ซ่งเชียนฉู่กังวลมากลั่วชิงยวนมองไปที่หลังคาแล้วพูดว่า "อุดอู้เกินไป เจาะรูให้ข้าหน่อย"ซ่งเชียนฉู่ตกใจเล็กน้อย มองขึ้นไปแล้วพยักหน้า “ได้สิ”จากนั้นซ่งเชียนฉู่ก็สั่งให้คนยกกระเบื้องหลังคาบางส่วนออกทันที เผยให้เห็นรูขนาดใหญ่พระอาทิตย์ส่องแสงเข้ามา ตกกระทบไปที่ร่างกายและใบหน้าของลั่วชิงยวนนางหลับตาลง เพลิดเพลินกับความอบอุ่นที่หาได้ยากนี้ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงข้างนอกเบา ๆ นางจึงถามขึ้นว่า “ลั่วเยวี่ยอิงอยู่ข้างนอกหรือ?”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “เอะอะมานานแล้ว”“มิต้องห่วง ข้ามิให้นางเข้ามาได้หรอก”“ข้าเรียกเฉินเซี่ยวหานและองค์ชายเจ็ดแล้ว ข้ามิเชื่อว่าลั่วเยวี่ยอิงจะกล้าทำอะไร”“เพียงแต่บาดแผลของท่าน ข้า...”นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งเชียนฉู่มิมั่นใจลั่วชิงยวนกล่าวว่า “มิเป็นไร ข้าจะดีขึ้นเอง”“อาจต้องใช้เวลาสี่ห้าวันเพื่อซ่อมแซมเส้นลมปราณ”สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับการพยายามครั้งนี้!จะฟื้นฟูวรยุทธและก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นหรือจะกลายเป็นคนไร้ค่าไปเลยซ่งเชียนฉู่พยักหน้า “ได้ ข้าจะเฝ้าอยู่นอกประตู”หลังจากปิดประตูแล้วลั่วชิงยวนก็หยิบเข็มทิศออกมานางวางเข็มทิศไว้ที่หน้าอก เ
ภายในห้องฟู่เฉินหวนสวมอาภรณ์ขาวบางนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดซูโหยวส่งยาไปให้ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “ท่านอ๋อง หรือว่าเราไปขอให้แม่นางซ่งช่วยดูให้หน่อยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านกระอักเลือดมาหลายวันแล้ว ต่อให้ร่างกายแข็งแรงแค่ไหนก็ทนมิไหวหรอกพ่ะย่ะค่ะ”มิเคยเห็นท่านอ๋องซีดเซียวอ่อนแอเช่นนี้มาก่อนเลยฟู่เฉินหวนรับถ้วยยามา แล้วค่อย ๆ กินยาในถ้วยจนหมดมือที่ซีดเซียวเช็ดมุมปาก และกล่าวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “มีข่าวคราวของพวกชาวเผ่านอกด่านบ้างหรือไม่?”ซูโหยวส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหนีไปตั้งแต่คืนที่พระชายาเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ตอนนี้มิน่าจะอยู่ในเมืองหลวงแล้ว แต่ไม่มีบันทึกการออกเมืองของพวกเขา มิรู้ว่าออกเมืองไปได้อย่างไร”“แต่กระหม่อมคิดว่า ต้องมีคนช่วยพวกเขาอยู่เบื้องหลังเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของฟู่เฉินหวนก็เย็นชาลงเล็กน้อย และน้ำเสียงก็เย็นชาลง “สืบต่อไป”“ชาวเผ่านอกด่านพวกนี้มาเร็วไปเร็ว เป็นไปมิได้ที่พวกเขาจะมาเพื่อฆ่าลั่วชิงยวนเท่านั้น”“ติดต่อฉินเชียนหลี่ด้วย ถามเขาว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร”ซูโหยวรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”…
