จะไม่รู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ ได้อย่างไรกันเล่า?! ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายในสายเลือดที่เติบโตในสายตาของตนเอง ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าชีก็ทราบดีที่เรื่องมาถึงจุดนี้จะโทษชีหยวนไม่ได้คนที่สมควรกล่าวโทษที่สุดก็คือตัวชีอวิ๋นถิงเอง ที่จิตใจบิดเบี้ยว หัวใจไร้ซึ่งคุณงามความดีและความเมตตากรุณาต่อน้องสาว รองลงมาก็คือชีจิ่น ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ลืมบุญคุณ บีบจุดอ่อนของชีอวิ๋นถิง มาล่อลวงให้เขาก้าวเดินไปในทางที่ผิด ทว่ายามนี้พวกเขาสองคนคนหนึ่งก็พิการอีกคนก็ตายไปแล้ว พวกเขาได้ชดใช้ในสิ่งที่สมควรจะต้องชดใช้แล้ว เหลือก็แต่นางหวัง ฮูหยินผู้เฒ่าชีคว้าคอเสื้อของนางหวังไว้ บัดนี้ไม่มีฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนโหวผู้เย่อหยิ่งอีกแล้ว มีเพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งที่กำลังเดือดดาล นางจ้องมองนางหวังอย่างเย็นชา: “เมื่อปีนั้นข้าเคยพูดแล้ว ให้ข้าอบรมเลี้ยงดูชีอวิ๋นถิงไว้ข้างกาย ท่านโหวผู้เฒ่าเองก็เคยบอกว่าต้องการพาเขาเข้าไปในกองทัพ มิใช่ว่าเจ้าแสร้งป่วยเพื่อปฏิเสธหรอกหรือ? มิใช่ว่าเจ้าจงใจแช่เขาเอาไว้ในน้ำเย็น ให้เขาป่วยและหมดสิ้นหนทางตามไปด้วยหรอกหรือ?!” เรื่องที่ผ่านไปนานมากแล้วเหล่านี้ บัดนี้กลับถูกรื้อฟื้นขึ้นมา
ณ จวนอ๋องฉี เป็นอีกครั้งที่อ๋องฉีบันดาลโทสะใส่หมอเทวดา: “เจ้าเป็นหมอเทวดาอะไร? นานเพียงนี้แล้ว เจ้ารักษาโรคอะไรให้ข้ากันแน่ บัดนี้แล้วข้ายังไม่หายอีก!” ความอดทนของเขาล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางความแตกสลาย ในทุกวันเขาล้นปลอบตนเองเสมอ ว่าอีกสองวันก็น่าจะดีขึ้นแล้ว นี่คือหมอเทวดา นี่คือหมอที่ดีที่สุด! อีกไม่นานเขาจะหายกลับมาเป็นปกติได้ในเร็ววัน อีกไม่นานเขาจะกลับมาเดินได้อีกครั้ง ทว่าทุกครั้งที่เต็มไปด้วยความหวัง ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นความผิดหวังที่ลึกลงมากกว่าเดิม เขาอดทนจนอดทนจนอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว แม้ว่าฉู่กั๋วกงที่อุตส่าห์ลากสังขารป่วยปวกเปียกมาปลอบโยนและเกลี้ยกล่อมเขาสุดชีวิตแล้ว ก็ยังมิอาจห้ามเขาไม่ให้คลุ้มคลั่งบันดาลโทสะ หมอเทวดาเซวียเองก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้วเช่นกัน เขาลูบเส้นผมที่แห้งแตกและพันกันของตนเอง พลางเอ่ยด้วยความหงุดหงิด: “ข้าน้อยก็ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว! ทั้งฝังเข็มและนวดรักษาข้าน้อยก็ลองมาหมดแล้ว ทว่าขาของท่านถึงขั้นกระดูกขาหักขาดจากกัน เส้นลมปราณได้รับความเสียหาย มิได้รักษาง่ายดายปานนั้น…” และเขาก็ไม่เคยตบหน้าอกประกาศกร้าวว่าตนเองสามารถรักษาใ
