พายุฝนกระหน่ำเทน้ำเทท่า เสียงฟ้าร้องคำรามสนั่น เด็กน้อยบ้านข้าง ๆ ยังวิ่งเล่นอยู่ใต้ชาน ถูกมารดากระชากหูฉุดกลับเข้าเรือนไปพลางตะคอกเสียงดังว่า “ข้างนอกฟ้าร้องฟ้าผ่า อย่าไปยืนใต้ต้นไม้หรือที่โล่งแจ้งนะ รู้ไหม?”ชิวฉู่อิ๋งย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสได้ระวังตัวอีกแล้วสายฟ้าฟาดลงบนร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น คือแววตาเย็นเยียบว่างเปล่าของชีหยวนในเรือนเล็กแล้วสติสัมปชัญญะของเขาก็ดับสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงเสียงฟ้าร้องบนฟ้ายังคงดังกึกก้องไม่ขาดสาย ชีหยวนมองดูแผ่นกระเบื้องปลิวหลุดจากชายคา ตกลงพื้นเสียงดังกลิ้งหลุน ๆ ไป จากนั้นก็เหลือบตาดูร่างของชิวฉู่อิ๋งที่เหยียดแข็งนิ่งแน่นิ่ง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก แล้วหมุนกายลงบันไดไปอย่างไร้เยื่อใยจนกระทั่งพายุฝนนิ่งสงบลง ลูกจ้างของร้านหนังสือข้าง ๆ ออกไปเก็บของที่ระเบียง พอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นร่างดำไหม้นอนตะแคงอยู่บนหลังคาวัดหวงต้าเซียน พลันร้องลั่นขึ้นว่า “มีคนตาย! มีคนตาย! มีคนโดนฟ้าผ่าตายแล้ว!”ทั้งซอยก็ฮือฮากันขึ้นมาทันทีผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กัน“อยู่ดี ๆ จะโดนฟ้าผ่าได้ยังไง?”“ต้องทำบาปมหันต์ไว้แน่ ไม่อย่างนั้นท
เขาสะบัดหยดน้ำที่เกาะบนศีรษะออก ก่อนจะสบถอย่างหัวเสีย แล้วเตะเข้าที่แท่นหินที่อยู่ด้านข้างไปหนึ่งที “บัดซบสิ้นดี ข้าอุตส่าห์ตากสมุนไพรไว้ตั้งขนาดนี้ เปียกหมดเลย!” แม้จะบ่นแต่กระนั้นเขาก็ยังหมุนตัวเข้าไปในพระวิหาร เตรียมยื่นมือออกไปหยิบไม้กวาด ตลอดทั้งวัน มีข้าวของจำนวนไม่น้อยถูกทิ้งเกลื่อนไว้ในอาราม หากไม่กวาดทำความสะอาดให้ดี บรรดาศาสนิกชนที่เข้ามานมัสการจะต้องโวยวายเป็นแน่ มือของเขาเอื้อมไปแตะบนผนังซึ่งไม้กวาดพิงอยู่ พลางหรี่ตาเพ่งพิศรอยน้ำบนพื้น แล้วจู่ ๆ ก็เหยียดมือไปทางด้านซ้ายเพื่อคว้าผ้าแพรต่วนผืนหนึ่งไว้อย่างฉับไวไร้สุ้มเสียง ทว่าเขายังไม่ทันได้คว้าอะไร กลับถูกใครบางคนกระชากแขนไว้อย่างรุนแรง จนร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าไปในห้องเก็บของเบ็ดเตล็ดซึ่งใช้เก็บธูปกำยานเทียนหอมและกระดาษเงินกระดาษทองทันที ฝีมือสูงส่งยิ่งนัก! เขาตั้งสติกลับมาได้ในทันใด ขณะเดียวกันภายในใจก็อดรู้สึกครั่นคร้ามขึ้นมาไม่ได้ อารามหวงต้าเซียนแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงนี้มานานกว่าร้อยปีแล้ว ส่วนเขาเองก็สวมรอยเข้ามาเป็นนักพรตของอารามแห่งนี้มานาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาปกปิดตัวจนได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีใครรู้ตัวตนที
ฮองเฮาเฝิงคราวนี้มิได้กำลังฝึกคัดอักษรพู่กัน นางกำลังมองดูปลาทองในอ่างหินที่ตนเองเลี้ยงไว้อยู่กลางลานภายในตำหนัก ภายในอ่างหินใบใหญ่ยามนี้มีน้ำใสแจ๋วจนเห็นถึงก้นอ่าง ด้านล่างมีใบบัวขนาดเท่าเหรียญทองแดงที่ผลิออกจากเมล็ดบัวที่ผ่าไว้ ส่วนปลาทองหลากสายพันธุ์ต่างก็กำลังแหวกว่ายไปมาอย่างสบายใจในน้ำฮองเฮาเฝิงโปรยอาหารปลาลงไป เห็นปลาตัวหนึ่งว่ายพุ่งขึ้นมาแย่งอาหารปลาไปจนหมด ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จากนั้นค่อยยื่นอาหารปลาในมือส่งให้นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ข้างกาย ก่อนจะเหลียวศีรษะกลับไปมองเซียวอวิ๋นถิง “เจ้ามาแล้วหรือ?” เซียวอวิ๋นถิงผงกศีรษะ “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เดาว่าเจ้าคงทราบกระจ่างทั้งหมดแล้วกระมัง?” ฮองเฮาเฝิงกล่าวอย่างตรงประเด็น ไม่คิดปิดบังซ่อนเร้น “หลี่ฉางชิงคนผู้นั้น เจ้าทราบดีว่าเขามีอิทธิพลต่อเสด็จปู่ของเจ้าแค่ไหน วาจาที่เขากล่าวออกมา เสด็จปู่ของเจ้าล้วนเชื่อถือ ดังนั้น…” “ในเมื่อเสด็จย่าตรัสเองว่า วาจาของเขาเสด็จปู่ทรงไว้เนื้อเชื่อพระทัย เช่นนั้นก็หมายความว่า เสด็จย่าคงไม่เชื่อ ใช่หรือไม่ขอรับ?” เซียวอวิ๋นถิงเองก็ไม่ปิดซ่อนทัศนคติของตนเองเช่นกัน “เสด็จย่า สกุลเฝิงไปสมคบก
ชีหยวนกลับไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดยากลำบาก ถึงอย่างไรชาติก่อนหลี่ฉางชิงเองก็ตายด้วยฝีมือของนาง เขาในตอนนั้นคิดจะช่วยเป่าหรง จึงไปบอกกับอ๋องฉีว่านางเป็นนางจิ้งจอกปีศาจกลับชาติมาเกิด เป็นสมุนรับใช้ของนางสนมต๋าจี่ซึ่งเป็นจิ้งจอกเก้าหาง เตือนให้อ๋องฉีอย่าได้หลงกลมนต์เสน่ห์ของนางปีศาจอย่างนาง และหลังจากนั้น เขาก็ตาย ชีหยวนกระตุกมุมปากอย่างดูแคลน “ข้ามิได้รีบร้อนด่วนใจ แต่ข้าจะขอเก็บดอกก่อน” ชีเจิ้นรู้สึกกระวนกระวายจิตใจไม่สงบอยู่บ้าง สาวเท้าเดินตามชีหยวนไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เห็นชีหยวนเดินเร็วมาก ก็ได้แต่ตะโกนออกไปว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องระวังตัวให้ดี! อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด!” ชีหยวนโบกมือโดยไม่แม้แต่หันศีรษะกลับมามอง ฮูหยินผู้เฒ่าชีตอนนี้เองถึงจะหันมองโหวผู้เฒ่าชีและชีเจิ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด “เรื่องนี้ ต้องทูลแจ้งพระนัดดารัชทายาทสักคำหรือไม่?” ชีเจิ้นกดเสียงเอ่ยว่า “ลูกจะให้คนไปส่งข่าว…” ทว่าเขาเองก็ไม่คาดหวังมากเกินไปนัก ในเมื่อหลี่ฉางชิงพูดออกไปแล้วว่าเฝิงไฉ่เวยมีชะตาสูงล้ำมิอาจบรรยาย อีกทั้งยังบอกว่าชีหยวนเป็นดาวหายนะที่ร่วงลงมาจากฟ้า เกรงว่าชีวิตของเซียวอวิ๋นถิงจะมิได้ราบรื่
ชีหยวนกระตุกมุมปาก “ไม่เป็นไร” ...... ชีเจิ้นคิดว่าบุตรีของตนเองอาจจะโมโหจนสติเลอะเลือนไปนิดหน่อยแล้ว ใครเล่าจะไปคาดคิด พระราชนัดดาองค์โตเป็นฝ่ายเข้ามาอ้อนวอนขอให้ชีหยวนไปเป็นชายาพระนัดดาเองแท้ ๆ ทุกคนล้วนแต่คิดว่าเรื่องลงตัวไปเก้าในสิบส่วนแล้ว ใครเล่าจะคิดว่าอยู่ดี ๆ หลี่ฉางชิงก็โผล่มากลางอากาศ มิหนำซ้ำยังพูดพล่อย ๆ ว่าชีหยวนเป็นดาวหายนะ เท่านั้นไม่พอยังหันไปยกยอปอปั้นเฝิงไฉ่เวยอีก? แม้ภายในใจชีเจิ้นจะเดือดดาลจนแทบคลั่งตาย แต่ในเวลานี้เขายังพอมีสติอยู่บ้าง “แม่หนูหยวน เจ้าระงับโทสะก่อนเถิด พวกเราค่อย ๆ หารือแผนรับมือกันก็ย่อมได้” “ค่อยๆ หารือ?” ชีหยวนแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง แววตาพลันสะท้อนประกายสังหารวาบออกมา “ค่อยๆ หารือมิใช่วิสัยของข้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ข้าคงมิได้คร่าชีวิตคนมานานเกินไปแล้วกระมัง พวกมันถึงได้เข้าใจผิดว่าข้าเป็นเสือเฒ่าถูกถอนเขี้ยวไปแล้ว” ในเมื่ออยากจะลองลูบหลังเสืออย่างนาง เช่นนั้นก็ดี นางจะเล่นด้วยให้ถึงที่สุดไปเลย! ? ชีเจิ้นเกาหัวแกรกๆ ไม่ได้ฆ่าคนมานานเกินไป? ไม่เห็นจะนานเท่าใดเลย? ก็ไม่นานมานี้ ออกไปข้างนอกหนก่อนนางเพิ่งจะย่างสดเฝิงจวิ้นกับเว่ยช
เจ้านักพรตบ้านั่น! กลัวสิ่งใดยิ่งต้องเจอสิ่งนั้น โลกภายนอกรับรู้ว่าชีอวิ๋นถิง ‘ตายไปแล้ว’ ส่วนนางหวังเองก็ป่วยหนักจนถึงขั้นต้องส่งตัวไปอยู่ที่อื่น ไม่เว้นแม้กระทั่งชีจิ่น ที่ถูกประกาศออกไปว่าถึงแก่ชีวิตด้วยอาการป่วยสาหัส! ปัจจัยสำคัญที่สุด ชีหยวนที่ไม่ว่าจะไปที่ใด ที่แห่งนั้นล้วนมีต้องมีคนถึงแก่ชีวิตทั้งสิ้น! ยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งเข้าใจ หลี่ฉางชิงวางแผนไว้นานแล้ว! ชีเจิ้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แม่หนูหยวน ฆ่ามันเลยได้หรือไม่?!” ไหนว่าเป็นดาวหายนะ? เช่นนั้นก็คร่าชีวิตเจ้าก่อนเลยเป็นอย่างไร! บัดซบ! แบบนี้รังแกกันเกินไปแล้ว ท่านโหวผู้เฒ่าชีพยักหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เรื่องนี้เกรงจะยากนัก หลี่ฉางชิงผู้นี้ วรยุทธ์แกร่งกล้า ในอดีตมีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะเขาเคยต่อสู้กับโจรกว่ายี่สิบคนด้วยตัวคนเดียว และยังรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน! ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาที่เพิ่งทำนายชะตาชีวิตให้แม่หนูหยวนกลับตายไปกะทันหัน จะไม่ยิ่งตอกย้ำว่าแม่หนูหยวนเป็นดาวพิฆาตไปจริง ๆ หรือ?!” เขาอดไม่ไหวเหลือบสายตามองไปยังชีหยวนปราดหนึ่ง ในใจตอนนี้อดรู้สึกกังวลไม่ได้ ดูเหมือน