จากท่านหญิงสูงศักดิ์ต้องกลายมาเป็นเด็กสาวบ้านป่าฐานะยากจนแถมยังเป็นกำพร้า แรกเริ่มหลัวจืออจื่อที่มาเกิดใหม่ในร่างของหลินหลีฮวาก็คิดว่าตนเองจะใช้ชีวิตให้ดีไม่คิดว่าสุดท้ายพอนางตัดสินใจแต่งงานจะพบหายนะ!
ดูเพิ่มเติมแสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดยาวเหนือแนวเขา ดุจม่านสุดท้ายของโชคชะตาลาลับขอบฟ้า ขบวนทูตจากเผ่าเจียงเคลื่อนผ่านผืนป่าเข้าสู่เขตชายแดนแคว้นต้าฉู่ อาภรณ์สีสด พู่ธงไหวลู่ตามลม ราวกับเป็นขบวนเกียรติยศ
หากแท้จริงแล้ว ภายนอกที่ผู้คนรู้คือเผ่าเจียงส่งท่านหญิงหลัวจือจื่อบุตรสาวคนโตของทู่ป๋าอ๋องเผ่าเจียงมาเป็นทูตสันถวไมตรี ทว่าภารกิจลับคือการส่งตัว หลัวจือจื่อ ไปอภิเษกกับ ไท่จื่อจ้าวจื่อหาน องค์รัชทายาทของต้าฉู่ เพื่อสานพันธไมตรีลับระหว่างสองดินแดนตามข้อตกลงทางการทหารของไท่หมิงฮ่องเต้กับทู่ปาอ๋องหลัวเจิงหนาน
แต่นี่คือสิ่งที่ราชสำนักบางฝ่ายไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะ องค์ชายสาม จ้าวจื่อเฉิน ผู้มองการแต่งงานนี้เป็นภัยอำนาจโดยตรงของตนเอง
เขาจึงส่งมือสังหารฝีมือฉกาจในคราบ “โจรป่า” ซุ่มดัก ณ เส้นทางลับ หวังสังหารหลัวจือจื่อตั้งแต่ก่อนนางจะข้ามพรมแดน
เสียงฝีเท้าม้ากระแทกพื้นดินอย่างรุนแรง สะเทือนจนฝุ่นปลิวว่อน เงาดำมากมายพุ่งออกจากแนวไม้หนาทึบ ประกายดวงตาแต่ละคู่ฉายแววกระหายเลือด เหล็กในมือพวกมันส่องแสงเย็นเฉียบยามกระทบแสงสุดท้ายของวัน
"ศัตรู! ปกป้องท่านหญิง!!"
เสียงตะโกนขององครักษ์ดังลั่น พวกเขาชักดาบออกจากฝัก โลหะปะทะกันดังกึกก้อง เสียงลมหายใจขาดห้วง เสียงเลือดพุ่งสาด ดังก้องแทนบทเพลงอำลาชีวิต
ในขบวนรถม้า หลัวจือจื่อ ท่านหญิงวัยเพิ่งจะครบสิบห้าปี เข้าสู่วัยแรกรุ่นเบิกตากว้าง นางสัมผัสถึงคลื่นอันตรายที่ซัดเข้าหัวใจราวพายุพัด นางไม่เคยคาดคิดว่าวันที่ควรเป็นการเริ่มต้นของชีวิตแต่งงาน จะกลายเป็นจุดจบของการมีชีวิต
แต่…นางไม่ใช่เด็กสาวผู้อ่อนแอ
หลัวจือจื่อ ผู้เคยดื้อดึงตามท่านอาออกศึกตั้งแต่ยังเยาว์ แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ร่วมรบอย่างเปิดเผย แต่นางกลับเรียนรู้การต่อสู้จากข้างสนาม และฝึกเพลงกระบี่ พระจันทร์คู่ เพลงกระบี่ที่มีเพียงทหารม้าเกราะเหล็กของเผ่าเจียงเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ฝึกฝนได้ นางก็จนช่ำชอง เป็นดั่งจันทราทรงพลังคู่หนึ่งในเงามืดของสงคราม
นางกระชากดาบคู่จากข้างเอว ร่างบางกระโจนลงจากรถม้าอย่างสง่างาม เงาดาบในมือนางวูบไหวดั่งแสงจันทร์เฉือนเมฆ หมุนฟันเข้าใส่ศัตรูอย่างแม่นยำ
ฉัวะ!