...... อ๋องฉีกัดฟันแน่น ถามพลางหัวเราะเยาะ: “ชีจิ่นเล่า?! นางยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีกหรือ?!” สวะไร้ประโยชน์! เขามอบทรัพยากรให้นางไปมากมายเพียงนั้น อีกทั้งยังยกเกาทัณฑ์แขนเสื้อให้นาง ผ่านไปนานเพียงนี้แล้วนางกลับยังไม่ส่งข่าวดีกลับมาอีกหรือ! ขันทีสวียังไม่ทันเอ่ยวาจา จินเป่าก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าซีดเผือด ไม่สนแม้กระทั่งการเคาะประตูเสียด้วยซ้ำ เขาเข้ามาด้านในห้องก็คุกเข่าลงและโขกศีรษะกับพื้นทันที: “ท่านอ๋อง ชีจิ่น ชีจิ่นนางแขวนคอตายอยู่หน้าประตูจวนของพวกเราแล้วขอรับ!” อ๋องฉีเดิมเตรียมจะจิบชา บัดนี้ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ก็บีบถ้วยชาจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงทันที มิเพียงถ้วยชา ทว่าอ๋องฉีรู้สึกว่าฟันของตนเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงด้วยเช่นกัน สวรรค์เป็นบ้าอะไรกัน ชีหยวนนางเป็นธิดาแห่งสวรรค์หรืออย่างไร? เหตุใดนางทำอะไรถึงได้แต่ชัยชนะตลอด?! สวรรค์แซ่ชีด้วยหรืออย่างไร?! จินเป่าเห็นโลหิตไหลออกมาจากซอกนิ้วของอ๋องฉีไม่หยุด ก็ยิ่งตกใจหวาดวิตกกว่าเดิม: “ท่านอ๋อง ศพน่าจะถูกนำมาแขวนไว้ตอนกลางดึก เมื่อเช้าตอนพบร่างแข็งไปหมดทั้งตัวแล้ว ใบหน้าเขียวคล้ำ คนจำนวนไม่น้อยล้วนเห
เซียวอวิ๋นถิงรู้สึกว่าหัวเข่าของตนเองพลันเย็นวาบขึ้นมาเล็กน้อย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าที่ชีหยวนโปรดปรานการทำให้คนขาหักแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเงามืดในจิตใจเมื่อชาติก่อนฝังลึกเกินไป คิดได้ถึงจุดนี้ เขาก็ทนไม่ไหวลอบสอดสายตามองชีหยวนไปหนึ่งที เห็นนางสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ปราศจากความตื่นเต้นดีใจที่หนี้แค้นใหญ่หลวงได้ถูกสะสาง ภายในใจพลันรู้สึกอึดอัดกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ครั้นสังเกตเห็นแววตาของเขา ชีหยวนก็ผินใบหน้ามองเขาปราดหนึ่ง เห็นใบหน้าของเขาฉายประกายเวทนาออกมาวูบหนึ่ง ชีหยวนพลันรู้สึกเหมือนหนามแหลมบนตัวพลันตั้งชันขึ้นทันที: “ท่านอ๋องไยจึงมองข้าน้อยเช่นนี้? ข้าน้อยก็เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ตาต่อตาฟันต่อฟัน ผู้ใดกล้ารุกรานข้าน้อย ข้าน้อยก็จะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!” สัตว์ป่าเมื่อได้รับบาดเจ็บ ล้วนแต่ซ่อนตัวไปเลียแผลตนเองทั้งสิ้น เซียวอวิ๋นถิงเม้มปาก: “เปล่าเลย ข้าไม่เคยมองว่าเจ้าเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเลย” ชีหยวนแค่นเสียงหัวเราะเยาะในใจ ใช่หรือ? นางยอมรับว่าเซียวอวิ๋นถิงเป็นคนดี และยอมรับว่าเขาเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ทว่าเมื่อใดที่เฝิงไฉ่เวยปรากฏตัว นางก็จะ
นางก็แค่เจ็บปวดทรมานมากขึ้นเพียงเล็กน้อย มิเป็นไร นางยังทนไหว แต่แท้ที่จริงแล้วในบางครั้งสิ่งที่กดดันคนได้มากที่สุดบนโลกใบนี้กลับมิใช่ความเจ็บปวดทรมาน แต่เป็นความห่วงใยของคนอื่น นางกล่าวขอบคุณด้วยเสียงแหบพร่า: “ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” หลังจากเปิดประตู ก็เดินออกไปทันทีโดยไม่มีหยุดชะงัก สิ่งที่ไม่มีวันได้รับ นางไม่เคยแม้แต่จะคิดฝันถึงมัน ท่านเหนือกว่าผู้อื่นเสมอ แต่ข้าก็จะไม่มีวันหันหลังกลับไป เพราะศักดิ์ศรีของนางอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อกลับมาถึงเรือนสกุลชี ท่านโหวผู้เฒ่าชีและฮูหยินผู้เฒ่าชีต่างก็กำลังคอยนางอยู่ ครั้นเห็นนางกลับมา ท่านโหวผู้เฒ่าชีก็เล่าข้ออ้างที่กล่าวกับนางหวังให้ฟังอย่างรวบรัด จากนั้นก็เอ่ยว่า: “แม่หนูหยวน ให้เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้เถิด” จบลงแล้ว ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีความแค้นต่อครอบครัวนี้มากมายเพียงใด แต่เมื่อชีอวิ๋นถิงได้ตายไปในนาม ทุกสิ่งก็ถือเป็นอันสิ้นสุดแล้ว ชีหยวนเปล่งเสียงรับคำ: “ตราบใดที่ไม่มีชีอวิ๋นถิงคนที่สองอีก ก็จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองเช่นกัน” นางเป็นคนยุติธรรมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากไม่ข่มเหงรังแกนาง เช่นนั้นนา
ก่อนหน้านี้มักจะรู้สึกเสมอว่าการกระทำเช่นนี้โหดเหี้ยมเกินไป บัดนี้ลองคิดดูแล้ว บางทีกลับกลายเป็นเรื่องดีมากกว่า มิได้มีปฏิสัมพันธ์กับนางหวังมากเกินไป และมิได้ใกล้ชิดกับชีอวิ๋นถิงและชีจิ่นมากเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีความผูกพันทางจิตใจและผลกระทบที่ลึกซึ้งเกินไปนัก ชีหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย: “เช่นนั้นบัดนี้เขาก็โตขึ้นมากแล้ว ร่างกายแข็งแรงขึ้นบ้างหรือยัง?” ท่านโหวผู้เฒ่าชีพยักหน้าตอบตามความจริง: “ย่อมแข็งแรงมากกว่าตอนเยาว์วัย” เมื่อตอนเยาว์วัย พวกเขาต่างสงสัยว่าเด็กคนนี้จะสามารถเติบโตขึ้นมาอย่างปกติได้หรือไม่ บางครั้งความคิดของมนุษย์ก็ซับซ้อนยิ่งนัก ในแง่ของการปฏิบัติต่อชีอวิ๋นจื่อ ดูเหมือนว่าพวกเขามิได้ให้ความสำคัญอะไร? แต่มิใช่ มันกลับเหมือนว่าพวกเขากำลังปฏิบัติต่อสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องสูญเสียไป คนเรามักจะจงใจหลีกเลี่ยงการทุ่มเทความรู้สึกและความคาดหวังที่มากเกินไปเสมอ หากเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งของที่รู้ดีว่าวันหนึ่งจะต้องสูญเสียไป เมื่อถึงคราวจะต้องสูญเสียจริง ๆ เหมือนว่าจะมิได้รู้สึกทุกข์ทรมานใจมากมายเพียงนั้น ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย: “ในเมื่อแข็งแรงกว่าเมื่อก่อน
“ข้ากับเขาและท่าน พูดกันตามตรงแล้วความจริงก็เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกัน” ปลายนิ้วของชีหยวนเคาะบนหน้าโต๊ะ: “ไม่สิ พูดให้เป็นความจริงมากกว่านั้นอีกสักหน่อย ข้ากับเขามีความแค้นต่อกัน ในเมื่อยามนี้เขาตายไปแล้ว มิหนำซ้ำยังได้รับผลกรรมที่เคยก่อไว้ เช่นนั้นข้ายังมีสิ่งใดจะต้องเสียใจและเจ็บปวดด้วยหรือ?” ชีหยวนชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นและมองนางหวัง: “กลับเป็นฮูหยินเสียเองที่เจ็บปวดทุกข์ใจจนล้มป่วย ความจริงก็สมควรแล้ว ชีจิ่นก็เป็นท่านเองที่ปล่อยนางไปกับมือ นิสัยโหดเหี้ยมของนางและชีอวิ๋นถิงล้วนเป็นผลจากการที่ท่านคอยให้ท้ายตามใจนางตลอด” นางหวังมิอาจอดทนได้อีกต่อไปแล้ว: “เจ้ามาที่นี่ เพียงเพราะจะมาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้าหรือ?” “ไม่ใช่” ชีหยวนมองนางอย่างเย็นชา: “ข้าเพียงแค่อยากจะมาบอกท่าน ว่าท่านยังมีชีอวิ๋นจื่ออีกคน และเขากำลังจะกลับมาแล้ว” พูดถึงชีอวิ๋นจื่อขึ้นมา หัวใจของนางหวังพลันกระตุกวูบ ทันใดนั้นก็ถามด้วยสีหน้าแข็งกร้าว: “แล้วอย่างไร เจ้าหวังดีมาปลอบโยนข้าหรืออย่างไร?” ชีหยวนส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา: “ก็มิใช่อีก ข้ามาก็เพื่อจะมาบอกกับท่านว่า อุปนิสัยใจคอของท่านไม่เ
ฮูหยินผู้เฒ่าหวังผิดหวังถึงที่สุดนางยกมือห้ามนางหลู่ที่ยังคิดจะเกลี้ยกล่อมนางหวังต่อ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แม้แต่เด็กเล็ก หากล้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังรู้ว่าต้องเดินให้ดี”นางไม่อาจอยู่กับนางหวังไปตลอดชีวิตเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็เกิดจากความลำเอียงของนางหวังเองหากไม่ใช่เพราะนางหวังให้ท้าย ไม่ว่าเป็นชีจิ่นหรือชีอวิ๋นถิงก็คงไม่เดินมาถึงจุดนี้ทำผิดไปแล้วแท้ ๆ แต่ยังไม่รู้จักสำนึกฮูหยินผู้เฒ่าหวังเองก็ไม่อยากปล่อยให้นางมีนิสัยแย่ ๆ เช่นนี้ต่อไปนางมองนางหวังที่ยังคงซบอยู่กับขอบเตียงพลางร่ำไห้เสียงดัง สุดท้ายขมวดคิ้วกล่าวว่า “ทั้งแม่สามีและพ่อสามีของเจ้าก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว สามีของเจ้าก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว มีเหตุผลอันใดที่เจ้าจะก้มศีรษะลงไม่ได้? หากแม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังคิดไม่ตก รออวิ๋นจื่อกลับมา ความทุกข์ของเจ้าคงยังมีอีกมาก!”สมองของนางหวังยุ่งเหยิงไปหมด นางร้องไห้นานเกินไปจนนางรู้สึกว่าแทบจะหายใจไม่ออกพอได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าหวังพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอาภัพนักฮูหยินผู้เฒ่าหวังจึงไม่สนใจนางอีก แต่เดินตรงไปยังหอหมิงเยว่ของชีหยวนภายในหอหมิง
เขาก้าวเท้าไปด้วยรอยยิ้ม “อมิตา...”ยังไม่ทันกล่าวคำสวดจบ ชีหยวนก็เหยียบต้นไม้ส่งตัวเองลอยขึ้นไป แล้วฟาดเท้าเข้าใส่อกของฉือซานอย่างจัง ฉือซานกระเด็นลงไปกองกับพื้น กระอักเลือดออกมาเต็มปากจากนั้นก็ไม่หยุดการเคลื่อนแม้แต่น้อย นางพุ่งเข้าหาฉือซาน มีดสั้นในแขนเสื้อก็เผยออกมา จ่อเข้าที่อกของเขาฉือซานถึงกับมึนงงไปกับการเคลื่อนไหวนี้ไหนบอกว่าเป็นหญิงสาวที่ไร้หนทาง ไร้ที่พึ่ง ถูกบีบบังคับให้มาขอบุตรไงเล่า?นี่มันคืออะไรกันแน่?!ชีหยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา สายตานั้นไม่เหมือนกับมองคน แต่เหมือนมองดูหินก้อนหนึ่ง หรือไม่ก็ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนมองสิ่งที่ไร้ชีวิตนางไม่พูดพร่ำเพรื่อ ถามขึ้นตรง ๆ “หญิงสาวที่พวกเจ้าลักพาตัวมาจากเรือนพักนอกเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเจ้าพาไปซ่อนไว้ที่ใด?”ฉือซานเบิกตากว้างในทันที ริมฝีปากสั่นระริกปลายมีดของชีหยวนแทงอกของเขาลึกหนึ่งชุ่นโดยไม่รั้งรอ เลือดไหลพรวดออกจากแผลทันทีจากนั้นนางก็ถาม “ผู่อู๋ย่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าใช่หรือไม่? เห็นได้ยากจริง ๆ หลานของไอ้หมาขันที เขาบอกเจ้าว่าให้เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ไปพักหนึ่ง รออีกไม่นานจะให้เจ้าไปเป็นขุนนางที่สำนักพระพุทธศาส
ชีหยวนควบม้าเร็วออกจากเมือง โดยไม่พาคนติดตามไปแม้แต่คนเดียว ลมพัดแรงจนเสื้อคลุมสีแดงสดของนางปลิวสะบัด แต่นางกลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย แม้หมวกคลุมศีรษะจะเปิดออก นางก็ไม่คิดจะดึงกลับมาสวมอีกนางรู้ดีบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพไร้พ่ายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เว้นแต่จ้าวจื่อหลงผู้เป็นดั่งปาฏิหาริย์ ผู้อื่นแม้เป็นแม่ทัพที่เก่งกล้าสักเพียงใด ก็ล้วนเคยลิ้มรสความพ่ายแพ้แต่สำหรับนาง ไม่มีทาง!โดยเฉพาะคนที่ฆ่านาง ทั้งยังทำให้คนที่นางพามาด้วยต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีแม่ ก็ยิ่งสมควรตาย!ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจก็คือเหตุใดหลี่ซิ่วเหนียงถึงไม่เหมือนแม่คนอื่นสิ่งที่นางอิจฉามากที่สุดก็คือเด็กคนอื่น ๆบัดนี้มีเด็กอีกคนหนึ่งที่ต้องกลายเป็นกำพร้าเพราะนาง ชีหยวนรู้สึกว่าตัวเองช่างบาปหนานักแน่นอนว่าความผิดของนางมีอยู่จริง แต่มันก็ยังมีบางคนที่สมควรจะลงนรกสิบแปดขุม!นางควบม้าเร็วเร่งรุดมาถึงวัดว่านอันที่ชานเมืองหลวง เอียงศีรษะเล็กน้อย จ้องคำว่าวัดว่านอันสามคำนั้นอย่างเย็นชา บนใบหน้าฉายแววเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนออกจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาค่ำแล้วยามดึกดื่นเช่นนี้ หญิงสาววัยแรกแย
ก็ต้องมี ‘คืนของขวัญ’ กลับไปบ้างกระมัง?ชีเจิ้นก็พลันเข้าใจ เพียงแค่เป้าหมายไม่ใช่ผู่อู๋ย่ง แต่ก็ยังเป็นการไปสังหารคนอยู่ดีเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “เช่นนั้นก็ ระวังตัวด้วยแล้วกันนะ”ชีหยวนก็เดินตรงดิ่งออกจากประตูไปชีเจิ้นจึงหันกลับมามองท่านโหวผู้เฒ่าชีกับฮูหยินผู้เฒ่าชี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้านึกขึ้นได้แล้ว วันปีใหม่วันนั้น แม่หนูหยวนบอกว่านอกจากจะแวะไปที่เรือนนอกเมืองแล้ว ยังมีธุระที่ต้องทำ มันเป็นธุระอะไรกันแน่?”ทั้งยังเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้ผู่อู๋ย่งอีกด้วย?ท่านโหวผู้เฒ่าชีถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร โดนขังมาหลายวันแล้วเจ้ายังไม่เหนื่อยหรือไง? ทำตัวดี ๆ รีบไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสีย ตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่เรือนใหญ่!”ชีเจิ้นอยากรู้จนใจแทบขาด แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าชีหยวนกำลังทำเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับผู่อู๋ย่ง และยังจะบอกว่าเป็น ‘การคืนของขวัญ’ ให้อีกฝ่ายอีกต่างหากแต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง “ท่านพ่อ! ผู้บัญชาการไล่จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?!”ไล่เฉิงหลงช่วยพวกเขาไว้มาก ที่ไม่โดนลงโทษก็เพราะอีกฝ่ายช่วยไกล่เกลี่ยแล้วไอ้หมาขันทีอ
ชีหยวนเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ เห็นทั้งสองคนกลับมาดูครบสามสิบสอง ดูก็รู้ว่าไม่ได้ถูกลงโทษ ก็รู้ทันทีว่าเป็นไล่เฉิงหลงที่ช่วยไว้นางหลุบตาลงแล้วส่ายหน้า “ไม่ใช่เพราะข้าหรอกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะข้า เป็นข้าที่ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา พวกท่านต้องลำบากก็เพราะข้า”ความรู้สึกของท่านโหวผู้เฒ่าชีซับซ้อนอย่างยิ่งชีเจิ้นก็เช่นกันชีหยวนก็ถือว่าเข้าใจฐานะของตนเองดีนัก และไม่ทำตัวเกรงใจเกินจำเป็น พูดสิ่งที่ควรพูด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าจะมีใครตอบรับได้หรือไม่แต่ว่านางพูดตรงได้ ทว่าท่านโหวผู้เฒ่าชีกับชีเจิ้นย่อมไม่อาจตอบกลับตรง ๆ เช่นนั้น ท่านโหวผู้เฒ่าชีจึงกล่าวว่า “พูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก ตำแหน่งนี้ของเขา ทำมาก็หลายปี อยู่กึ่งกลาง หากทำงานของฝ่าบาทได้สำเร็จ เช่นนั้นสักวันก็ต้องเกิดเหตุเช่นนี้”ถ้าหากทำไม่สำเร็จ ต้องสืบหากันไปเรื่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น ฮ่องเต้หย่งชางก็ย่อมต้องเริ่มสงสัยในความสามารถของชีเจิ้น และหมดความอดทนต่อเขาฉะนั้นว่ากันตามจริงแล้ว เคราะห์นี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ยังดีที่มีชีหยวนอยู่ จึงสามารถคลี่คลายเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ท่านโหวผู้เฒ่าก็โล่งอก เมื่อเห็นเหล่าลูก
ฮ่องเต้หย่งชางกวาดพระเนตรมองโดยรอบ ตวาดเสียงเกรี้ยว “อ่างน้ำมงคลเล่า? ไยถึงได้มาช่วยดับไฟกันช้านัก?!”แล้วก็รีบร้อนหันไปถามไล่เฉิงหลง ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าตำหนักเฟิ่งเจ่าในวันนี้ “ร่างของกุ้ยเฟยเล่า?”ไล่เฉิงหลงเหงื่อไหลท่วมทั้งร่าง คุกเข่าลงแล้วคารวะ “กระหม่อมกับนายพันลู่ช่วยกันหามร่างของกุ้ยเฟยออกมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่...”พวกเขาก็รู้ดีว่าเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยมีตำแหน่งเช่นไรในพระทัยของฮ่องเต้หย่งชาง ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้ร่างของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเผาจนมอดไหม้?หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าพวกตนก็คงต้องลงไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้วแต่ถึงจะช่วยออกมาได้ ทว่าร่างของกุ้ยเฟยก็ยังคงดูเวทนานักอย่างน้อยเส้นผมของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกไฟไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่งใบหน้าก็ถูกควันรมจนดำไปหมดฮ่องเต้หย่งชางปิดดวงเนตรลง เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ใบหน้าของเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟย สั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไล่เฉิงหลง ลู่อี้เฟิง ดูแลไม่ดีจนตำหนักเฟิ่งเจ่าเกิดเพลิงไหม้ ให้ไปรับการลงโทษโบยสามสิบไม้ที่กรมวัง!”จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ “เหตุใดอ่างน้ำมงคลถึงกลายเป็นน้ำแข็ง?”ในวังหลวง ตามถนนสาย
ฮ่องเต้หย่งชางเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุดหลายวันมานี้ ทุกค่ำคืนเขามักจะฝันถึงเรื่องราวในอดีตตัวเขากับพระชายาหลิ่วสมัยยังอยู่ในดินแดนศักดินาในช่วงนั้น ยามใดที่คลื่นลมในทะเลพัดแรง ไม่รู้ว่าหลังคาบ้านของราษฎรกี่หลังจะปลิวว่อนทุก ๆ ปีล้วนมีคนต้องสังเวยชีวิตเพราะเหตุนี้ไม่น้อยแค่นั้นยังพอทนได้ แต่ภูมิอากาศก็ยังเย็นชื้น ทำให้ข้อกระดูกของเขาเจ็บเรื้อรังพระชายาหลิ่วจึงมักช่วยทำการรมยาเฉพาะจุดให้เขา อยู่เคียงข้างช่วยเหลือราษฎร คิดหาหนทาง ร่วมมือกับขุนนางท้องถิ่น แบ่งเขตพื้นที่ แล้วสอนชาวบ้านสร้างบ้านจากหินที่แข็งแรงมั่นคงในบริเวณที่ปลอดภัยกว่ายังได้ขอร้องอดีตฮ่องเต้ให้ส่งช่างจากกรมโยธามาช่วยสอนการเปิดเตาเผาและเผาอิฐพวกเขาค่อย ๆ แก้ไข นำพาเมืองจางโจวจากดินแดนยากไร้กลายเป็นเมืองมั่งคั่ง แม้แต่เมืองใกล้เคียงอย่างเฉวียนโจวก็ยังได้สร้างท่าเรือบางคราก็ฝันถึงเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยแรกเริ่มเดิมที เขาก็ไม่ได้คิดจะให้เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังเลยด้วยซ้ำเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยอายุน้อยกว่าเขามากเกินไป ห่างกันถึงสิบสองปีเขามองนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งมาตลอดแต่เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไป เสี่ยวหลิ่วกุ้ยเ
ปิดไม่มิดแล้วเขาไม่มีทางบ้าเลือดถึงขั้นลากผู่อู๋ย่งลงไปด้วยหรอก อย่างน้อยแบบนี้ผู่อู๋ย่งก็ยังอาจเห็นแก่ที่เขาเชื่อฟัง แล้วช่วยดูแลคนในตระกูลของเขาบ้างมิเช่นนั้น เกรงว่าตระกูลสวีคงไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเซี่ยกงกงเชิญไล่เฉิงหลงเข้ามา ไล่เฉิงหลงก็นำเอกสารคำรับสารภาพพร้อมลายนิ้วมือของคนเหล่านั้นมาขึ้นถวายฮ่องเต้หย่งชางเพียงแค่เหลือบตามอง ก่อนจะเหวี่ยงเอกสารลงตรงหน้าสวีฮว่าน “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีก? คดีลักลอบค้าของเมื่อปลายปีก่อนก็เริ่มสอบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เจ้าคงคิดหาแพะรับบาปไว้ตั้งแต่นั้นกระมัง? ถึงได้ยุยงปลุกปั่นพวกครัวเรือนทหารที่มีเอี่ยว ให้เชื่อว่าตระกูลชีหักหลังพวกเขา ให้พวกเขารับผิดแทน!”สวีฮว่านฟุบหน้าลงกับพื้น สั่นเทาไปทั้งร่าง เอ่ยปากวิงวอนไม่หยุด “ฝ่าบาทโปรดเมตตา ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หย่งชางแค่นเสียงเย็น แล้วกวาดดวงเนตรมองเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ “เมื่อครู่พวกเจ้าล้วนโกรธแค้นลุกฮือกันขึ้นมา กล่าวว่านี่คือการสมคบคิดศัตรู ขายชาติ ทรยศหักหลัง เป็นความผิดฐานคิดกบฏ พวกเจ้าพูดถูกแล้ว”สิ้นคำ ก็เรียกผู้บัญชาการศาลต้าหลี่เติ้งเหรินกู้ “คดีนี้ให้ศาลต้าหลี่เป็นผู้สื
แน่นอนว่าผู่อู๋ย่งไม่มีพ่อ พ่อของเขาตายไปนานแล้ว มิเช่นนั้นจะเข้ามาเป็นขันทีในวังได้อย่างไรกันเล่า?!แต่ตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขามันไม่ต่างอะไรกับพ่อเพิ่งตายไปจริง ๆ เลยบัดซบเอ๊ย!เหลวไหลสิ้นดี!ที่ไหนมีขันที ที่นั่นก็ต้องมีคนของเขาแฝงอยู่รัชทายาทวังบูรพาโง่เง่าอย่างกับหมู ทั้งยังอ่อนแอขี้โรค ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ไปทั้งตัวต่อให้เซียวอวิ๋นถิงฉลาดหลักแหลมแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้ทุกอย่าง ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นแค่คน ไม่ใช่เทพเซียน!เขาเตรียมตัวไว้แล้วว่าส่งขันทีไปขัดขวางเซียวอวิ๋นถิง แล้วก็ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทำเลยหลักฐานทั้ง ๆ ที่เขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างไม่มีที่ติแต่สุดท้ายเซียวอวิ๋นถิงกลับวางแผนเหนือกว่า ส่งของไปถึงฮ่องเต้หย่งชางก่อนเสียได้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร?!ไอ้บ้าสองตัวนั่น!คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ อีกคนเหี้ยมโหด ราวกับสุนัขจิ้งจอกกับอสรพิษรวมหัวกัน ใครหน้าไหนเข้าใกล้ก็ต้องถูกพวกเขากัดเข้าให้สักแผลเขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วรีบสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วเขาเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา ไม่มองทางสวีฮว่านอีกเขาไม่เคยกังวลเลยว่าเรื่องนี้จะพัวพัน
ก็ใช่ว่าจะเคราะห์ร้ายเสียทีเดียว ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาสนใจเขานัก ล้วนแต่ยุ่งกับการจัดการจวนฉู่กั๋วกงกันทั้งนั้น ต่อมาเสี่ยวหลิ่วกุ้ยเฟยก็ตายไปอีก เรื่องราวเยอะเกินไป ไม่มีใครจะนึกถึงเขาหรอก ทว่าเขาเองก็กลัวมาก! น้องหญิงคนนั้นของเขา มิใช่คนที่จะสะสางหนี้แค้นด้วยคุณธรรมมาตั้งแต่ตอนเยาว์วัยแล้ว หลังจากนี้จะต้องหาโอกาสมาจัดการเขาแน่! พูดให้ถึงที่สุด เรื่องทั้งหมดนี้ต้องโทษสกุลชีอย่างเดียว หากว่าสกุลชีไม่พาตัวพระชายาหลิ่วกลับมา เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วในตอนนี้อุตส่าห์หาโอกาสได้แล้วทั้งที เข้าย่อมต้องเหยียบย่ำสกุลชีให้เต็มที่แน่นอน ผู่อู๋ย่งยิ่งรู้สึกขบขันเต็มที พอเห็นว่าสวีฮว่านเหลือบสายตามองตนเองด้วยความเคร่งเครียดแล้ว ก็เบนสายตาออกเชิงว่าตักเตือนทันที สวีฮว่านรีบก้มศีรษะลง บัดนี้ลำคอของเขายังเจ็บแปลบ ๆ อยู่เลย ไหนจะตรงช่วงท้องอีก ดูเอาเถิดว่านางเด็กชีหยวนคนนี้ดุร้ายโหดเหี้ยมมากขนาดไหน หัวใจของเขาเต้นระส่ำว้าวุ่นไม่เป็นสุข จนถึงตอนนี้ ทั่วท้องพระโรงทั้งฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นล้วนพุ่งเป้าโจมตีจุดอ่อนของสกุลชี ทว่าเซียวอวิ๋นถิงกลับยังคงไม่ปรากฏตัว