เพื่อฝึกฝนคนเหล่านี้ จวนอ๋องฉีและจวนฉู่กั๋วกงทุ่มเทหยาดเหงื่อโลหิตและความพยายามไปนับไม่ถ้วนแล้ว และคนเหล่านี้ก็มีความบากบั่นมุมานะมากพอ อ๋องฉีพาออกไปด้วยจำนวนหลายสิบคนแล้ว และส่วนที่เหลืออยู่นั่น ฉู่กั๋วกงก็เพิ่งจะส่งพวกเขาออกไปแล้วเช่นกัน ฮูหยินฉู่กั๋วกงยังไม่รู้ว่าสองวันที่ผ่านมานี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการเคลื่อนย้ายองครักษ์ลับ จึงได้แต่ถามเขาอย่างกังวลใจ: “ส่งคนออกไปตามหาจิงหงใช่หรือไม่เจ้าคะ? จริงสิ จิงหงยังไม่ส่งข่าวคราวกลับมาอีกหรือเจ้าคะ?” ผ่านมานานหลายวันเพียงนี้แล้ว! หากว่าเป็นตอนก่อนที่หวงเหวินจวิ้นจะเข้ามา ต่อให้หลิ่วจิงหงหายออกไปนานถึงเพียงนี้ นางก็คงไม่เป็นกังวล ทว่าตอนนี้ นับแต่หวงเหวินจวิ้นปรากฏตัว นางกลับต้องรู้สึกกังวลใจอยู่ร่ำไป ยิ่งไปกว่านั้นยังขาดการติดต่อจากหลิ่วจิงหงไปอย่างสิ้นเชิง นางยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจตลอด คล้ายว่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนดูซูบผอมแห้งเหี่ยวลงไปมาก เห็นนางร้อนรนเป็นกังวลเช่นนี้ ฉู่กั๋วกงไหนเลยจะกล้าบอกความจริงกับนาง? ได้แต่ปลอบโยนว่า: “วางใจเถิด เขาออกไปทำภ
คนพวกนี้ก็เป็นแค่นักต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้านก็เท่านั้น ฉู่กั๋วกงเห็นนางพูดเช่นนี้ ก็ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น: “กระหม่อมเองก็หวังว่าจะเป็นแค่การหลอกลวง เพียงแต่เขานำหยกห้อยเอวประจำตระกูลของพี่ชายท่านออกมา กระหม่อมทราบดี จี้หยกชิ้นนี้พี่ชายของท่านไม่เคยเก็บไว้ห่างตัว!” หากว่าเป็นการขโมยมา หวงเหวินจวิ้นคงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดเป็นสิ่งแรก จะเดินมาติดกับดักด้วยตนเองแบบนี้ได้อย่างไร เพียงเสี้ยวพริบตาสีหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยพลันซีดลงทันใด หายใจติดขัด: “เช่นนั้นท่านพ่อหมายความว่า พี่ชายลูก…” จากไปแล้วจริงหรือ?! แล้วยังเป็นเพราะนางสารเลวชีหยวนนั่น? สารเลว! ชั่วช้าสารเลวจริง ๆ! หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันแน่น: “ข้าจะต้องเอาชีวิตนางผู้หญิงคนนั้นมาให้ได้! ไม่สิ แค่ฆ่านางมันง่ายเกินไป ข้าจะทำให้นางทรมานยิ่งกว่าตายไปอีก ให้มันได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการอยากอยู่ก็ไม่ได้ อยากได้ก็ไม่ได้เป็นอย่างไร!” ฉู่กั๋วกงถอนหายใจออกมา: “กุ้ยเฟย เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ข้าได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว ที่กระหม่อมเข้าวังมาครั้งนี้ เพราะวาดหวังให้ท่านช่วยพูดเกลี้ยกล่อมท่านแม่ของท่าน บอกให้นางปล่อยวางและใจเย็นล
อ๋องฉีกำลังเล่นแหวนหยกสีมรกตในมือ นี่คือของที่ผู้ว่าการเมืองฮุ่ยชางคนปัจจุบันตั้งใจส่งมาให้เขาเป็นพิเศษ ทันทีที่ได้ทราบว่าเขามาเยือน ขุนนางเหล่านี้หากจะเลื่อนตำแหน่งตามขั้นตอนไปทีละก้าว อาจจะต้องรอไปถึงปีมะโว้ถึงจะมีโอกาส ต่อให้มานะบากบั่นไม่ถอย ไต่เต้าจนสามารถขึ้นเป็นรองเสนาบดีในวัยหกสิบเจ็ดสิบได้ ก็นับว่าบรรพบุรุษได้สร้างสมบุญกุศลให้มามากแล้ว ทว่าหากเดินทางลัด ในราชสำนักเสนาบดีอายุน้อยวัยสามสิบก็มีให้เห็น ดังนั้นในเมื่อมีทางลัดแล้วใครเล่าจะไม่อยากลองเดินบ้าง? สวรรค์ประทานชินอ๋องผู้ซึ่งเป็นที่โปรดปรานที่สุดในราชสำนักลงมาให้แบบนี้ โจวเสี่ยวเผิงผู้ว่าการเมืองฮุ่ยชางดีใจจนแทบคลั่งให้ได้ แม้ว่าชื่อของเขาจะมีอักษรเผิง ซึ่งหมายถึงพญาวิหค ทว่าความเป็นจริงแล้วเส้นทางขุนนางของเขากลับไม่ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่คนวัยเดียวกับเขาไต่เต้าขึ้นไปจนได้เป็นเจ้าเมืองกันหมดแล้ว เหลือแต่เขาที่ต้องอดทนตรากตรำเป็นผู้ว่าการเฝ้าเมืองที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้อยู่ ไม่รู้จะไปเรียกร้องจากใครที่ไหนได้เลยจริง ๆ? หนนี้อ๋องฉีอุตส่าห์ลดเกียรติลงและเสด็จมายังที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ราวกับสวรรค์ประทานพรลงมาจร
นับว่ามีไหวพริบ อ๋องฉีพอใจกับการรู้สถานการณ์ของเขา เปล่งเสียงรับคำก็เอ่ยยิ้ม ๆ : “สกุลเซี่ยบัดนี้ผู้ใดเป็นผู้นำหรือ? ข้าได้ยินว่า ในบรรดาลูกหลานสกุลเซี่ย ยามนี้เซี่ยอิ๋งฉายแววโดดเด่นที่สุดใช่หรือไม่?” เซี่ยอิ๋ง สองคำนี้แค่เอ่ยออกจากปาก ก็แฝงด้วยความโกรธแค้นจนต้องกัดฟันแล้ว อ๋องฉีคิดถึงเมื่อชาติที่แล้ว ตอนที่ชีหยวนสังหารเขา มีดแหลมคมถูกดึงออกก่อนจะแทงเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ราวกับการกระทำนั้นแฝงด้วยความเคียดแค้นอันไร้สิ้นสุด ตำหนิถึงบาปกรรมของเขาประณามว่าเขาเป็นคนสังหารเซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง เซี่ยอิ๋ง! เขาก็ฆ่ามันไปแล้ว และจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่การฆ่าครั้งเดียว ครั้งนี้ก็จะฆ่ามันอีก ดูสิว่าจะเป็นอย่างไร? พูดถึงเซี่ยอิ๋งขึ้นมา โจวเสี่ยวเผิงยิ่งรู้สึกครั่นคร้ามในใจ ทว่าเขาก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมา: “เรียนท่านอ๋อง ความจริงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ เขาอายุยังน้อย ทว่าสามารถผ่านการสอบคัดเลือกขุนนางในระดับซิ่วฉาย และระดับจวี่เหรินได้อย่างต่อเนื่องพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นในการสอบจวี่เหรินยังสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ และก็ได้รับตำแหน่งเป็นเจี้ยหยวนแล้ว…” ดังนั้นสังคมขุ
แสงจันทร์ส่องสว่าง ฤดูเหมันต์ในเจียงซีกลับหนาวเยือกเย็นเป็นพิเศษ แม้จะไม่มีหิมะตกเหมือนทางเหนือ ทว่าสายพิรุณโปรยปรายไม่ขาดสาย นำความหนาวชื้นซึมลึกถึงกระดูก สายลมนั้นคล้ายกับจะพัดเข้าไปในรอยแยกของกระดูกคนให้ได้เลย ทั่วทั้งเรือนสกุลเซี่ยจุดไฟส่งสว่าง ฮูหยินเซี่ยกำลังถามคนด้านนอกห้อง: “ไฉนดึกดื่นเพียงนี้แล้ว คุณชายยังไม่กลับมาอีก?” ย่อมมีคนถ่ายทอดวาจามาถึงบ่าวรับใช้และผู้ดูแลที่อยู่ด้านนอก ไม่นานนัก ก็มีเด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีขาว คาดสายรัดเอวสีน้ำเงินสืบเท้าจากระเบียงทางเดินยาวเข้ามาที่ประตู ร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม: “ท่านแม่ ลูกอยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ? ท่านจะกังวลใจอะไรอีกขอรับ?” ฮูหยินเซี่ยวางแบบรองเท้าในมือลง ครั้นเห็นเขาเข้ามาแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก: “ถามว่าข้ากังวลใจอะไรหรือ? มีคำกล่าวว่าบุตรชายเดินทางไกลพันลี้มารดาย่อมกังวลใจ เจ้าออกเดินทางไปเรือนสกุลเซียวที่เมืองจูหรง นั่น มิใช่เดินทางไปไกลพันลี้หรอกหรือ? ให้ข้ากังวลใจมิได้หรืออย่างไร?” ต่อหน้ามารดาเซี่ยอิ๋งปราศจากอารมณ์รำคาญโมโห: “ใช่แล้วขอรับ ลูกทำให้ท่านกังวลใจแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของลูก เพียงแต่เป็นวันเกิดข
คนที่เข้ามาคือพ่อบ้านสวีซึ่งเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ที่คอยดูแลรับใช้นายท่านในเรือนนี้มาแล้วสามรุ่น ทันทีที่เขาเข้ามาด้านในก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยสีหน้าซีดเผือด: “ฮูหยิน คุณชาย แย่แล้วขอรับเกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ พวกท่านสองคนรีบพาคุณหนูและพวกคุณชายน้อยหนีไปก่อนเถิดขอรับ!” อยู่ ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาแบบไม่มีเหตุผลแล้วพูดแบบนี้ ทว่าทั้งฮูหยินเซี่ยและเซี่ยอิ๋งไม่มีใครตำหนิเขาทันที กลับถามเขาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พ่อบ้านสวีร้องโฮออกมาก็ร่ำไห้ทันที: “นายท่าน นายท่านเกิดเรื่องแล้วขอรับ! มีคนฟ้องนายท่านขอรับ กล่าวหาว่าเขาลักลอบเขียนตำราเผยแพร่เรื่องราวผิดครรลองครองธรรมในที่ลับ ใส่ร้ายป้ายสีฝ่าบาท ไม่เคารพเบื้องสูง ถือเป็นความผิดร้ายแรงมิอาจอภัย บัดนี้นายท่านถูกจับกุมตัวไปแล้วขอรับ!” อะไรนะ? เซี่ยอิ๋งสีหน้าถมึงทึง ลุกพรวดขึ้นทันที: “ท่านแม่ ลูกจะไปที่ศาลาว่าการ!” เซี่ยฉางชิงเป็นคนอย่างไรเขาย่อมรู้จักดี แม้จะจงเกลียดจงชังสังคมอันฟอนเฟะอยู่หน่อย แต่ก็เป็นคนที่ระมัดระวังรอบคอบมาตลอด ที่สำคัญกว่านั้นคือ เซี่ยฉางชิงเป็นปัญญาชนตัวอย่าง เขาซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฮ่องเต้! คิดว่าหากมีความผิ
