นางคือคู่หมายที่เขาปฏิเสธการมีตัวตนมาโดยตลอด แต่เมื่อได้สบกับดวงตาสีดำขลับนั่น ราวกลับมีผีเสื้อนับพันบินอยู่ในอก ตั้งแต่พริบตานั้นใจเขาก็เพ้อหาแต่เพียงนาง
View Moreบทที่ 1
เสียงฝีเท้าของแม่ทัพโจวดังก้องไปทั่วโถงทางเดินของตระกูลโจว หลังจากเขาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสร็จก็เร่งตรงกลับมาที่จวนเพราะรู้ว่าข่าวที่เขาจะต้องเปลี่ยนตัวกับแม่ทัพจางที่จะกลับมาจากชายแดนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บคงถึงหูภรรยาที่รักแล้ว
เมื่อก้าวเข้าเรือนใหญ่ ซ่งอวี้หลินผู้เป็นภรรยาของเขาก็สะอื้นเสียงดังขึ้นจนแม่ทัพโจวต้องเร่งวางของทุกอย่างในมือและเข้าไปประคองนาง
หญิงสาวนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักสีเข้ม ข้างกายมีผ้าเช็ดหน้าอีกสองผืนที่เปื้อนคราบน้ำตาแล้ววางเอาไว้ และในมือก็ยังมีอีกผืนราวกับจะบอกเขาว่านางนั่งร้องไห้เช่นนี้มานานหลายชั่วยามแล้ว
เขากังวลใจที่ภรรยาที่รักจะเสียใจ แต่เพราะแต่งงานและอยู่ร่วมกันมานานหลายสิบปีจึงมองออกว่า ที่เป็นอยู่ฮูหยินของเขาคงแค่แสดงเพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นเขาก็ต้องปลอบนางเหมือนทุกครั้งที่เขาและบุตรชายจะต้องออกไปรบ
“หลินเอ๋อร์...มิใช่เจ้าก็รู้อยู่แล้วหรือว่า การแต่งเข้ามาในตระกูลโจวย่อมต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ข้าเป็นแม่ทัพ ต่อไปบุตรชายของเราก็จักต้องเป็นมิต่าง วันนี้พวกเขาได้ออกศึกก็ถือเป็นการเรียนรู้” โจวหยางเฉิงอธิบายกับภรรยา แม้น้ำเสียงจะดูจริงจังแต่ก็ยังแฝงความอ่อนโยนเอาไว้
และถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พูดเรื่องเหล่านี้แต่เขาก็ต้องพูด ต่อให้จะร้อยหรือพันครั้งเพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของหญิงคนรัก แต่จะทำเช่นไรได้ ทุกอย่างล้วนเป็นอย่างที่เขาอธิบาย
ยามนี้บ้านเมืองกำลังมีภัย หากไม่ใช่ตระกูลโจวแล้วจะยังมีใครไปเป็นกำลังหลักได้อีก ขนาดแม่ทัพจางที่เป็นคนพื้นที่ก็ยังบาดเจ็บจนต้องส่งตัวมารักษาที่เมืองหลวง แสดงว่าศึกครั้งนี้คงจะร้ายแรงไม่ใช่น้อย ฉะนั้นฝ่าบาทมีพระราชโองการให้แม่ทัพใหญ่อย่างเขาไปดูแลนั่นก็ถูกต้องแล้ว
“ท่านพี่” ซ่งอวี้หลินเงยหน้าขึ้นมองสามี ดวงตาของนางแดงก่ำแม้จะพยายามแสดงให้ชายคนรักเห็นว่ากังวล แต่ความจริงในใจของนางก็มิได้กังวลน้อยไปกว่าที่แสดงเลย
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้วเรื่องที่ท่านว่า เพียงแต่ครั้งนี้ท่านพี่พาลูกของเราไปหมดทุกคน แม้แต่อี้หลงที่ยังเด็กนักท่านก็ยังจะพาไปด้วย...มิเห็นหรือว่าเขายังเด็กมาก อายุก็เพิ่งจะได้เพียงสิบสามปีเท่านั้น”
โจวหยางเฉิงกุมมือภรรยาเอาไว้แน่นและบีบเบา ๆ ราวกับบอกให้นางตั้งใจฟังเขาให้ดี
“เจ้าอย่าได้ดูแคลนบุตรชายของเจ้าไป อี้หลงแม้อายุจะยังน้อยแต่เขาก็เป็นลูกชายของข้าและเจ้า เป็นสายเลือดของตระกูลโจว ความกล้าหาญและความสามารถของเขาย่อมไม่เป็นรองใคร ตอนข้าออกศึกครั้งแรกก็อายุประมาณนี้ พี่ชายของเขาทั้งสองก็มิต่างกัน หากเขาจะอยู่รอดต่อไปก็ต้องเรียนรู้ ไม่มีเวลาใดเหมาะสมไปกว่านี้อีกแล้ว” ซ่งอวี้หลินถอนหายใจ
“แต่เขายังจับดาบไม่มั่นคง มือเล็ก ๆ นั่นจะสู้รบได้อย่างไร ท่านพี่ไม่สงสารเขาบ้างหรือ” ซ่งอวี้หลินพูดไปก็สะอื้นไป ถึงแม้นางจะเป็นหญิงมีอายุแล้ว แต่หากอ้อนสามีก็มิถือว่าผิดอันใด
แม่ทัพโจวหายใจเข้าลึก สายตาของคนเป็นแม่ทำให้ภรรยาของเขามองผิดมองพลาดไปหมด
แม้อวี้หลินจะบอกว่ามือเล็ก ๆ นั้นไร้แรงแต่เขากลับรู้สึกว่าในบรรดาพี่น้องอี้หลงนั้นมีไหวพริบและเก่งกาจกว่าพี่ชายทั้งสองนักในเรื่องการต่อสู้ และเขาก็มั่นใจด้วยว่าต่อไปอีกฝ่ายจะต้องเป็นแม่ทัพที่ดีได้แน่ ๆ แต่คงยากที่จะทำให้คนรักของเขารับฟังในตอนนี้
เมื่อไม้แข็งไม่ได้ผลโจวหยางเฉิงจึงใช้ไม้อ่อนกับภรรยา “หลินเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าไม่เจ็บปวดหรือ ทุกครั้งที่พวกเราพ่อลูกก้าวเท้าออกจากจวน ข้าก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้องจะควักหัวใจของข้าออกไป
แต่หน้าที่ตระกูลโจวของพวกเรา คือการปกป้องบ้านเมือง
และในหน้าที่หัวหน้าครอบครัวข้าเองก็ต้องปกป้องบุตรชายและเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะยอมให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพวกเขาหรือ”
“ข้าเข้าใจ...เพียงแต่...ข้ากลัว” อวี้หลินพิงไปที่อกแกร่งของสามี เขาแข็งแรงและแข็งแกร่งนางรู้ แต่วันเวลาผ่านไป สามีของนางก็เริ่มมีอายุ นางมั่นใจมาตลอดว่าเขาจะดูแลลูก ๆ และนางได้ แต่พอได้ฟังข่าวการศึกที่หนักหน่วงก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะกังวล
“หากสูญเสียใครคนใดคนหนึ่งไป ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
“ข้ารับปากเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกของเรา” คำของสามีราวกับสิ่งที่นางต้องการจะได้ยิน ซ่งอวี้หลินปาดน้ำตาแล้วยิ้มออกมา
“เรื่องนั้นท่านพี่มิต้องรับปากข้าหรอก ข้ารู้ว่าท่านเก่งกาจพอจะดูแลลูกได้ เพียงแต่ข้าอยากพาอี้หลงไปผูกดวงกับซินแส ขอให้ท่านดูชะตาของเขาเสียหน่อย อย่างน้อย ๆ ข้าก็จะได้สบายใจขึ้น”
แม่ทัพโจวเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน เขาลืมไปได้อย่างไร ตอนพี่ชายของอี้หลงอวี้หลินก็ทำเช่นนี้
“หลินเอ๋อร์ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้เชื่อในเรื่องเหล่านี้”
“ข้ารู้ว่าท่านพี่ไม่เชื่อ แต่ข้าเชื่อนี่เจ้าคะ ขอร้องเถอะเจ้าค่ะ เพียงแค่ไปให้คลายความกังวลของข้าก็เท่านั้น ไหนท่านบอกว่ายินดีจะทำทุกอย่าง”
“ก็ได้ วันพรุ่งข้าจะจัดการให้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
บทที่ 5คหบดีหลี่และฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างในจวนหันมองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา แม้จะพยายามยิ้มแย้มแต่ใบหน้าพวกเขากลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ “เราควรทำอย่างไรดี” ฮูหยินหลี่ถามเสียงเบา สายตาจับจ้องไปยังขบวนสินสอดที่กำลังขนเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย พวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นกับมูลค่าของมันเลยแม้แต่นิด เพราะตระกูลหลี่ก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวย พวกเขาค้าขายได้ดี มีเงินทองมากมาย ร้านขายข้าวของพวกเขาก็เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ขายได้ดีที่สุดในเมืองร้านหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงพ่อค้าคหบดีหลี่ถอนหายใจหนักอีกครั้งก่อนจะตอบกลับไปอย่างไร้หนทาง “เราไม่มีทางเลือกอื่น ขุนนางใหญ่โตอย่างตระกูลโจวจะทำอะไร ใครจะสามารถขัดขวางได้ ถ้าเราปฏิเสธ... พ่อค้าทุกคนในเมืองคงจะหันหน้าหนีไม่ทำการค้ากับพวกเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นเรื่องแน่ ๆ เรื่องนี้ค่อยหาวิธีแก้ไขกันภายหลังก็แล้วกัน”ทั้งคู่ตกลงจะตามน้ำไปก่อนเพราะรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อต้านตระกูลโจว ตระกูลแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ แม้ในใจจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนโดยมิได้รู้เลยว่าไม่ได้มีแต่พวกเขาที่ไม่ต้องการให้งานหมั้นหมายครั้งนี้เกิดขึ
บทที่ 4ซ่งอวี้หลินเดินเข้าไปในจวนหลี่พร้อมผู้ติดตาม เมื่อได้พบกับคหบดีหลี่ นางก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่ถึงกระนั้นก็แอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดคั้น“ข้ามาเพื่อไต่ถามเรื่องเวลาตกฟากของบุตรสาวคนเล็กของท่านคหบดีหลี่ ข้าทราบมาว่านางเกิดปีกระต่าย เดือนเจีย เพียงแต่วันนั้นคหบดีหลี่พอจะบอกความจริงแก่ข้าได้หรือไม่”คหบดีหลี่หายใจยาว เขาคิดอยู่แล้วว่าอาจจะมีวันนี้ ตั้งแต่ได้ยินข่าวคนตามหาเด็กสาวที่เกิดปีและเดือนเดียวกับลูกสาวของเขาตอนแรกไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นตามหาไปเพื่ออะไร และใครเป็นคนตามหา แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรเขาก็หวังว่าคงจะมีเด็กสักคนที่มีวันเดือนปีเกิดใกล้เคียงกับบุตรีของเขาแล้วเดี๋ยวเรื่องมันก็คงจะซาไปเอง แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว ชายมีอายุหันไปมองภรรยาของเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่สบตากันอย่างจำยอมก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เพื่อตอบรับคำของฮูหยินของตระกูลโจว“บุตรีคนเล็กของข้า เกิดปีเถาะ เดือนเจีย วันขึ้น 8 ค่ำ ยามเหม่าขอรับ”ดวงตาของซ่งอวี้หลินสว่างวาบ นางยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “เช่นนั้นข้าขอทำการสู่ขอและหมั้นหมายบุตรีของท่านกับบุตรชายของข้าโจวอี้หลงจะได้หรือไม่ อีกไม่เกินชั
บทที่ 3โจวหยางเฉิงที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมบุตรชายทั้งสามก็ได้แต่มองภรรยาของตนแล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “นี่เจ้าจะจริงจังกับเรื่องนี้มากเกินไปหรือเปล่า ข้ากับลูกจะต้องเดินทางอยู่อีกไม่กี่วันนี่แล้ว เจ้ายังจะวุ่นวายเรื่องนี้อยู่อีกหรือ”“ท่านพี่อย่ามาว่าราวกับข้าบกพร่องในหน้าที่นะเจ้าคะ ข้าวของเครื่องใช้ที่จะต้องเตรียมสำหรับการเดินทางของท่านพี่และลูกชายของเราข้าล้วนเตรียมเอาไว้เสร็จสิ้นแล้ว ยังไปช่วยสะใภ้ใหญ่ของเราจัดการของอี้เทียนแล้วด้วย เหลือเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ข้าจะต้องทำเพื่ออี้หลง หากข้าไม่ทำอะไรเลย ข้าจะนอนหลับได้อย่างไร”“ท่านพ่อ ข้าว่าปล่อยให้ท่านแม่ทำเถอะ เพื่อความสบายใจของท่านแม่ ขนาดน้องเล็กยังไม่ขัดพวกเราก็ควรที่จะปล่อยให้ท่านแม่ทำไป” โจวอี้เทียนเอ่ยขึ้น แม้จะไม่ได้เห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจผู้เป็นแม่ อี้เหวินและอี้หลงก็พยักหน้า โจวหยางเฉิงมองภรรยาและลูกชายก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง“ข้าจะไม่ขัดเจ้าก็แล้วกัน แต่ขอบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ อีกสองวันข้ากับลูก ๆ ก็จะออกเดินทางไปที่ค่ายนอกเมืองเพื่อไปจัดเตรียมกองกำลัง มิได้อยู่รั้งรอในเมืองและไปพร้อมกับเสบียง หากเจ้าอยากทำอะไรก็ค
