กลับกัน นางมีความเก่งกาจโดดเด่นมาโดยตลอดจนเรียกว่าแข่งกับองค์หญิงลั่วชวนในทุก ๆ เรื่อง แม้กระทั่งการเล่นตีคลีก็เช่นกัน งานแข่งตีคลีครั้งนี้ นับเป็นการลงสนามแข่งขันอย่างเป็นทางการหลังพิธีปักปิ่นของพวกนางสองคน ทั้งคู่ต่างแบ่งกลุ่มมาก่อนเรียบร้อยแล้ว บัดนี้หลิ่วหมิงจูกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง ในสายตาขององค์หญิงลั่วชวนมองแล้วชัดเจนว่าจงใจยั่วโทสะอย่างไม่ต้องสงสัย หลิ่วหมิงจูกลั้วหัวเราะเสียงเบา: “ชนะข้า? องค์หญิง หากท่านคิดอยากจะชนะข้า…ชนะคนอื่นให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” สีหน้าของนางดูราบเรียบ เอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม: “ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลชีแห่งจวนหย่งผิงโหว ได้รับการชี้แนะอบรมโดยตรงจากองค์หญิงใหญ่ ฝีมือการขี่อาชาเรียกว่าโดดเด่นไม่เป็นรอง หากองค์หญิงสามารถเอาชนะนางได้ ข้าก็จะยอมรับความพ่ายแพ้ โดยที่ไม่ต้องแข่งขัน เช่นนั้นเป็นอย่างไร?” แต่ไหนแต่ไรมาองค์หญิงใหญ่โปรดปรานการเล่นตีคลีเป็นที่สุด แม้แต่บรรดาพระเชษฐาอย่างอ๋องโจวและอ๋องอู๋ยังไม่สามารถเอาชนะนางได้ ดังนั้นได้ยินหลิ่วหมิงจูเอ่ยเช่นนี้ขึ้น องค์หญิงลั่วชวนก็ขมวดคิ้วขึ้นและโพล่งถามออกไปทันใด: “ใครกัน?
พวกนางสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายมารดา แต่กลับมิได้สนิทสนมกันเหมือนมารดาของพวกนาง ทว่าแข่งขันกันมาตลอดตั้งแต่เยาว์วัย แข่งกันว่าใครมีรูปโฉมงดงามกว่า ใครมีเนื้อผ้าตัดกระโปรงดูดีกว่า ใครโดดเด่นเลิศล้ำมากกว่า และใครเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาลูกหลานขุนนางในเมืองหลวงมากกว่า จะเรื่องใดล้วนนำมาเปรียบเทียบกันและกันได้ทั้งสิ้น อันที่จริงหากพูดถึงฐานะแล้ว เดิมหลิ่วหมิงจูไม่มีทางจะเทียบเท่าองค์หญิงลั่วชวนได้เลย แต่เพราะว่า หลิ่วหมิงจูนางมีท่านป้าซึ่งเป็นกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้มากที่สุด และหลิ่วกุ้ยเฟยก็ปฏิบัติกับนางไม่ต่างอะไรกับพระธิดาของพระองค์เอง ด้วยเหตุผลนี้เองทำให้หลิ่วหมิงจูมีสิทธิ์และมีความคิดแข่งขันเปรียบเทียบว่าใครเหนือกว่าใครกับองค์หญิงลั่วชวน ยามนี้ได้ยินชีหยวนกล่าวว่าต้องการประลองฝีมือกับหลิ่วหมิงจูก่อน ปลายหางตาขององค์หญิงลั่วชวนพลันฉายประกายดูแคลน: “เจ้ามิได้อยากแข่งกับข้าหรอกหรือ? เอาเถิด วันนี้เจ้าเอาชนะนางให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงจูหันขวับมามองชีหยวนซึ่งอยู่ด้านข้างทันใด สายตาคมกริบดุจมีด นางสวะชั้นต่ำคนนี้! หากมิใช่เพราะมารดาตั้งใจกำชับเป็