มิใช่ว่าวรยุทธของลั่วชิงยวนถูกทำลายไปแล้วหรือ!ลั่วเยวี่ยอิงหายใจติดขัด ลุกขึ้นถอยหลังไปหลายก้าวแสงจันทร์ส่องสว่าง ลั่วชิงยวนเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาฉายแววแข็งกร้าว “ต้องขอบคุณเจ้าที่ปลุกข้าขึ้นมา”ลั่วเยวี่ยอิงมองเห็นแววตาแข็งกร้าวที่เต็มไปด้วยเจตนาร้าย จิตใจสั่นระรัว กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แล้วหันหลังวิ่งหนีไปลั่วชิงยวนมองดูลั่วเยวี่ยอิงวิ่งหนีออกจากห้องอย่างลนลานนางก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ใช้เท้าเกี่ยวเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วเตะมันออกไปเก้าอี้พุ่งเข้าชนหลังของลั่วเยวี่ยอิงลั่วเยวี่ยอิงล้มลงกับพื้นอย่างแรงลั่วชิงยวนเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ แล้วเหยียบบนหลังของลั่วเยวี่ยอิงมิว่าลั่วเยวี่ยอิงจะดิ้นรนอย่างไรก็มิสามารถหลบหนีได้ นางจึงตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”จือเฉาวิ่งเข้ามาด้วยผมที่เปียกโชกและใบหน้าซีดเซียว “พระชายา ท่านมิเป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”ลั่วชิงยวนเหลือบมองนาง ด้วยแววตาที่เย็นชาเท้าซ้ายของนางค่อย ๆ เคลื่อนไปที่ข้อมือของลั่วเยวี่ยอิงแล้วเหยียบลงไปอย่างแรง “เจ้าช่างกล้านัก กล้านำคนมาสังหารที่เรือนของข้า แล้วยังจะสังหารคนของข้าอีก”“ใครให้ความกล้า
“ท่านยังอยากจะทำลายวรยุทธของหม่อมฉันอีกหรือ! ฟู่เฉินหวน มันไม่มีทางเป็นไปได้อีกแล้ว! ไม่มีวันเป็นไปได้ตลอดกาล!”ลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงที่เฉียบคม พร้อมกับฝ่ามือที่รุนแรงหลายครั้ง บีบให้ฟู่เฉินหวนถอยร่นไปร่างกายของฟู่เฉินหวนสั่นคลอนอย่างมิมั่นคง เขาเอามือทาบที่หน้าอกพร้อมกับกระอักเลือดออกมาซูโหยววิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก เข้าไปประคองฟู่เฉินหวนเขาตะโกนว่า “พระชายา ท่านหยุดเถิดขอรับ ท่านมิรู้หรอกว่าท่านอ๋อง…”ซูโหยวอยากจะพูดว่าท่านอ๋องกระอักเลือดออกมามากแล้วในช่วงนี้ และตอนนี้ร่างกายก็อ่อนแอมากด้วยแต่ฟู่เฉินหวนกลับยกมือขึ้น ห้ามมิให้เขาพูดต่อเพียงแค่เหลือบมองลั่วเยวี่ยอิง แวบหนึ่งในหัวของฟู่เฉินหวนก็รู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมา อยากจะพุ่งเข้าไปฆ่าลั่วชิงยวนแต่สติก็บอกเขาว่าทำมิได้เขาอดกลั้นความเจ็บปวดไว้ พลิกตัวแล้ววิ่งออกจากลานเรือนไป“ท่านอ๋อง…” ซูโหยวรีบตามไปฟู่เฉินหวนเจ็บจนชนเข้ากับกำแพง อยากจะชนให้หัวแตกฟู่เฉินหวนเจ็บจนชนเข้ากับกำแพง อยากจะชนให้หัวแตก“พาลั่วเยวี่ยอิงไปรักษา ไป!”ซูโหยวก็ตกใจเช่นกัน “พ่ะย่ะค่ะ!”ฟู่เฉินหวนอดทนตลอดทางกลับห้อง มิกล้าให้คนอื่นเ
ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินออกไปนางมาถึงจวนแม่ทัพใหญ่ยังมิทันได้เคาะประตู ประตูก็เปิดออกเมื่อแม่ทัพใหญ่ฉินเห็นนางก็ตกใจเล็กน้อย “พระชายามาแล้วหรือ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “แม่ทัพใหญ่กำลังจะออกไปข้างนอกหรือ”แม่ทัพใหญ่ฉินจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ข้าต้องเข้าวัง จักรพรรดิสูงสุดทรงประชวรหนัก”“หากท่านมีเรื่องอะไรจะให้ข้าช่วย ก็รอข้าที่จวนสักครู่ รอข้ากลับมาค่อยว่ากัน!”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ข้ามาหาฉินไป๋หลี่”“อ้อ ๆ งั้นก็ดี เขาอยู่จวน”แม่ทัพใหญ่ฉินพูดจบก็รีบออกไปลั่วชิงยวนเข้าไปในจวน เดินไปยังลานด้านในเห็นฉินไป๋หลี่กำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ลานจวนโดยมีหลี่เซียวม่านยืนอยู่ข้าง ๆ คอยให้คำแนะนำเมื่อฝึกกระบี่เสร็จ ลั่วชิงยวนจึงเดินเข้าไปในลาน“พระชายา” หลี่เซียวม่านคารวะอย่างสุภาพ“พระชายามางั้นหรือ?” ฉินไป๋หลี่ยื่นกระบี่ให้หลี่เซียวม่าน“ช่วงนี้คุณชายรองเป็นอย่างไรบ้าง?” ลั่วชิงยวนกล่าวถามฉินไป๋หลี่ยิ้ม “พอจะมองเห็นแสงสลัว ๆ และใบหน้าเลือนรางบ้างแล้วขอรับ เชื่อว่าสักวันจะต้องหายดี!”ลั่วชิงยวนจับชีพจรตรวจดู อาการของเขากำลังฟื้นตัวได้ดีจ
“มีความเกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิ?”“เมื่อครู่นี้ ท่านพ่อของข้าได้รับข่าวว่า องค์จักรพรรดิสูงสุดกำลังจะสิ้นพระชนม์”“ถึงแม้ว่าองค์จักรพรรดิสูงสุดจะทรงประชวรมาโดยตลอด แต่อาการก็ทรงตัวมาตลอด เพิ่งจะทรุดหนักลงเมื่อมิกี่วันมานี้ ได้ยินมาว่าเหล่าหมอหลวงต่างเฝ้าอยู่ข้างเตียงองค์จักรพรรดิสูงสุดตลอดเวลา”คำพูดนี้เตือนให้นึกถึงกะโหลกหมาป่าที่พวกคนนอกด่านส่งมา ตอนนั้น ฟู่จิ่งหานมิต้องการรับไว้ แต่ไทเฮารับสั่งว่า สามารถนำไปถวายแด่จักรพรรดิสูงสุดได้หรือว่าจะเป็นเพราะกะโหลกหมาป่า“ข้าอยากเข้าวังไปดูสักหน่อย”ฉินไป๋หลี่พยักหน้า “ข้าจะไปกับท่าน”“ท่านพ่อน่าจะยังอยู่ในวัง”ลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางเข้าวังหลวงด้วยความช่วยเหลือของฉินไป๋หลี่ ลั่วชิงยวนจึงได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ“พวกเจ้ามาเพราะเรื่องของเสด็จพ่องั้นหรือ? พอดีเลย เรากำลังจะไปเยี่ยมเสด็จพ่อ ไปด้วยกันเถอะ” ฟู่จิ่งหานจัดการกับฎีกาเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกเดินทางลั่วชิงยวนรีบเรียกเขาไว้ “ช้าก่อนเพคะ”“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากจะถามว่า วันนั้นที่พวกคนนอกด่านนำกะโหลกหมาป่ามาถวาย ในตอนที่ฝ่าบาทเห็นมันครั้งแรก รู้
“ครั้งนี้ต้องขอบพระทัยไทเฮา! ไทเฮาใช้พระโลหิตของพระองค์เองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิสูงสุด!”ทุกคนที่ได้ยินต่างตกใจอย่างมากฟู่จิ่งหานรีบก้าวไปข้างหน้าด้วยความกังวล “เสด็จแม่ ไฉนถึงได้เสี่ยงเช่นนี้เล่า”ไทเฮาตบบนหลังมือของฟู่จิ่งหานเบา ๆ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ตราบใดที่เสด็จพ่อของเจ้ามิเป็นไรก็พอแล้ว ตัวข้าเข้าวังมาตั้งแต่อายุสิบสี่ปี อยู่เคียงข้างเสด็จพ่อของเจ้ามาตลอด”“ตอนนี้จะทนเห็นพระองค์เป็นอะไรไปได้อย่างไร ตราบใดที่ยังพอมีหนทาง ตัวข้าก็จะมิยอมละทิ้งพระองค์”คำพูดของไทเฮาทำให้ขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากไม่มีใครคาดคิดว่าไทเฮาจะยอมใช้พระโลหิตของพระองค์เองเพื่อช่วยองค์จักรพรรดิสูงสุดในเวลานี้ แม่ทัพใหญ่ฉินเดินเข้ามาถามว่า “มิทราบว่าในวันนี้พวกเราจะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสูงสุดได้หรือไม่?”หมอหลวงหลี่กล่าวว่า “ชีพจรขององค์จักรพรรดิสูงสุดเพิ่งจะกลับมาเป็นปกติ พระองค์ยังทรงบรรทมอยู่ ขุนนางทุกท่านโปรดวางใจเถิด”“มิสะดวกให้เข้าไปรบกวนองค์จักรพรรดิสูงสุด”แม่ทัพใหญ่ฉินรู้สึกมิพอใจในใจ เรียกพวกเขามาทุกวัน แต่ก็มิให้พวกเขาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิสูงสุดมิรู้เ
คำพูดมิกี่คำของลั่วชิงยวน ก็ทำให้ไทเฮาถึงกับพูดมิออกคนอื่น ๆ ก็พากันสงสัย ลั่วชิงยวนพูดถูกแล้วนี่!ไทเฮาโกรธมากแต่ก็มิสามารถโต้กลับได้ จึงตะโกนว่า “หมอหลวงหลี่ เจ้าอธิบายกับนาง!”หมอหลวงหลี่ทำหน้าลำบากใจ ได้แต่พูดปดว่า “ไทเฮาเคยเสวยโอสถอายุวัฒนะมาบ้าง พระโลหิตของพระองค์จึงสามารถรักษาองค์จักรพรรดิสูงสุดได้ เพียงแต่ว่ามิเคยรู้มาก่อน เพิ่งจะมาค้นพบตอนนี้”ลั่วชิงยวนแค่นเสียงเยาะเย้ย “เช่นนั้นหมอหลวงหลี่บอกมาหน่อยว่าไทเฮาทรงเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรมาหรือ?”หมอหลวงหลี่พูดติดขัด ตอบมิได้สุดท้ายก็พูดเสียงเย็นว่า “ตอนนี้อาการขององค์จักรพรรดิสูงสุดคงที่ก็เพราะพระโลหิตของไทเฮา ความจริงเป็นเช่นนี้ ท่านจะถามอะไรมากมาย ไทเฮาทรงเสวยโอสถอายุวัฒนะอะไรมา ต้องบอกให้ท่านรู้ด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบาๆ “หมอหลวงหลี่จะพูดก็พูดสิ ไฉนต้องร้อนตัวด้วยเล่า”หมอหลวงหลี่หน้าเสียไทเฮาก็หน้าเสียมากเช่นกันฟู่จิ่งหานฉวยโอกาสพูดขึ้น “หมอหลวงหลี่ยังอธิบายเองมิได้ งั้นข้าก็ยิ่งวางใจมิได้ ให้ลั่วชิงยวนเข้าไปดูหน่อยเถอะ”แม่ทัพใหญ่ฉินก็พูดเสริมว่า “ใช่แล้ว หมอหลวงในวังรักษามานานก็มิดีขึ้น ลองวิธีอื่นดูก็มิเ
ร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งถือกระบี่เดินเข้ามาหาลั่วชิงยวน โซ่เหล็กด้านหลังลากคนสามคนไว้แม้จะออกแรงสุดกำลังแล้วก็ยังฉุดรั้งโหยวจิ้งเฉิงไว้มิได้แต่ร่างของโหยวจิ้งเฉิงในตอนนี้ไม่มีศีรษะแล้ว ยากที่จะควบคุมร่างกายได้ลั่วชิงยวนถือกระบี่เงื้อฟันไปยังร่างของฝูเหมิ่ง เช่นเดียวกับตอนที่โหยวจิ้งเฉิงตัดแขนขาของอวี๋ตันเฟิ่งนางกำลังแก้แค้นและระบายความแค้นอย่างบ้าคลั่งตัดแขนของเขาขาดทีละข้างกระบี่ห้วงสวรรค์ร่วงลงสู่พื้นไปพร้อมกับแขนจากนั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ขาดกระเด็นอวี๋ตันเฟิ่งอาละวาดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งเมื่อมองไปยังซากศพที่กองอยู่บนพื้น ดวงตาของลั่วชิงยวนก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานใต้หล้าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งสามที่อยู่มิไกลต่างตกตะลึงมิเคยเห็นฉากที่นองเลือดเช่นนี้มาก่อนแต่ถึงแม้ร่างกายจะแหลกละเอียด โหยวจิ้งเฉิงก็ยังมิตายทันใดนั้นมีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากซากศพ แล้วลอยละลิ่วไปอวี๋ตันเฟิ่งกรีดร้องแหลม “โหยวจิ้งเฉิง เจ้าอย่าหวังว่าจะหนีไปไหนได้อีก! ข้าจะทำให้เจ้ามิได้ผุดได้เกิด!”พลังในร่างของนางพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลมพายุโหมกระหน่ำ ลั่วชิงยวนรู้สึกราว
ใบหน้านั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นโหยวจิ้งเฉิง“ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งเย็นเยือกโฉวสือชีกำกระบี่ในมือแน่น ปกป้องคนใบ้และอวี๋โหรวไว้ส่วนลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเท้าไปข้างหน้าในดวงตาค่อย ๆ ก่อเกิดจิตสังหารนางหลับตาลง แล้วกล่าวว่า “อวี๋ตันเฟิ่ง ไปแก้แค้นของเจ้าเถิด”ลั่วชิงยวนมอบร่างของตนให้อวี๋ตันเฟิ่งโดยสมบูรณ์เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของนางยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่แววตานั้นกลับดุดันยิ่งนัก ดวงตาสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความแค้นเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งดังขึ้น “โหยวจิ้งเฉิง ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ถึงคราวสะสางแล้ว”“สิบกว่าปีที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะฉีกร่างเจ้าเป็นชิ้น ๆ อย่างไรถึงจะสาสมกับความแค้นในใจข้า”“แต่คาดมิถึงว่าเจ้าจะตายไปแล้ว”“แต่ก็มิเป็นไร วันนี้ข้าจะฉีกร่างเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ ให้ได้!”เมื่อกล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็กระโจนเข้าไปเสียงอาวุธปะทะกันอย่างรุนแรงดังขึ้นแต่ในเวลานี้เอง โหยวจิ้งเฉิงก็พุ่งไปยังกำแพง คว้ากระบี่ห้วงสวรรค์มาได้ จากนั้นกระโจนออกนอกห้องไปอวี๋ตันเฟิ่งรีบไล่ตามไปสีหน้าคนใบ้เปลี่ยนไป กระบี่ห้วงสวรรค์! หากฝูเหมิ่ง
ต่งอวิ๋นซิ่วตกใจจนหน้าซีดเผือด รีบยกมือขึ้นมาป้องกัน แล้วต่อสู้กับฝูเหมิ่งแต่พลังในตอนนี้ของต่งอวิ๋นซิ่วเทียบกับฝูเหมิ่งแล้วยังอ่อนแอกว่ามากนักสุดท้ายก็ถูกฝูเหมิ่งบีบคอไว้แน่นลั่วชิงยวนเห็นชัดเจนว่าในร่างของฝูเหมิ่งตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิง!เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เขาจะฆ่าต่งอวิ๋นซิ่วภรรยาของตนหรือ?เมื่อเห็นดังนั้น โหยวเซียงก็ชักกระบี่พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยต่งอวิ๋นซิ่ว แต่ฝูเหมิ่งกลับมิหลบเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้กระบี่ในมือนางแทงทะลุร่างจากนั้นฝูเหมิ่งก็ฟาดมือไปทีหนึ่ง โหยวเซียงจึงกระเด็นปลิวไปโหยวเซียงกระอักเลือดออกมาต่งอวิ๋นซิ่วร้อนใจยิ่งนัก “เซียงเอ๋อร์ มิต้องสนใจแม่ รีบหนีไป!”โหยวเซียงจะทนมองดูมารดาของตนถูกฆ่าได้อย่างไร นางพยายามลุกขึ้นมาสู้ต่อแต่ฝูเหมิ่งกลับมองโหยวเซียงอย่างดุดัน แล้วกล่าวขู่ “คนที่ข้าต้องการฆ่ามีเพียงต่งอวิ๋นซิ่วเท่านั้น เจ้าจงหลีกไป”“มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเห็นแก่ความเป็นพ่อลูก”เมื่อได้ยินดังนั้น โหยวเซียงก็ตกใจจนยืนอึ้งไปกับที่ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือ “พ่อ… พ่อลูกหรือ?”ตอนนี้เสียงของฝูเหมิ่งก็มิใช่เสียงของฝูเหมิ่งอีกต่อไปแล้วเมื่อต่งอวิ๋นซิ่ว
ขณะนี้เอง โหยวเซียงก็ฉวยโอกาสหลบหนีจากมือของลั่วชิงยวนไปได้ต่งอวิ๋นซิ่วมองพวกเขาอย่างเย็นชา “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็เตรียมตัวตายได้เลย!”ทันใดนั้นบนคานเรือนก็ปรากฏชายชุดดำจำนวนมากพร้อมถือหน้าไม้เล็งมาที่พวกเขาลูกดอกอันคมกริบประกายแสงเย็นลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก หัวเราะอย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเตรียมการมาอย่างดี ตอนนี้พวกข้าคงหนีออกจากห้องนี้ไปมิได้แล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนสังเกตประตูห้อง รวมถึงผนังห้องทุกด้าน แล้วพบว่ามีกลไกบนประตูเหนือศีรษะ ต่งอวิ๋นซิ่วหัวเราะเบา ๆ “แน่นอน นี่คือห้องกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อรับมือพวกเจ้าที่บุกรุกเข้ามาบนเขา”“วันนี้พวกเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ออกไปแม้แต่คนเดียว!”ลั่วชิงยวนจับกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นแล้วพุ่งไปที่กลไกจุดหนึ่งบนผนังห้อง ฟาดฟันกระบี่ลงไปอย่างแรงต่งอวิ๋นซิ่วรีบดึงโหยวเซียงหลบหลีกไปแต่ใครเล่าจะรู้ว่าลั่วชิงยวนมิได้โจมตีพวกนาง แต่กลับฟันกลไกบนผนังห้องทำให้ประตูห้องลงกลอนอย่างสมบูรณ์เมื่อเห็นเช่นนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็หัวเราะเยาะ “เจ้าช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก”ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างมีความหมาย “เช่นนั้นรึ? ยังมิรู้เลยว่าใครกันแน่ที่จะ
ร่างที่เดินออกมาจากฝูงชนนั้นมีท่าทางคุกคามยิ่งนักลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย นั่นคือสตรีที่นางเห็นในความทรงจำของอวี๋ตันเฟิ่งต่งอวิ๋นซิ่ว!โหยวเซียงดิ้นรนพลางเงยหน้ามองต่งอวิ๋นซิ่วด้วยดวงตาแดงก่ำ “ท่านแม่… เป็นความผิดของลูกเองที่ปล่อยให้พวกมันขึ้นเขามาได้”หากมิใช่เพราะลั่วชิงยวนรู้ทางลับของวัดร้างแห่งนั้น พวกนางคงไม่มีทางขึ้นเขามาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้!ต่งอวิ๋นซิ่วมองด้วยความเจ็บปวดแล้วตวาดใส่ลั่วชิงยวน “ปล่อยลูกสาวข้าเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้าตายเยี่ยงไร้ที่ฝัง!”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อคืนยังพยายามทำลายวิญญาณที่เหลือของอวี๋ตันเฟิ่งอยู่เลย วันนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าศัตรูของเจ้าคือใคร?”“ใครกันแน่ที่จะตายแบบไร้ที่ฝัง ยังบอกมิได้หรอก”เมื่อได้ยินดังนั้น ต่งอวิ๋นซิ่วก็สะดุ้งเฮือก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากท่าทางของนางดูตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามซ่อนไว้ได้ดีนางมองลั่วชิงยวนอย่างใจเย็น แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงเมืองแห่งภูตผี ก็คงต้องการของล้ำค่าของเมืองแห่งภูตผีสินะ”“พวกเจ้าอยากได้อะไร ข้าสามารถให้เจ
นางปฏิเสธอย่างหนักแน่นลั่วชิงยวนกลับยกยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น “พานางไปด้วย ไปวัดร้าง!”พวกเนางมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ โหยวเซียงดิ้นรนตลอดทาง แต่โฉวสือชีและคนใบ้จ้องมองทุกการกระทำของนางอย่างใกล้ชิด มิเปิดโอกาสให้นางหลบหนีไปได้แม้แต่น้อยเมื่อเดินไปได้ไกลมากพอสมควร เสียงไก่ขันยามรุ่งอรุณก็ดังขึ้นแล้วในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดร้างแห่งนั้นในวัดร้างมีพระพุทธรูปที่เป็นซากปรักหักพังล้มลงบนพื้น ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครมานานแล้วเมื่อมองหาอย่างละเอียดก็พบรอยเท้าบนพื้นลั่วชิงยวนมั่นใจยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่ถูกต้อง!โหยวเซียงจ้องมองทุกการกระทำของลั่วชิงยวนอย่างกระวนกระวาย เกรงว่าลั่วชิงยวนจะพบกลไกเข้าแต่ลั่วชิงยวนกลับสังเกตปฏิกิริยาของโหยวเซียง ค่อย ๆ เดินไปในแต่ละที่โดยอาศัยการสังเกตปฏิกิริยาโหยวเซียงสุดท้ายลั่วชิงยวนจึงเพ่งเล็งไปที่ผนังด้านหนึ่งแล้วเริ่มค้นหากลไกเสียงเปิดกลไกดังแกร๊กดังขึ้นประตูบานหนึ่งบนพื้นพลันเปิดออกหลังจากที่ลั่วชิงยวนเปิดประตูแล้วก็พบว่าด้านล่างยังมีประตูอีกบานหนึ่ง และบนนั้นก็มีกลไกเช่นกันแต่สำหรับลั่วชิงยวนแล้วเรื่องนี้ง่ายมากเมื่อประต
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน