยให้ร่างกายที่แข็งทื่อของนางผ่อนคลายให้มากที่สุด หายใจอย่างสม่ำเสมอ และมิกล้าสอดส่ายสายตาไม่มีเสียงอะไรเลย ทักษะด้านวรยุทธของชายผู้นี้มิธรรมดา! กอปรกับรัศมีอันเยือกเย
ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบโดยละเอียด แต่พบว่าดวงตาของสิงโตนั้นหลวมนางกำลังจะกดมันแต่แล้วนางก็สังเกตเห็นจี้ที่ห้อยอยู่รอบคอของสิงโต ลวดลายบนจี้นั้นคุ้นเคยเสียจนทำให้ลั่วชิงยวนใจเต้นรัวรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์!มันเป็นของราชวงศ์แคว้นหลี!หรือชายชุดดำเมื่อครู่นี้ จะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลเหยียนมาตลอด?เขามาจากแคว้นหลี!คนที่รู้เรื่องของราชวงศ์ นอกจากราชวงศ์หลีแล้วก็มีแต่นักบวชเท่านั้น!ในฐานะนักบวชหญิงแห่งยุคนี้ นางรู้จักนักบวชทุกคน!เมื่อคิดถึงการจะได้ใกล้ชิดกับคนในสายเดียวกัน ลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่อีกใจก็กังวลเช่นกัน ร่างกายของนางเปลี่ยนแปลงไป และทักษะวรยุทธของนางก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนหากต้องเผชิญหน้ากับคนในสายเดียวกันที่ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูหรือมิตร นางอาจจะสู้เขาไม่ได้!นางปลดสลักรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ทันทีประตูหินค่อย ๆ เปิดออกโชคดีที่นางไม่ได้กดกลไกที่ตา ไม่เช่นนั้นวันนี้นางอาจไม่ได้กลับออกไปการใช้กุญแจดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นกลไกก็เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสามารถทำลายมันได้ มันถูกสร้างขึ้นรูปอย่างพิถีพิถัน ดังนั้นห้
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว มองไปรอบ ๆ แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นนางค่อย ๆ เดินไปยังจุดที่เสวี่ยชวนเฟิงนั่งอยู่ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าเสวี่ยชวนเฟิงลงไปกองกับพื้นลั่วชิงยวนขมวดคิ้วและก้มลงเพื่อเขย่าเสวี่ยชวนเฟิง แต่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากเขาลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติจากนั้นนางก็ช่วยพยุงเสวี่ยชวนเฟิงขึ้น ก่อนกลับมายังตำแหน่งเดิมของนางเพื่อนอนหลับต่อ......รุ่งสางแล้วคนของสมาคมการค้าทยอยกันมาถึง พวกเขาปลุกลั่วชิงยวนและเสวี่ยชวนเฟิงทั้งสองตื่นขึ้นมา ขยี้ตาด้วยความงัวเงีย“ข้าง่วงมากจนเผลอหลับไปก่อนจะตรวจบัญชีเสร็จเสียอีก” ลั่วชิงยวนหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาอ่านต่อเสวี่ยชวนเฟิงเริ่มไม่ไหว แต่ก็ยังคงนั่งอยู่กับนางต่อไปลั่วชิงยวนอยู่ต่ออีกครึ่งวัน แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ และชายในชุดดำก็ไม่ปรากฏตัว ดังนั้นนางจึงออกจากสมาคมการค้าเฟิงตูไปเมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ลั่วชิงยวนจึงถามจือเฉาว่า “มีข่าวอะไรจากท่านอ๋องบ้างหรือไม่?”จื่อเฉานำชาและอาหารมาให้ “ท่านอ๋องมิอยู่เพียงสองวัน พระชายาก็คิดถึงท่านอ๋องแล้วหรือเจ้าคะ?”“เซียวชูส่งจดหมายมาทางนกพิราบแล้วเจ้าค่ะ”จื่อเฉาหยิบก
อีกฝ่ายล้มลงกับพื้น เงยหน้าขึ้นเวียนหัว และชี้ไปที่นางด้วยความโกรธ “เจ้า เจ้า เจ้า!”อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นลั่วชิงยวน เขาก็หดตัวกลับด้วยความกลัว“พระ… พระชายา...”ลั่วชิงยวนดูบูดบึ้ง “เจ้ารู้ว่าข้าเป็นพระชายา แล้วกล้าดีอย่างไรมาทำเยี่ยงนี้กับลั่วหลางหลาง อะไรทำให้เจ้ากล้าดีเพียงนี้ อยากตายนักหรือไร?”ลั่วชิงยวนโกรธมากจนหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้าง ๆ ออกมาตีพวกนางอย่างแรงหลังถูกทุบตี ในสวนหลังบ้านก็มีเสียงคร่ำครวญขอชีวิตดังระงมลั่วหลางหลางก้าวมารั้งนางไว้ "หยุดมือเถิด หากเจ้ายังตีนางอีก นางคงตายแน่แล้ว"จากนั้นลั่วชิงยวนก็หยุดมือใบหน้าของหญิงชรานางนั้นเต็มไปด้วยเลือด นางชี้ไปที่ขอทานตัวน้อยที่ยื่นหน้าออกมาจากด้านนอกของประตูด้วยความโกรธ “เจ้าขอทานนี่ เจ้าเป็นตัวการรึ! คอยดูเถอะ!”หญิงชราเหล่านั้นหนีหัวซุกหัวซุนลั่วหลางหลางเรียกขอทานที่หน้าประตูให้เข้ามาด้วยความกังวล “เสี่ยวซี เจ้าเป็นคนไปตามหาพระชายามาหรือ?”เซียวซีพยักหน้าอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เล็กน้อย “ท่านพี่หลางหลางใจดีกับข้ามาก ข้าจะทนดูท่านถูกพวกเขารังแกได้อย่างไร”ลั่วหลางหลางลูบศีรษะของเสี่ยวซีแล้วหันไปมองลั่วชิงยวน “ชิ
ลั่วชิงยวนพาลั่วหลางหลางไปที่ลานหน้าบ้าน ในขณะนี้เฉินซวนอี๋กำลังนั่งอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้ากำลังดื่มชา ราวกับว่านางกำลังรอให้พวกนางมาหาเมื่อเห็นลั่วชิงยวนลากลั่วหลางหลางมาด้วย นางก็แสร้งทำเป็นตกใจแล้วลุกขึ้น“พระชายามาตั้งแต่เมื่อไหร่? บ่าวในบ้านนี้เป็นอะไรกัน มิยอมแจ้งล่วงหน้า”ลั่วชิงยวนยื่นมือที่แดงก่ำและมีเลือดไหลซึมของลั่วหลางหลาง และถามอย่างเย็นชา "นี่คือจุดประสงค์ที่พวกเจ้านำลั่วหลางหลางกลับมาใช่หรือไม่?"เฉินซวนอี๋มองดูและตกใจ "เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ผู้ใดทำร้ายเจ้า?"การเสแสร้งว่ากังวลใจและกังวลนั้นจอมปลอมอย่างที่สุด“เจ้าคิดเยี่ยงไรเล่า? เจ้าเป็นคนดูแลบ้าน เจ้ามิรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”เฉินซวนอี๋ขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้ายุ่งอยู่กับการค้า เช่นนั้นข้าจึงมิรู้จริง ๆ ว่าเรื่องใหญ่โตแบบนี้เกิดขึ้นในครอบครัวได้อย่างไร พระชายา รอสักครู่ ข้าจะเรียกคนมาไต่ถามให้รู้เรื่อง!”ดังนั้นเฉินซวนอี๋จึงเรียกคนรับใช้ทั้งหมดเข้ามาไต่ถาม มีสาวใช้คนหนึ่งตอบไปว่า “เป็นพวกป้าจางที่ให้ฮูหยินซักเสื้อผ้าเจ้าค่ะ”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซวนอี๋จึงพูดด้วยความโกรธ “ป้าจางอยู่ที่ใด ไปพานางมาหาข้า!”ในไม
ลั่วชิงยวนเหลือบมองที่ท้องของเฉินซวนอี๋อย่างมีเลศนัย “ตอนนี้คงท้องได้ประมาณสี่เดือนแล้วกระมัง นี่เป็นช่วงที่แท้งง่าย เจ้าควรระวังให้ดี”“การแท้งมิสำคัญหรอก ทว่าหากเจ้าแท้งขึ้นมา เจ้าต้องพักไประยะหนึ่ง กว่าเจ้าจะหายดีดังเดิม ระวังสมาคมการค้าเฟิงตูจะมิเหลือที่ให้เจ้าแล้ว!"ดวงตาของลั่วชิงยวนดุดันมากจนเฉินซวนอี๋ทั้งโกรธและหวาดกลัวแต่เฉินซวนอี๋กลับทำได้เพียงจ้องมองนางด้วยความโกรธ มิกล้าพูดอะไรออกมาลั่วชิงยวนพาลั่วหลางหลางออกไปหลังจากออกมาได้ ลั่วหลางหลางก็หัวเราะขึ้น“เจ้าหัวเราะอะไรรึ?”“เห็นสีหน้าของเฉินซวนอี๋ทำได้แค่โกรธแต่พูดมิออก ข้าก็อดมิได้ที่จะหัวเราะ ฟ่านซานเหอควบคุมนางมิได้ แต่มีเจ้าที่ทำได้”ลั่วชิงยวนยิ้ม “มิใช่ข้าหรอก แต่เป็นตำแหน่งพระชายาอ๋องต่างหากที่สามารถควบคุมนางได้”ดังคำกล่าวที่ว่าราษฎรมิสู้กับขุนนาง แม้นที่ซีหยาง เฉินซวนอี๋จะมีอำนาจยิ่งใหญ่ ทว่าจะมิกลัวอำนาจของเมืองหลวงได้เยี่ยงไรหากฟู่เฉินหวนเป็นขุนนางชั่ว ต้องการทำลายสมาคมการค้าเฟิงตู คนเหล่านี้จะยังมีปากไว้ยืนพูดอยู่อีกหรือไร?หลังจากกลับมาที่ห้องพร้อมกับลั่วหลางหลางและปิดประตูลง ลั่วชิงยวนก็ดึงลั่วหล
ลั่วชิงยวนตกตะลึงเมื่อคืนเขาตื่นขึ้นจริง ๆ มิใช่ล้มลงกับพื้นโดยไม่มีเหตุผล“เมื่อคืนนี้เจ้า!” ลั่วชิงยวนตกใจสุดขีดเสวี่ยชวนเฟิงยิ้มและพูดว่า “เมื่อคืนข้าตื่นแล้ว แต่น่าเสียดายที่ยาแรงเกินไป ข้าจึงล้มลงทันที”“แต่ข้าก็เห็นว่าห้องนั้นเปิดอยู่ และเจ้าก็อยู่ในนั้น”ลั่วชิงยวนหน้าถอดสี จ้องเขาอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าต้องการอะไร?!”เสวี่ยชวนเฟิงนั่งบนเก้าอี้ รินเหล้าให้ตัวเองอย่างใจเย็น จิบช้า ๆ แล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านอ๋องมิอยู่ในเมืองซีหยาง บอกข้าทีสิ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับท่าน ท่านจะยังเป็นพระชายาอ๋องได้อยู่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนตะคอกอย่างเย็นชาเมื่อได้ยินเช่นนั้น “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังมีชีวิตรอดได้หรือไม่?”“เมื่อเทียบกับข้าที่มีฐานะเป็นถึงพระชายาอ๋อง คนแรกที่ฟู่เฉินหวนจะฆ่าก็คือเจ้า!”เสวี่ยชวนเฟิงพูดอย่างใจเย็น “นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จำเป็นต้องทำเท่านั้น”“เพียงท่านบอกข้าว่า ในห้องลับนั้นมีอะไร และไม่ว่าท่านและท่านอ๋องจะมาที่ซีหยางเพื่อตรวจสอบสมาคมการค้าเฟิงตูหรือไม่ ร่วมมือกับข้า แล้วข้าจะมิทำอะไรท่าน”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจเล็กน้อยและเอ่ยถาม
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