น่าเสียดาย ชีหยวนกลับเป็นเหมือนก้อนหินแข็งแกร่ง หัวแข็ง ไม่สะทกสะท้านหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ทว่า ก็มีคนส่งเสียงคัดค้านออกมาทันใด: “เช่นนี้ไม่เหมาะสม! จะแข่งขันก็แข่งขัน ทำแบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน?” ชีหยวนเอียงศีรษะเล็กน้อย ครั้นมองเห็นดรุณีที่เอ่ยวาจาออกมาเมื่อครู่สวมเสื้อคลุมตัวสั้นสีเหลืองอ่อน ท่อนล่างมัดกระโปรงร้อยจีบสีชาขาว ยามนี้กำลังมองมายังตนเองด้วยท่าทางเป็นกังวล หัวใจของนางสั่นไหวเล็กน้อย แม่นางท่านนี้ช่างดูคุ้นหน้าคุ้นตานัก และในขณะนั้นเอง แม่นางที่เมื่อครู่เสนอให้ตัดมือก็กล่าวแย้งด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม: “หวังฉาน เจ้าจะเสแสร้งอะไรนักหนา? ที่ว่าใช้ได้ที่ไหนกันคืออะไร? เจ้าคงกลัวว่าลูกพี่ลูกน้องของตนเองจะแพ้การแข่งมากกว่ากระมัง? ใครไม่รู้บ้างว่าจวนติ้งหย่วนป๋อและจวนหย่งผิงโหวของพวกเจ้าเกี่ยวดองเป็นญาติกัน!” จวนติ้งหย่วนป๋อ เป็นบุตรีของนางหลู่ป้าสะใภ้เองหรือ ชีหยวนเข้าใจในทันที มิน่านางถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าหวังฉานนัก ที่แท้ก็เพราะหวังฉานหน้าเหมือนนางหลู่ นางผงกศีรษะให้หวังฉานอย่างเป็นมิตร ก่อนจะดึงดูดสายตาของทุกคนกลับมาอย่างแนบเนียน : “มิใช่ว่าจะต้องประลองกันแล้วหรือ?
และในขณะเดียวกันนั้น เซียวอวิ๋นถิงซึ่งกำลังทักทายปราศรัยกับอ๋องโจวอยู่บนแท่นยกพื้นก็เห็นว่ามีคนเดินลงสนามแข่งแล้ว กระทั่งเห็นชัดว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใคร แทบจะบีบถ้วยน้ำชาจนแตกละเอียด ถ้อยคำกำชับนับพันหมื่นของเขา ล้วนสูญเปล่าทั้งสิ้น! เด็กคนนี้ลงสนามแข่งไปแล้ว! นางคิดจะทำอะไรของนาง? ปลิดชีวิตใครสักคนสามารถอาศัยแรงดุดันป่าเถื่อน หรือความโหดเหี้ยมอำมหิต ทว่าการเล่นตีคลีแตกต่างจากสิ่งเหล่านั้นไปอย่างสิ้นเชิง และหากว่าพลาดพลั้งร่วงลงมา เป็นอันต้องจบชีวิตแล้ว! งานแข่งตีคลีในเมืองหลวงจะมีปีใดบ้างที่ไม่ต้องสูญเสียชีวิตของผู้ใดไปสักคน? อ๋องโจวกลั้วหัวเราะพลางส่งเสียงร้องแปลกใจ ก่อนจะกวักมือเรียกขันทีน้อยข้างกายเข้ามา: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? ยังไม่เริ่มรำเพลงอุ่นเครื่องเปิดสนามเลย ไฉนจึงมีคนจูงม้าลงสนามไปแล้ว?” ขันทีน้อยหมุนตัวออกไปด้วยท่าทางร้อนรน ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับมา พร้อมกระซิบรายงานต้นสายปลายเหตุของเรื่องดังกล่าวนี้ให้อ๋องโจวฟังด้วยเสียงเบาหวิว อ๋องโจวอุทานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยออกมา: “เฮอะ มีคนกล้าท้าแม่หนูหลิ่วประลองตัวต่อตัว ตีลูกตีคลีตัดสินในประตูเดียวด้วยหรือ?”