ดาบซ้ายเฉือนไหล่ ดาบขวาตวัดกรีดเอ็นข้อมือของอีกคน เสียงร้องโหยหวนดังลั่น เลือดสาดกระเซ็นเปื้อนอาภรณ์สีขาวจนย้อมแดง
นางกัดฟันแน่น แม้หัวใจจะเต้นระรัว แต่มือไม่สั่น ความกลัวถูกกลบด้วยความตั้งใจแน่วแน่
"เจ้าจะฝึกกระบี่เพื่ออะไร…ในเมื่อสุดท้ายก็ยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ คิดว่าจะรอดไปได้หรือ เพ้อฝันเสียจริง!"
เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากเงามืด หัวหน้าโจร ในชุดดำสนิทก้าวออกมาช้าๆ แววตาของมันไร้ความปรานี ดาบในมือเคลือบประกายสีเขียวคล้ำวาววับกลิ่นของ “พิษ” ร้ายลอยแตะปลายจมูก
หลัวจือจื่อรู้ทันที…มันไม่ใช่ศัตรูธรรมดาเสียแล้ว
นางพุ่งเข้าใส่ด้วยกระบี่คู่ โจมตีเป็นจังหวะรวดเร็ว ราวระบำแห่งดวงจันทร์ ทั้งอ่อนช้อยและแม่นยำ แต่ดาบของมันกลับรับไว้ได้ทั้งหมด ด้วยพลังที่ไม่สมควรเป็นของมนุษย์
และในจังหวะหนึ่ง…เพียงครึ่งกระพริบตา
ฉึก!
กระบี่ซ้ายในมือนางหลุดจากการควบคุม ร่างของนางชะงักไปทั้งร่าง บาดแผลเล็กๆ ที่ต้นแขนลึกเพียงปลายมีด แต่กลับแล่นความเจ็บจนถึงไขสันหลัง ดวงตาของนางเบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงพิษที่ไหลผ่านกระแสเลือด
มือเริ่มสั่น ความร้อนแผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก
องครักษ์ของนางร่วงลงไปทีละคนถูกหั่น ถูกเฉือน ร่างแหลกเหลวไร้ชิ้นดี เสียงของพวกเขากลายเป็นเสียงร้องขอชีวิตสุดท้ายก่อนจะเงียบงัน
"ท่านหญิง! หนี…"
เสียงสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อดาบของโจรตวัดเฉือนกลางร่างขององครักษ์ผู้ภักดี ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น มือที่ยื่นมาหานางสั่นเทา ก่อนจะหยุดนิ่งตลอดกาล
นางกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าหาหัวหน้าโจรในความมืดอีกครั้ง แม้ร่างจะอ่อนแรง แม้พิษจะแล่นไปทั่วกาย
แต่…
ฉึก!
ดาบของมันเสียบทะลุร่างของนางอย่างโหดเหี้ยม ความเจ็บแล่นพล่านเกินทานทน เลือดไหลทะลักจากปากแผล ดวงตาของนางพร่าเลือน
ก่อนสติจะดับลง ภาพสุดท้ายที่เห็น…
คือ ชายในอาภรณ์สีแดงเข้มโดดเด่นท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยอาชาตัวใหญ่กับคนติดตามกลุ่มหนึ่ง
ใคร…กัน?
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงพร้อมชื่อของนาง ที่เริ่มถูกลืมเลือนจากประวัติศาสตร์ของเผ่าเจียงในวินาทีนั้น…
เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่น พัดฝุ่นแดงฟุ้งขึ้นทั่วแนวป่าลำแสงสุดท้ายของอาทิตย์จางหายแทนที่ด้วยแสงจันทร์คืนเพ็ญตกกระทบกับชายอาภรณ์แดงเข้มที่สะบัดไหวกลางสายลม
ราวกับเลือดที่ยังไม่แห้งบนผืนผ้าใบของสนามรบ
ซ่งไป๋เซียว ปรากฏตัวขี่ม้าดำทะมึน มือข้างหนึ่งจับกระบี่ยาวที่บรรจงสวมปลอกไว้แน่น กระบี่เล่มนั้นคือนามแห่งตำนานของ จ้งฉี หน่วยองครักษ์ลับของไท่หมิงฮ่องเต้แห่งต้าฉู่!
-กระบี่แสงเมฆา-
อาวุธประจำตัวที่มีเพียงองครักษ์ระดับสูงขั้นสองขึ้นไปซึ่งผ่านการคัดเลือกหน้าพระที่นั่งเท่านั้นจะครอบครองได้
เขาคือหัวหน่วยจ้งฉีที่ไท่หมิงฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยที่สุดคือมือขวาของไท่จื่อจ้าวจื่อหาน
และคือผู้ที่ได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้ รีบเดินทางปกป้องหลัวจือจื่อ ไม่ว่าแลกด้วยสิ่งใด!"นายท่าน! ทางนี้ขอรับ!! "
เสียงของ หลินลู่เฟย ดังขึ้นนำทางเข้าไปกลางป่าลึก
เมื่อกลุ่มจ้งฉีทั้งแปดนายควบม้าผ่านแนวไม้รกทึบเข้าสู่ลานโล่งสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ…
นรกบนดิน
ซ่งไป๋เซียวกระตุกบังเหียนม้าจนหยุดนิ่งทันที ดวงตาคมใต้คิ้วเข้มเบิกกว้างน้อย ๆ
ท่ามกลางหมอกเลือดคละคลุ้งศพของขบวนทูตจากเผ่าเจียงนอนเกลื่อนกลาดหญิงสาวในชุด ขาวปัดลวดลายสีทองนอนแน่นิ่งอยู่กลางวงศพองครักษ์ของเผ่าเจียง
..เขามาช้าไปจริง ๆ
หลินลู่เฟยกัดฟันแน่น
"บัดซบ... เรามาช้าไป!"
ซ่งไป๋เซียวไม่พูดสิ่งใด แต่กระบี่แสงเมฆาในมือถูกชักออกอย่างเงียบงันเสียงของโลหะขัดผ่านปลอกดาบ ดังต่ำจนลมหายใจของเหล่าศัตรูสะดุด
"พวกมันยังอยู่! รีบจับกุมพวกมันให้ได้ ข้าต้องการรู้ว่าคือผู้ใดคิดสังหารท่านหญิงทูตจากเผ่าเจียง!"
กลุ่มโจรซึ่งแท้จริงคือมือสังหารขององค์ชายสาม ยังไม่ทันหลบหนี ก็ต้องเผชิญกับจ้งฉีทั้งแปดนายการประทะเริ่มต้นทันทีเสียงดาบฟาดฟันกระหน่ำเหมือนพายุฤดูเหมันต์ เลือดสาดกระเซ็นราวสายฝน ฝีเท้าม้ากระแทกพื้นจนดินกระจาย
ซ่งไป๋เซียวเคลื่อนไหวเร็วราวสายลม กระบี่แสงเมฆาในมือเขาตวัดออกในทุกจังหวะที่แม่นยำ ร่างของศัตรูร่วงลงทีละคน...ทีละคน จนเหลือเอาไว้สอบสวนเพียงห้าชีวิต
เมื่อศึกสงบ ซ่งไป๋เซียวเป็นผู้รีบเข้าไปตรวจดูร่างของท่านหญิงหลัวอจื่อในจังหวะนั้นเอง...
หนึ่งในโจรที่แสร้งทำเป็นตายก็พุ่งตัวขึ้นมาพร้อมดาบที่เคลือบยาพิษ
ฉึก!!!
ดาบเล่มนั้นพุ่งตรงไปที่กลางหลังของซ่งไป๋เซียวแต่ หลินลู่เฟย เห็นเข้าเสียก่อนจึงพุ่งร่างเข้ารับดาบนั้นไว้แทน
เลือดสีแดงฉานทะลักจากร่างที่เคยยืนหยัดเคียงข้างเขาทุกสนามรบมาตลอดสองปีเศษ
"อาลู่!!! "
ซ่งไป๋เซียวประคองร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน ทั้งโลกในยามนี้เหมือนหยุดนิ่ง
ไม่มีเสียงกระบี่…
ไม่มีเสียงลม…
มีเพียงลมหายใจสุดท้ายของสหายรัก…
"นายท่าน…" หลินลู่เฟยฝืนพูดทั้งที่เลือดไหลไม่หยุด เขายังมีห่วง
"ข้า…ยังไม่ได้บอกลาท่านย่ากับน้องสาว…"
ดวงตาเขาแผ่วเบา แต่แววแน่วแน่
"ขอ…นายท่าน…พาเถ้ากระดูกข้ากลับบ้านที… ขอนายท่านนำเงินที่ข้าจะได้…ไปมอบให้…อาหลี…น้อย…ฝาก…"
ซ่งไป๋เซียวกัดฟันแน่นจนเลือดซึมที่ริมฝีปาก
"ข้าสาบาน…จะพาเจ้ากลับบ้านด้วยมือของข้าเอง ข้าจะนำเงินและสิ่งที่เจ้าสมควรได้ไปมอบให้ท่านย่ากับน้องสาวของเจ้าเอง!"
ลู่เฟยยิ้มออกมาทั้งที่น้ำตาไหล เขาพยายามจะพูดบางสิ่งแต่ สุดท้ายเขาก็จากไปในอ้อมแขนของซ่งไป๋เซียวทั้งที่ดวงตามิอาจปิดลง!…
แสดงให้เห็นว่าผู้ตายคงมีบางสิ่งที่เขายากจะปล่อยวาง ไป๋เซียวเจ็บปวดนัก!
หลังจากนั้นซ่งไป๋เซียวเดินไปยังร่างของหลัวจือจื่อที่ไร้ลมหายใจชุดขาวของนางเปรอะเปื้อนเลือดทั่วร่าง กระบี่พระจันทร์คู่วางตกอยู่ข้างมือเล็กที่เย็นเฉียบบอกได้ว่าเด็กสาวก็นับเป็นนักรบคนหนึ่งของเผ่าเจียง
เขาทรุดตัวลงเงียบ ๆ มือที่ฆ่าคนนับร้อยในสนามรบ กลับสั่นเล็กน้อยขณะเอื้อมไปปิดเปลือกตาของนาง
"ข้ามาช้า...เพียงก้าวเดียว…"เสียงเขาเบาจนแทบเป็นเสียงลม วันนี้เขาสูญเสียมากไปแล้ว
"แม้จะเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้...แม้จะเป็นความหวังของไท่จื่อ…แต่ข้าก็ยัง…ช่วยท่านหญิงเอาไว้ไม่ได้"
เขาหลับตาลงชั่วครู่และพูดกับลมหายใจสุดท้ายของเธอว่า
"ชาติหน้า…หากท่านหญิงได้เกิดใหม่…ข้าจะไม่ยอมให้ใครพรากลมหายใจของท่านไปอีกแน่!"
สายลมยามราตรีพัดผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของเขาสะบัดพลิ้วอยู่ใต้แสงจันทร์ ราวกับเปลวเพลิงที่เงียบงัน แต่ยังคงลุกไหม้ไม่สิ้นสุด
…ก่อนที่ซ่งไป๋เซียวจะเอื้อมมือปิดเปลือกตาของนางสายตาของเขากลับเหลือบไปเห็นเครื่อประดับเล็ก ๆ
ที่ตกอยู่ใกล้ตัวของท่านหญิงตัวน้อยปิ่นหยกจันทรา ซึ่งหักครึ่งหนึ่งเขารู้ทันทีว่านี่คือเครื่องหมายประจำตระกูลของเผ่าเจียง เป็นของสำคัญของผู้มีสายเลือดราชวงศ์
เขานิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นควัก ผ้าแพรสีแดงเข้มที่ปักตรากิเลนเพลิงแห่งจ้งฉี
ออกมาจากอกเสื้อ และพันครึ่งหนึ่งของปิ่นหยกไว้อย่างแน่นหนาเขาวางมันแนบไว้ในอุ้งมือของหลัวจือจื่อเอาไว้
ราวกับฝากคำสัญญาอะไรบางอย่างไว้กับนาง
"ข้าไม่เชื่อในปาฏิหาริย์"
เสียงของเขาแหบพร่าต่ำ
"แต่หากสวรรค์ยังมีเมตตา หากท่านมีชาติหน้ายังได้เกิดใหม่ ขอให้ท่านจงรู้เอาไว้ ข้าผิดต่อท่านที่มาช้าไป หากชาติได้พวกเราได้พบกัน ข้าสัญญาจะปกป้องท่านให้ดี"
ปลายนิ้วเขาสัมผัสแผ่วเบาบนหลังมือนาง เป็นสัมผัสสุดท้ายที่เย็นเฉียบก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและหันหลังให้นางพร้อมคำสั่งให้คนของตนเองจัดการศพของท่านหญิงให้ดีเตรียมส่งกลับเผ่าเจียง เขาตรงไปอุ้มร่างของหลินลู่เฟยขึ้นหลังม้าเตรียมพาสหายร่วมรบไปทำพิธีเผาเพื่อจะนำเถ้ากระดูกกลับไปส่งให้กับครอบครัวของเขาที่คงเฝ้ารออยู่…
ม่านราตรีคลี่คลุมผืนป่า เสียงลมพัดแผ่วผ่านชายอาภรณ์สีแดงเข้มของซ่งไป๋เซียวสะบัดในเงามืด
ละลายหายไปในม่านเงาแห่งราตรี…ทว่าในแววตาเย็นชาคู่นั้นกลับมีร่องรอยของคำว่า เสียใจอย่างสุดซึ้งปราก
ตอนที่ 50 || หัวใจของข้ามันตายไปพร้อมกับเจ้า!…คุกหลวงของกรมอาญา…ภายในห้องขังมืดมิด ไร้แสงสว่าง มีเพียงแสงจากคบเพลิงด้านนอกที่ส่องลอดผ่านลูกกรงเข้ามาให้เห็นเงาราง ๆ ของร่างที่ถูกจองจำเหล่ยหลัวเฟย นั่งพิงกำแพง หายใจรวยริน นางหมดเรี่ยวแรง ขยับร่างกายไม่ได้แม้เพียงปลายนิ้วพิษของยาสลายกระดูกยังแทรกซึมไปทั่วร่าง แต่นั่นมิใช่สิ่งที่ทำให้นางเจ็บปวดที่สุดสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือ…คนที่ส่งนางมาที่นี่คือเหล่ยหลัวฟาง!"หลัวฟาง… เจ้าสมควรได้รับผลกรรมที่เจ้าก่อ! "เสียงของ ซ่งไป๋เซียว ดังขึ้นอย่างเย็นเยียบจากนอกห้องขัง ก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาในเงามืด ยืนกอดอกมอง ‘นาง’ ด้วยแววตาเย็นชาหลัวเฟยพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา… แต่นางทำไม่ได้!"เจ้าวางแผนร้าย ต้องการเอาชีวิตของอาหลี เช่นนั้นจงได้ลิ้มรสของความตายเสียบ้าง!"กึก! กึก! กึก!เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้น ไม่นานเงาร่างของ เฉียงเว่ย ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถุงผ้าสีดำใบเล็ก ๆ ก่อนจะเปิดมันออกเผยให้เห็น…งูพิษสีดำตัวใหญ่จากแคว้นซีเยี่ยนถึงห้าตัว!ดวงตาของหลัวเฟยเบิกกว้าง นางพยายามขยับตัวแต่ไร้เรี่ยวแรง น้ำตาของนางไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม…นางกำลังจะตาย!
ตอนที่ 49 ||แม้แต่น้องสาวเจ้าก็กล้าขาย!ภายในเรือนของฮูหยินซ่ง ไป๋ซั่ว นั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ ดวงตาคมปลาบจ้องตรงไปยังเหวินเปียวที่ยืนทำความเคารพอยู่ตรงหน้า หลังจากได้รับรายงานเกี่ยวกับเบื้องหลังของเรื่องทั้งหมด สีหน้าของไป๋ซั่วเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง"เป็นนางไปได้อย่างไร?"เขาพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยสงสัย เหล่ยหลัวฟาง มาก่อน แต่นางเป็นพี่สาวฝาแฝดของว่าที่ฮูหยินของเขา! คนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกันแท้ ๆ ไฉนเลยจะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้? ที่สำคัญ… หลัวฟางไม่ห่วงน้องสาวของตนบ้างเลยหรือ?ต่างจาก ไป๋เซียว ที่นั่งเฝ้าอาหลีอยู่ไม่ไกล สีหน้าของเขาดำทะมึนลงทันทีที่ได้ฟังรายงานจากเหวินเปียว เพลิงโทสะในดวงตาของเขาร้อนแรงจนแทบจะลุกไหม้ได้"หลัวฟาง…" ไป๋เซียวกัดฟันกรอด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกดต่ำ"คราวนี้ข้าจะไม่ปล่อยนางไว้แน่!"บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด ท้องฟ้ายามราตรีของจวนสกุลซ่งเงียบสงัด ทว่าเบื้องหลังความเงียบงันนั้นคือพายุร้ายที่กำลังก่อตัว"หลักฐานทั้งหมดมัดตัวหลัวฟางแน่นหนา นางเป็นผู้วางแผนทั้งหมด นางต้องรับโทษ!" ไป๋เซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเย
ตอนที่ 46 || สืบหาผู้อยู่เบื้องหลังงูพิษภายในเรือนของ ฮูหยินซ่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดันและเคร่งเครียด ไป๋เซียว นั่งเฝ้าข้างเตียงของ อาหลี ไม่ห่าง สองมือของเขากุมมือเล็กที่ซีดเซียวไว้แน่น ความเย็นของมือนางทำให้เขาแทบบ้าตายเขาไม่เคยรู้สึกสิ้นหวังและโกรธแค้นเท่านี้มาก่อน!"อาหลี… เจ้าต้องไม่เป็นอะไร…"เขากัดฟันแน่น นับตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงยามเฉิน เขาเปลี่ยนยาดูดพิษและป้อนยาให้นางตรงตามเวลา แต่อาการของอาหลีกลับดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดวงตาคมปลาบแฝงไปด้วยเพลิงโทสะที่พร้อมเผาผลาญทุกคนที่ทำร้ายนางแต่บัดนี้… ไป๋เซียว ยังมิอาจทำตามใจตนเองได้เขาจะรอให้อาหลีฟื้นขึ้นมาก่อน… จากนั้นเขาจะทำให้ผู้ที่คิดร้ายกับนางไม่ได้ตายดีแน่!ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นหน้าห้อง ก่อนที่ร่างสูงของ ไป๋ซั่ว จะก้าวเข้ามา ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดไม่แพ้กัน"ข้ากลับมาจากวังหลวงก็ได้ยินเรื่องของอาหลีแล้ว!"น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหนักใจและโกรธแค้น ในสายตาของ ไป๋ซั่ว น้องสะใภ้ผู้นี้อยู่ในฐานะเดียวกับน้องสาวของเขาเองพอได้เห็นอาหลีบาดเจ็บหนัก นอนนิ่งไม่รู้สึกตัวเช่นนี้ ไป๋ซั่วก็โกรธจนแทบระเบิด!เ
ตอนที่ 45 || ส่งเสริมน้องสะใภ้สุดกำลัง!ในขณะที่จวนซ่งอาหลีต้องเผชิญเรื่องร้าย ท่านด้านซ่งไป๋ซั่วนั้นก็ถูกไท่หมิงฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว…บัดนี้ที่ห้องรับรองเล็ก ภายในตำหนักอวิ๋นหลงของวังหลวง ที่ประทับส่วนพระองค์ของไท่หมิงฮ่องเต้ มีบุรุษผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินต้าฉู่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยกิริยาผ่อนคลาย ที่มือซ้ายถือถ้วยชาลวดลายมังกรวิจิตรเอาไว้ ท่าทีดูผ่อนคลายก็จริงแต่สายนั้นยังคมลึกเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามซ่งไป๋ซั่วยืนอยู่ด้านล่าง บรรยากาศรอบตัวไม่ถึงกับเคร่งขรึม เช่นเมื่ออยู่ในท้องพระโรงใหญ่ ทว่าใบหน้าของท่านราชเลขากลับยังคงนิ่งสงบสำรวมเช่นเดิม"เจ้าบอกว่า… ฮูหยินของไป๋เซียว เสี่ยงชีวิตเข้าไปรักษาคนป่วยในหอนางโลม?" ไท่หมิงฮ่องเต้เอ่ยถาม ดวงตาของพระองค์จับจ้องไป๋ซั่วแน่วแน่ไป๋ซั่วประสานมือคารวะ "พ่ะย่ะค่ะ""นางรู้หรือไม่ว่าสิ่งนี้อาจทำให้ตนเองเดือดร้อน?""นางย่อมรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ" ไป๋ซั่วกล่าวเสียงหนักแน่น"แต่นางกลับยังเลือกที่จะทำ เพราะสำหรับอาหลีแล้ว ความเป็นความตายของผู้คนสำคัญกว่าชื่อเสียงของตนเอง"ไท่หมิงฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งหลังฟังจบ ก่อนเขาจะวางถ้วยชาลง แววตาของพระองค์
ตอนที่ 46 ||งูกัดเจ้าแต่พิษกระจายมาถึงหัวใจข้าแล้ว…ภายในห้องของ ฮูหยินซ่ง บรรยากาศตึงเครียดจนแทบไม่มีใครกล้าหายใจแรง ทุกคนต่างเฝ้ามอง อาหลี ด้วยความเป็นห่วง ร่างของเด็กสาวตัวเล็กนอนอยู่บนเตียงกว้าง เหงื่อเย็นไหลซึมทั่วใบหน้า เสื้อผ้าที่นางสวมใส่เปียกชุ่มไปหมด ริมฝีปากซีดเผือด ดวงตากลมโตพร่ามัวเพราะพิษกำลังแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดถึงอย่างนั้น นางกลับไม่ร้องไห้แม้แต่ครึ่งคำอาหลีเป็นหมอ นางย่อมรู้ว่าหากตนเองขาดสติ จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก และอาการของนางอาจหนักจนเกินกว่าจะรักษาได้ ดังนั้นนางจึงอดทนทุกข์ทรมานโดยไม่ปริปาก นางรู้สึกเหมือนร่างกายถูกไฟแผดเผาจากภายใน ความร้อนและอาการชาแผ่ขยายจากข้อเท้าขึ้นมาเรื่อย ๆ หากยังไม่มีใครมาถอนพิษ นางคงหมดสติในอีกไม่นานแต่ต่อให้นางเจ็บปวดทรมานเพียงใด อาหลีก็ยังคงมีสติและคิดแทนผู้อื่น"อาหนิว อาจิ่ว… ยา… เตรียมสมุนไพร… ไว้ให้พร้อม… อย่าลืม…"เสียงของนางแหบแห้ง และแผ่วเบาราวกับลมหายใจ แต่นางยังคงสั่งการอย่างมั่นคง อาหนิวกับอาจิ่วรีบพยักหน้า ทั้งสองสาวใช้ที่ภักดีต่อฮูหยินของพวกนาง น้ำตานองหน้า แต่ก็ทำตามคำสั่งโดยไม่อิดออดนางคือฮูหยินของท่านหมอซ่
ตอนที่45|| แผนปลิดชีพอาหลีของหลัวฟางภายในห้องส่วนตัวของ เหล่ยหลัวฟาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความคับแค้นและเดือดดาล ความเงียบภายในเรือนถูกทำลายด้วยเสียงสบถของนางที่เต็มไปด้วยโทสะรุนแรง"นังอาหลีนั่นรอดไปได้อีกแล้ว!"เสียงของนางดังลั่นราวกับจะสะท้อนความโกรธเคืองออกมาให้ทั่วทั้งเรือนรับรู้ นางกำหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อของตนเอง ความโกรธแค้นทำให้ดวงตาของนางแดงก่ำ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไปด้วยเพลิงโทสะที่เดือดพล่านทำไม?ทำไมนังสวะนั่นถึงรอดมาได้ทุกครั้ง!?แผนการของนางถูกวางไว้อย่างแยบยล นางรู้ดีว่า ซ่งไท่จวิน และ ใต้เท้าซ่ง อยากขับไล่หลินหลีฮวาออกจากจวนสกุลซ่ง อีกทั้งพวกเขาก็อยากได้ ‘สะใภ้ที่คู่ควร’ เช่นนางเข้ามาแทนที่! แต่ทุกอย่างกลับพังพินาศเพราะ ฮูหยินซ่ง หญิงแก่ใจอ่อนที่ดันเข้ามาปกป้องนังเด็กนั่นและยิ่งนางคิดถึง ซ่งไป๋เซียว ที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อปกป้องอาหลี หัวใจของนางก็แทบลุกเป็นไฟเขาไม่เคยมองนางเลย...ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าหลัวฟางจะทำเช่นไร ไป๋เซียวก็ยังคงเลือกปกป้อง นังเด็กสกุลหลิน!"ข้าจะไม่ยอมให้มันรอดไปได้อีก! ข้าไม่ยอม! ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้!!""คุณหนู ใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ!"
ความคิดเห็น