บทที่ 2ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยผ้าปักอักษรจีนที่ดูเหมือนยันต์ยากจะอ่าน และกลิ่นของกำยานที่ค่อนข้างเฉพาะตัวทำให้ใครก็ตามที่เข้ามาหาซินแสเฒ่าในที่แห่งนี้ก็มักจะมีกลิ่นประหลาดนี่ติดตัวออกไปและมันก็เป็นสิ่งที่โจวอี้หลงไม่ชอบเลยสักนิด เขามองไปทั่ว ๆ และพบกับซินแสเฒ่านั่งลูบเคราอยู่หลังโต๊ะไม้ใหญ่กลางห้องใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา และเพียงแค่สบตากับโจวอี้หลงเครานั่นก็ขยับเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังยกยิ้ม มือที่แห้งเหี่ยวตามกาลเวลาหยิบแผ่นดวงชะตาของอี้หลงไปดู โจวอี้หลงมองมารดาของตัวเองที่นั่งอยู่เคียงข้างบิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขารู้ว่าแม่ของเขาเชื่อถือซินแสคนนี้มาก เขาก็ได้แต่หวังว่าซินแสผู้นี้จะไม่พูดอะไรแปลก ๆ จนทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวาย เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างเหนื่อยใจก่อนจะกลับไปนั่งนิ่งสงบเสงี่ยมตามเดิมแม้จะอายุเพียงแค่สิบสามปี แต่คุณชายโจวคนนี้ก็ทำตัวราวกับบิดา เขานั่งหลังตรง หน้าตาที่ควรจะยิ้มแย้มสมวัยกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น สายตาของเด็กชายมองทุกอย่างด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นมิเพียงแค่ท่าทางที่ไม่สมวัย แต่รูปร่างสูงโปร่งของเขาก็ดูจะเป็นผู้ใหญ่ก
บทที่ 1เสียงฝีเท้าของแม่ทัพโจวดังก้องไปทั่วโถงทางเดินของตระกูลโจว หลังจากเขาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสร็จก็เร่งตรงกลับมาที่จวนเพราะรู้ว่าข่าวที่เขาจะต้องเปลี่ยนตัวกับแม่ทัพจางที่จะกลับมาจากชายแดนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บคงถึงหูภรรยาที่รักแล้วเมื่อก้าวเข้าเรือนใหญ่ ซ่งอวี้หลินผู้เป็นภรรยาของเขาก็สะอื้นเสียงดังขึ้นจนแม่ทัพโจวต้องเร่งวางของทุกอย่างในมือและเข้าไปประคองนางหญิงสาวนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักสีเข้ม ข้างกายมีผ้าเช็ดหน้าอีกสองผืนที่เปื้อนคราบน้ำตาแล้ววางเอาไว้ และในมือก็ยังมีอีกผืนราวกับจะบอกเขาว่านางนั่งร้องไห้เช่นนี้มานานหลายชั่วยามแล้ว เขากังวลใจที่ภรรยาที่รักจะเสียใจ แต่เพราะแต่งงานและอยู่ร่วมกันมานานหลายสิบปีจึงมองออกว่า ที่เป็นอยู่ฮูหยินของเขาคงแค่แสดงเพียงเท่านั้น ถึงกระนั้นเขาก็ต้องปลอบนางเหมือนทุกครั้งที่เขาและบุตรชายจะต้องออกไปรบ“หลินเอ๋อร์...มิใช่เจ้าก็รู้อยู่แล้วหรือว่า การแต่งเข้ามาในตระกูลโจวย่อมต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ข้าเป็นแม่ทัพ ต่อไปบุตรชายของเราก็จักต้องเป็นมิต่าง วันนี้พวกเขาได้ออกศึกก็ถือเป็นการเรียนรู้” โจวหยางเฉิงอธิบายกับภรรยา แม้น้ำเสียงจะดูจ
Comments