อ๋องโจวมองเซียวอวิ๋นถิงพลางกลั้วหัวเราะเช่นกัน: “ดูเหมือนอาชาเหงื่อโลหิตจะต้องเป็นของแม่หนูหลิ่วแล้ว” เซียวอวิ๋นถิงยังขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนแรก บัดนี้ได้ยินอ๋องโจวเอ่ยออกมาเช่นนี้ ก็พลันหัวเราะขึ้นมา: “ท่านปู่น้อย ชัยชนะจะตกอยู่ในมือใคร บัดนี้ยังไม่อาจรู้” อ๋องโจวหันกลับมา ก็เห็นชีหยวนตะบึงอาชา พุ่งไปตัดหน้าหลิ่วหมิงจูอย่างบ้าคลั่ง พลิกฝ่ามือสกัดลูกไว้ได้ก็หวดลูกกลับไปอีกฟากตรงข้ามแล้ว ลูกคลีถูกแย่งไปได้สำเร็จแล้วจริง ๆ! “เยี่ยม!” อ๋องโจวส่งเสียงร้องชมเชยออกมาอย่างอดไม่ไหว เสี้ยวขณะนั้นแอบรู้สึกตะลึงงันเล็กน้อย: “แม่หนูคนนี้เป็นใครกัน?” เซียวอวิ๋นถิงกระตุกมุมปาก ฮูหยินใหญ่หลิ่วเหยียดตัวตรงช้า ๆ ในแววตาฉายประกายอึ้งงันและไม่อยากเชื่อ เฝ้าดูบุตรีเล่นตีคลีซ้อมตีคลีมานานหลายปี นางย่อมรู้ดีว่าบุตรีมีความสามารถระดับใด และเพราะเหตุผลนี้ ตอนที่เห็นชีหยวนสามารถตะบึงอาชาเข้าไปตัดลูกคลีของหลิ่วหมิงจูมาได้ นางยิ่งรู้สึกตื่นตะลึงและงงงัน เป็นไปได้อย่างไร?! นางเด็กที่มาจากหุบเขาท้องทุ่งคนนี้ ไยจึงมีความสามารถได้ถึงเพียงนี้?! และในตอนนี้เสียงร้องเฮจากนอกสนามแข่งไม่มีทางจะส่งไปถึง
พระชายาอ๋องโจวตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง “หมิงจูพ่ายแพ้หรือ?”ฮูหยินใหญ่หลิ่วมีสีหน้าเขียวคล้ำ ไม่ได้เอ่ยตอบแพ้แล้ว!บุตรสาวของนางพ่ายแพ้แล้ว!ในปีที่ได้เข้าพิธีปักปิ่น ในวันที่ควรจะมีแต่เกียรติยศ กลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กนอกคอกที่กลับมาจากชนบท!ฮูหยินรองตระกูลชีกลั้นลมหายใจ จากนั้นก็ตบมือด้วยใบหน้าแดงก่ำ!มันยากนัก นางเห็นอย่างชัดเจน ถ้าชีหยวนตอบสนองช้าไปเพียงชั่วขณะเดียว เช่นนั้นมือของชีหยวนคงถูกตัดจนขาดไปแล้วอ๋องโจวลูบเคราที่เพิ่งงอกบนใบหน้าและเป่าออกมาเบา ๆ “ในแผ่นดินย่อมมีคนมากความสามารถปรากฏโดยแท้! คุณหนูใหญ่ตระกูลชีผู้นี้ มาจากที่ใดกัน?”มาจากที่ใดกัน?เซียวอวิ๋นถิงนึกถึงสาวน้อยที่ฆ่าคนในทะเลสาบยามเช้า แล้วพลันยิ้มออกมา “ผุดขึ้นมาจากน้ำกระมัง”.....อ๋องโจวมองเซียวอวิ๋นถิงด้วยสายตาสับสน “เจ้ารู้จักนางหรือ?”เซียวอวิ๋นถิงรับคำ “นับว่ารู้จัก ดังนั้น ม้าเหงื่อโลหิตของท่านปู่น้อย อย่ามานึกเสียดายนะพ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นสิ่งที่นางแย่งชิงได้ด้วยตนเอง สมควรเป็นของนางอ๋องโจวเกิดความคิดบางอย่างในใจ “เจ้าเด็กนี่ หรือว่าเจ้า...”คำพูดยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเรียกขององค์หญิงลั่วชวน “ห