ตอนที่ชีหยวนมาถึงตระกูลเซี่ย ก็กำลังเกิดความโกลาหลอลหม่านยิ่งนัก เหล่าเจ้าหน้าที่ทางการที่เคยปฏิบัติต่อตระกูลเซี่ยราวกับเป็นญาติมิตร เมื่อก้าวเข้าประตูเข้ามากลับคล้ายดั่งสัตย์ร้ายไม่เพียงไร้ความเมตตาปรานี แม้กระทั่งความกรุณาขั้นพื้นฐานต่อเพื่อนมนุษย์ก็ยังไม่มีคล้ายได้รับคำสั่งใดมา พวกเขาปฏิบัติต่อคนในตระกูลเซี่ยโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ราวอสนีบาตฟาดลงมา ไม่เพียงจับตัวเซี่ยอิ๋งไป ยังจับบุรุษในตระกูลเซี่ยไปทุกคนฮูหยินเซี่ยร่ำไห้จนสุดเสียง นางทั้งตกใจทั้งหวาดหวั่นในฐานะมารดามีหรือที่จะไม่ห่วงใยบุตรของตนโดยเฉพาะเมื่อบุตรของนางนั้นแตกต่างจากคนทั่วไปใช่แล้ว นอกจากเซี่ยอิ๋งที่เป็นบุตรชายที่โดดเด่นล้ำเลิศ ฮูหยินเซี่ยยังมีบุตรอีกคนหนึ่งที่ต่างจากเด็กทั่วไปตอนเขาอายุครบหกเดือนก็ยังไม่อาจตอบสนองต่อการหยอกล้อของผู้ใหญ่ ยามเอ่ยคำใดกับเขา เขาก็ไม่แสดงการโต้ตอบใดๆครานั้นทุกคนล้วนเฉลียวใจว่าผิดปกติ ทว่ายังคงหลอกตัวเองว่าไม่มีอะไรผิดปกติและไม่ได้ใส่ใจมากนักกระทั่งเมื่อสังเกตเห็นดวงตาของเขาเหลือบลอย หรือไม่ก็กระตุกเป็นพักๆ ครั้นอายุขวบครึ่งก็ยังไม่อาจเดินได้ กระทั่งล่วงเข้าสองขวบแม้แต่
คนพวกนี้มีสิทธิ์อะไรถึงได้อยู่สูงส่ง?พวกมันสมควรตาย!เซี่ยเยวียนถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีในสกุลเซี่ย ไม่เคยพบเจอความลำบากอันใดมาก่อน ดังนั้นแม้จะถูกทรมานถึงเพียงนี้ เขาก็ยังคงร้องเรียกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างไร้เดียงสาว่าพี่ชายและท่านลุง พลางร้องไห้อ้อนวอนขอให้พาเขาไปพบพี่ชายและมารดาเฉินฮ่าวฮุยหัวเราะลั่น ทันใดนั้นเขาก็แทรกตัวขึ้นมาด้านหน้า กระชากกางเกงลง ก่อนจะยกเข็มขัดกางเกงขึ้นสะบัดต่อหน้าเซี่ยเยวียนด้วยแววตาเหยียดหยาม พลางยิ้มถามว่า “รู้ไหมว่านี่คืออะไร?”เซี่ยเยวียนยังคงไม่เข้าใจและงุนงง มองเฉินฮ่าวฮุยด้วยความไม่เข้าใจและหวาดหวั่นเฉินฮ่าวฮุยหัวเราะพลางชี้ไปที่ท้องน้อยของตัวเอง “เข้ามา เจ้าเข้ามาเลียสักหน่อย แล้วข้าจะพาเจ้าไปหาพ่อแม่กับพี่ชายเจ้า ดีหรือไม่?”พอได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็หัวเราะกันลั่นเฉินฮ่าวฮุยกล่าวยิ้ม ๆ “พอแล้ว ไปกันพวกเรา ไปหาอะไรกินกัน หนาวจะตายอยู่แล้ว!”เขาพูดถึงเรื่องไปกินข้าว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้สวมกางเกงคืน ซ้ำร้ายยังยืนปัสสาวะรดใส่เซี่ยเยวียนเซี่ยเยวียนเนื้อตัวเประเปื้อนกรีดร้องลั่นพลางดิ้นหลบเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้นกลับยิ่งสนุกสนานกว่าเดิมฮูหย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว
สกุลชีถูกโจรบุกปล้นในวันที่สามของปีใหม่ ที่พำนักของคุณหนูใหญ่สกุลชีถูกไฟเผาวอดไปครึ่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่สกุลชีบังเอิญไปอยู่ที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และกำลังคัดเลือกถั่วปากอ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าพอดี เกรงว่าคุณหนูใหญ่สกุลชีคงจะไม่รอดแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นาน ก็แพร่สะพัดลือเล่ากันไปไกลแล้ว จะไม่ให้แพร่สะพัดไปไกลก็คงไม่ได้ สกุลชีเพิ่งถูกกล่าวหาว่าสมคบกับข้าศึกขายดินแดนให้อริราชศัตรู โหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นก็ถูกจับเข้าคุกหลวงไปแล้ว เห็นสกุลชีสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ แต่ใครจะรู้ว่ายังมีคนจ้องจะซ้ำเติมสกุลชีไม่ปล่อย หวังให้สกุลชีตายราบคาบ เฮอะ ๆ พวกชาวบ้านก็ยังมีแอบวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง “ไม่รู้ว่าใช่ฝีมือของครอบครัวทหารจากจี้โจวหรือไม่?” “จริงด้วย หากว่าเป็นอย่างที่พวกครอบครัวทหารเหล่านั้นว่ากันจริง เงินถูกสกุลชิงเอาไปแล้ว แต่กลับโยนความผิดให้พวกเขารับไว้แบบนั้น พวกเขาจะไปยอมได้อย่างไร?” “หากเป็นข้านะ ข้าก็คงทุ่มสุดตัวเหมือนกัน!” ดูเหมือนว่าคนที่คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้จะมิได้มีเพียงแค่พวกชาวบ้าน เทศกาลปีใหม่ปีนี้ถูกลิขิตไว้ไม่ให้เงียบสงบ ในวันที่เจ็ดของปีใหม่ ศ
สวีฮว่านเหงื่อเย็นไหลพลั่ก ตอนที่ได้ยินชีหยวนนับหนึ่ง สอง สาม ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว ร้องเสียงดังออกไป “ข้าให้เจ้าก็ได้! ข้าให้เจ้าก็ได้! สาส์นลับอยู่ใน…อยู่ในชั้นวางลับหลังโต๊ะหนังสือในห้องหนังสือของข้า!” ชีหยวนเปล่งเสียงอุทานออกมาหนึ่งคำ ก่อนจะเก็บกริชและปิ่นทองคำกลับมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขาฉุดเขาขึ้นมา และผลักให้เขาเดินไปที่ชั้นหนังสือ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มว่า “เปิดมัน” สวีฮว่านลังเลเล็กน้อย ทันใดนั้นชีหยวนก็เตะข้อพับขาของเขาอย่างแรงไปหนึ่งที “เปิดออก!” สวีฮว่านดึงจี้หยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของตนเองออกมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะฝังมันเข้าไปในตำแหน่งที่เป็นช่องเว้าบนชั้นวางหนังสือ และหมุนมันหนึ่งรอบ ทันใดนั้นชั้นหนังสือก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ทว่าเสี้ยวพริบตาเดียวนี้ สวีฮว่านรีบสะบัดตัวออกจากชีหยวนหวังว่าจะหลบหนี เขารู้ดี โดยปกติคนเราเมื่อตกอยู่ในเสี้ยวขณะที่ได้รับสิ่งของที่ตนเองต้องการมากเป็นอย่างยิ่ง ก็จะเผลอไผลไปได้ง่ายดายที่สุด เขาเฝ้ารอจังหวะนี้มาโดยตลอด ทว่าน่าเสียดาย เขาเพิ่งจะกลิ้งตัวไปกับพื้น กลับเห็นชีหยวนใช้มือปัดลูกธนูที่พุ่งออกมาจากชั้นวางลับ