นี่คือความอับอายใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต!เมื่อความอดทนหมดสิ้น ความโกรธและความอับอายก็เอาชนะเหตุผล ร่างของหลิ่วหมิงจูขยับไปเร็วกว่าสติสัมปชัญญะของตัวเอง นางฟาดแส้ลงไปบนหลังม้าอย่างแรง ม้าร้องด้วยความเจ็บ ก่อนจะยกขาหน้าขึ้นในทันที และด้วยการกระตุ้นจากหลิ่วหมิงจู ม้าตัวนั้นก็พุ่งตรงไปยังชีหยวนอย่างบ้าคลั่งหวังฉานที่กำลังปรบมือพลันหยุดชะงัก ใบหน้าแดงก่ำ รีบวิ่งลงมาจากอัฒจันทร์หวังจะลงสนามไปกอดชีหยวนแต่นางลงบันไดไปได้แค่สองขั้น ก็เห็นว่าหลิ่วหมิงจูก็ควบม้าพุ่งตรงไปหาชีหยวนอย่างรวดเร็ว ใจของนางก็เหมือนจะเด้งออกมานอกอกเนื่องจากนางตกใจสุดขีด จนแม้แต่เสียงก็ไม่สามารถเปล่งออกมา ได้แต่ยืนตัวแข็งมองหลิ่วหมิงจูพุ่งทะยานตรงไปอย่างรวดเร็ว นางง้างไม้ตีลูกคลีในมือสุดแรง ตีลงไปที่ขาหน้าของม้าที่ชีหยวนขี่อยู่!เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นในชั่วพริบตาทุกคนล้วนตะลึงงันอ๋องโจวมีสีหน้าเคร่งขรึม รีบก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วตวาดลั่น “เหลวไหล!”การแข่งขันแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา เป็นแค่เด็กสาว ชนะหรือแพ้มันจะมีความสำคัญสักแค่ไหนกัน?คนที่มาดูก็แค่พูดคุยกันไปชั่วขณะ เดี๋ยวก็ลืมกันหมดนี่เป็นเพียงการแ
ชีหยวนล้มลงกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ ทั้งร่างเปื้อนไปด้วยฝุ่น แต่กลับคล่องแคล่วพอที่จะหลบเลี่ยงการถูกม้าของหลิ่วหมิงจูเหยียบได้ทันหลิ่วหมิงจูยึดมั่นในความคิดว่าหากไม่ทำก็ไม่ทำ หากจะทำก็ต้องทำให้ถึงที่สุด นางหันหัวม้า ควบม้าพุ่งตรงไปหาชีหยวนอีกครั้งโดยไม่ลังเลคราวนี้ชีหยวนไม่ได้หลบอีกต่อไป นางถ่มน้ำลายปนเลือดออกมา จ้องไปยังหลิ่วหมิงจูที่อยู่บนหลังม้าสูงด้วยสายตาแน่วแน่เซียวอวิ๋นถิงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่เพียงแค่ไม่เคลื่อนไหว เขายังตะโกนห้ามบรรดาทหารองครักษ์จากจวนอ๋องโจวที่เตรียมลงสนามไปช่วยคนเหล่าทหารองครักษ์หันมองหน้ากันไปมาด้วยความประหลาดใจอะไรกัน คุณหนูใหญ่ชีผู้นี้ไม่เพียงแค่มีเรื่องกับหลิ่วหมิงจู ยังดูเหมือนจะมีปัญหากับอ๋องจิ้งผู้นี้ด้วยหรือ?หลิ่วหมิงจูนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ มือจับไม้ตีคลี ขณะที่ชีหยวนมือเปล่าไร้อาวุธใด ๆหากถูกม้าเหยียบในคราวนี้ วันนี้อาจต้องไปพบยมบาลแล้วอ๋องโจวที่เพิ่งมาถึงก็ไม่เข้าใจ “เจ้า...”เมื่อครู่ยังดูเหมือนจะเป็นห่วงชีหยวนมากอยู่เลยไม่ใช่หรือ?ไฉนตอนนี้กลับห้ามคนไม่ให้ลงไปช่วยแล้ว?ถ้าช้ากว่านี้ นางอาจจะกลายเป็นเพียงก้อนเนื้อก็ได้เซียวอวิ๋น
พระที่ถูกจี้ด้วยธูปร้องเสียงหลงกลางป่าเขาที่เงียบสงัด เสียงกรีดร้องของพระรูปนั้นดังสนั่นแทบทะลุทะลวงเมฆบนฟ้าพระรูปอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พอเห็นชีหยวนก็พากันทำหน้าเหมือนเห็นผีนี่ผีหรือ หญิงสาวผู้นี้ ไฉนถึงออกมาได้อย่างปลอดภัย?!ไม่น่าเชื่อว่าฉือซานจะไม่ลงมือกับหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้?!แต่พวกเขาไม่มีเวลาคิดหาคำตอบอีกต่อไปแล้ว เพราะชีหยวนได้ชักกระบี่อ่อนจากเอวออกมาใช้วรยุทธ์ของนางเพื่อฆ่าสวะพวกนี้ถือเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนโดยแท้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป พระสิบกว่ารูปก็ตายหมดจิ้งคงถึงกับอึ้งงันเขาขดตัวเป็นก้อน ยื่นมือออกมาบังอย่างขลาดกลัว “อย่านะ อย่า อย่าสังหารข้า อย่าสังหารข้าเลย!”ชีหยวนเก็บกระบี่อ่อนไป เอ่ยถามเสียงขรึม “ลุกขึ้นเองไหวหรือไม่?”จิ้งคงถึงเพิ่งรู้ว่าชีหยวนไม่มีเจตนาจะฆ่าเขา เขาฝืนรับคำ แล้วค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วมองไปที่ชีหยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลชีหยวนเอ่ยถามเขาตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “รู้หรือไม่ว่าหญิงสาวพวกนั้นถูกขังอยู่ที่ใด?”จิ้งคงน้ำตาคลอทันที ที่แท้นางมาที่นี่เพื่อช่วยพวกหญิงสาวพวกนั้นเขารีบพยักหน้า “รู้ ทุกค
ด้านนอก บรรดาพระกำลังรุมสั่งสอนจิ้งคงผู้ที่ขัดขวางไม่ให้ชีหยวนเข้าวัดเมื่อครู่จิ้งคงกลิ้งอยู่กับพื้น สองมือกอดศีรษะ ปกป้องจุดสำคัญของร่างกาย พร้อมเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก พยายามคลานขึ้นมาคุกเข่าขอร้องแต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นได้ พระอีกรูปก็เตะเขาล้มลงไปอีก แล้วพูดเสียงเย็นชา “ข้าก็ว่าอยู่ พักนี้เหตุใดหญิงสาวแรกรุ่นถึงมาที่วัดน้อยลง ที่แท้ในวัดเราก็มีคนทรยศ!”จิ้งคงถูกซ้อมจนใบหน้าเขี้ยวช้ำบวมปูด ปากกับจมูกมีเลือดไหล แต่กลับไม่กล้าเช็ด ตาโปนจนแทบลืมไม่ขึ้น เริ่มโขกศีรษะกับพื้นไม่หยุด “เป็นความผิดของศิษย์น้องเอง ศิษย์น้องไม่กล้าอีกแล้ว ขอศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย ขอให้ศิษย์พี่ไว้ชีวิตข้าด้วย!”“ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?!” พระที่เป็นหัวโจกอีกคนคว้ากำธูปจากกระถางธูปใกล้มือ แล้วพลิกกลับด้าน จี้ลงบนหัวของจิ้งคงอย่างกะทันหันจิ้งคงพลันกรีดร้องโหยหวน พลางร้องไห้กลิ้งไปมาบนพื้นพระพวกนั้นกลับพากันหัวเราะเสียงดังพระที่ใช้ธูปจี้หัวจิ้งคงเอ่ยเสียงดูแคลน “พวกเราก็รู้กันดี พระอาจารย์ชอบเก็บหญิงสาวที่ดีที่สุด หน้าตาสวยที่สุดไว้ให้ ‘บรรพบุรุษเบื้องบน’ เสวยสุข คนที่มาวันนี้น่ะ งามไม่เป็นสองรองใคร เห็นแวบเดียวก
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื